ThaiPublica > คอลัมน์ > The Last of Us เปิดประวัติศาสตร์ซอมบี้ และเชื้อราเขมือบสมอง

The Last of Us เปิดประวัติศาสตร์ซอมบี้ และเชื้อราเขมือบสมอง

28 มกราคม 2023


1721955

แม้จะเพิ่งมาแค่ 2 ตอน แล้วตอน 3 กำลังจะออนแอร์วันอาทิตย์นี้แล้ว แต่หลายเสียงก็ชื่นชมหนักมากว่าThe Last of Us (2023) ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากเกมสุดปังทำออกมาได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ต้นฉบับในเกมที่สุดแสนจะดราม่า เว็บมะเขือเน่า Rotten Tomatoes ให้คะแนนสูงถึง 97% โดยเฉลี่ยสูงถึง 8.75/10 ฉันทามติภาพรวมจากเว็บนี้บอกว่า “รักษาแง่มุมที่ชวนติดตามที่สุดจากฉบับเกมอันเป็นที่รักของแฟนเกม ในขณะเดียวกันก็สามารถขุดคุ้ยเรื่องราวลึกลงไปกว่าในฉบับเกมได้อีก เป็นซีรีส์ที่คุ้มจะดูไปจิบเบียร์ไปเพลิน ๆ และมันคือสมควรได้อันดับหนึ่งตลอดกาลจากบรรดาซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากเกมได้อย่างใกล้เคียงที่สุด ขณะที่เว็บ Metacritic ก็ได้ค่าเฉลี่ยสูงถึง 84 จาก 100 แถมยังถูกระบุว่าได้เสียงชื่นชมจากทั่วโลก ส่วนใหญ่บอกว่าเป็นฉบับดัดแปลงที่ดีที่สุด สวน มาร์ค เดเลนีย์ จากเว็บ Gamespot ชมว่า “เหมือนเป็นการเริ่มต้นสู่ยุคใหม่สำหรับเนื้อหาแนวนี้”

ตัวซีรีส์ต่างได้ นีล ดรัคมานน์ ผู้สร้างเกมมาช่วยเขียนบทด้วย ทำให้ความลึกและขยายข้อมูลจากที่เคยมีอยู่ในเกมให้ชัดเจนขึ้นไปอีกยิ่งกลายเป็นที่สนุกสนานสำหรับแฟนเกมที่แม้จะรู้เรื่องราวอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องดูฉบับซีรีส์ซ้ำ แถมเปิดตัวด้วยนักแสดงเคมีเข้ากันดี๊ดี 3 คน คือ เปโดร ปาสคาล ผู้เคยรับบทสุดเท่(แต่ตายสุดอนาถเช่นกัน) โอเบอรีน มาร์เทล แห่ง Game of Thrones (ซีซั่น 4, 2014) มาเจอกับเลดี้หมีน้อย เบลลา แรมซีย์ แถมยังสมทบด้วยเอเจ้นต์ดันห์แนมแห่งซีรีส์ Fringe (2008-2013) แอนนา ทอร์ฟ เปิดฉากแรกเริ่มด้วยการเสริมข้อมูลจากที่เกมไม่เคยบอก ไปสู่ฉากเปิดที่แทบจะเคาะออกมาจากในเกม แต่ใส่รายละเอียดเพิ่มเข้ามาให้แฟนเกมกรี๊ดหนักมาก หลังจากนั้นความระทึกก็สมูธไม่มีแผ่วลงเลย

เรื่องราวเปิดมาเหมือนฉบับเกม แต่เปลี่ยนปีจากในเกมคือเริ่มเรื่องในปี 2003 เพื่อให้เส้นเรื่องมาสู่ปีปัจจุบันในปี 2023 ย้อนกลับไป 20 ปีก่อน โจล (เปโดร ปาสคาล)ต้องมาสูญเสียลูกสาวไป ส่วนน้องชายก็กลายมาเป็นบาดหมางกันในเหตุซอมบี้ถล่มเมืองที่ในซีรีส์อธิบายว่าเกิดจากเชื้อราในอาหารจำพวกแป้ง ตัดมาเวลาปัจจุบัน บาดแผลในอดีตทำให้โจลกลายเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิง เขาเหมือนไม่มีหัวใจไปแล้วเมื่อลูกสาวแท้ ๆ ตายไป ครอบครัวก็ไม่เหลือใคร โลกถูกปฏิวัติโดยกองกำลังจัดตั้งตนเองที่เรียกว่า ไฟร์ฟลาย โจลหาเลี้ยงชีพด้วยการลักลอบขนของผ่านเขตแนวกำแพงเมืองที่กั้นพวกซอมบี้เชื้อราเอาไว้ และภารกิจสำคัญคือเขากับ เทสส์ (แอนนา ทอร์ฟ) เพื่อนคู่หูต้องพาตัว เอลลี่ (เบลลา แรมซีย์) ไปยังจุดหมายนอกกำแพงเมืองที่เชื่อว่ามีหมอที่กำลังค้นคว้าวัคซีนรักษาซอมบี้ และเอลลี่ มีภูมิต้านทานเชื้อซอมบี้อยู่ในร่างกาย

เสียงชื่นชมเกิดขึ้นตั้งแต่ฉบับเกมที่ไม่ใช่โดดเด่นแค่ฉากแอ็คชั่น หรือการดีไซน์ตัวซอมบี้เชื้อราที่ออกมาสวยเด่นเท่านั้น แต่คือเรื่องราวซับซ้อนของกลุ่มคนที่ช่วงชิงชั่วร้ายกว่ามาก กลายเป็นดราม่ากลมกล่อมที่คาดเดาเรื่องยากมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากจะเจาะลึกในบทความนี้ คือ ประวัติศาสตร์และการเมืองเกี่ยวกับซอมบี้ และความจริงของเชื้อเห็ดรากินสมองที่อันที่จริงแล้วผู้สร้างเกมนี้เอามาจากเชื้อเห็ดราที่มีอยู่จริง

เห็ดราเขมือบสมองคุมร่างกายให้กลายเป็นจอมเดือดสุดขีดคลั่ง

จริง ๆ ซอมบี้แท้ ๆ ดั้งเดิม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเชื้อร้ายระบาดแต่อย่างใดในหนังยุคแรก ๆ อย่างของฉบับจอร์จ โรเมโรก็กล่าวว่าจู่ ๆ ศพคนที่ตายไปแล้วก็ลุกขึ้นมาเดินเองได้ พวกมันจะแห่กันออกมากินเนื้อคนเป็น แล้วคนเป็นที่ถูกกินเนื้อเหล่านั้นก็จะลุกขึ้นมาเป็นวัฎจักร แต่ไอเดียแรก ๆ เกี่ยวกับเชื้อระบาดมีอยู่ใน Left 4 Dead ที่พูดถึงไวรัส Green Flu ,หรือไม่ก็ไวรัส Rage ใน 28 Days Later ซอมบี้ของพวกเขาไม่ใช่คนตาย แต่คือคนติดเชื้อไวรัส, หรือใน Resident Evil ก็พูดถึงไวรัส Plaga ที่ถูกสร้างในแล็บทดลองของ Umbrella Corporation

ไวรัสพวกนี้จะอาศัยในร่างคนแล้วกัดกินจากภายใน บางทีก็ฟักตัวเติบโตพุ่งออกมาจากปากหาเหยื่อรายใหม่ได้ ซึ่งยังมีปรสิตอีกหลากหลายถูกอธิบายในแนวซอมบี้มากมาย ขณะที่ซอมบี้ของ Last of Us นั้นไม่เหมือนใคร เพราะพวกมันเกิดจากเห็ดรา ที่น่าสนใจคือตัวผู้พัฒนาเกมดั้งเดิมได้ไอเดียมาจากเชื้อราที่มีอยู่จริง และมันน่ากลัวขนหัวลุกเป็นอย่างมาก

ในความเป็นจริงนั้นปรสิตส่วนใหญ่พวกมันจะแค่ฟักตัวในร่างโฮสต์แล้วกัดกินโฮสต์จากภายใน มากกว่าที่จะฟักตัวแล้วเข้าควบคุมร่างโฮสต์เพื่อไปล่าเหยื่อกัดกินคนอื่น อย่างเช่น จักจั่นที่ใช้เวลานานถึง 13-17 ปีในการฟักตัวใต้ดิน ก่อนจะโผล่พ้นดินออกมาสืบพันธุ์แล้วตายไป ชะตากรรมของพวกมันยังน่าสงสารอีกด้วย เมื่อพวก Massospora Cicadina เห็ดราชนิดหนึ่งมีวงจรชีวิตในใต้ดินแบบเดียวกับพวกจักจั่นด้วย เมื่อจักจั่นเติบโตขึ้น สปอร์ของเห็ดราชนิดนี้ก็เช่นกัน ในที่สุดมันจะเริ่มกัดแทะกินร่างของจักจั่นโชคร้ายนั้น เริ่มจากช่องท้องไปจนกินอวัยะสืบพันธุ์ แล้วแทนที่อวัยวะเหล่านั้นด้วยการเจริญเติบโตของเชื้อรา

จักจั่นที่ถูกเห็ดรากินอวัยวะภายในจนกลวงโบ๋แต่ยังขยับตัวและผสมพันธุ์ได้

จักจั่นจะยังคงขยับตัวได้และทำให้จักจั่นตัวนั้นสามารถสืบพันธุ์ได้ด้วย พวกเชื้อราจะเติมสารบางอย่างที่คล้ายกับไซโลไซบินและแคทิโนน อันเป็นสารกระตุ้นความต้องการทางเพศของจักจั่น แล้วควบคุมให้จักจั่นมีเพศสัมพันธ์อย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะแพร่สปอร์ราสู่แมลงตัวอื่น ๆ ในระหว่างผสมพันธุ์ไปด้วย ไซโลไซบิน (Psilocybin) เป็นสารออกฤทธิ์หลักในเห็ดเมา ขณะที่แคทิโนน (Cathinone) คือแอมเฟตามีน(ยาบ้า)ชนิดหนึ่ง ที่น่าสนใจคือถ้าตัวที่ติดเชื้อรานั้นเป็นจักจั่นตัวผู้ พวกมันจะส่งสัญญาณขยับปีกแบบเดียวกับพวกตัวเมียทำ สัญญาณนั้นจะเรียกจักจั่นตัวผู้เข้ามาผสมพันธุ์กับตัวผู้(ที่ติดเชื้อ)ด้วยกันเองได้อย่างน่าพิศวง สิ่งที่น่าขนลุกกว่านั้นคือ ในระยะที่2 จักจั่นติดเชื้อพวกนี้จะทำในสิ่งที่นักกีฏวิทยาเรียกกันว่า “บินโปรยเกลือแห่งความตาย” คือพวกติดเชื้อเหล่านี้จะบินขึ้นสูงแล้วโปรยปล่อยสปอร์ราตกลงดินอีกครั้ง ไปหาจักจั่นตัวอื่น ๆ ที่กำลังฟักตัวอยู่ใต้ดินเป็นวัฎจักรวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ แล้วทิ้งซากร่างกลวงโบ๋ให้ย่อยสลายไป

เห็ดราชนิดต่าง ๆ เติบโตบนร่างแมลง

ขณะที่ใน The Last of Us อีพีล่าสุดก็ได้เผยถึงเชื้อราสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องในซีรีส์เรียกว่า Ophiocordyceps ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อไล่ล่าจับคนเป็น ๆ มากิน ในความเป็นจริงเชื้อราชนิดนี้ก็ร้ายไม่น้อยไปกว่าในซีรีส์ พวกมันมีความสามารถในการควบคุมมดสายพันธุ์ Camponotus leonardi (มดตะลานขนทอง) เมื่อมดติดเชื้อ สปอร์จะเคลื่อนที่ผ่านกระแสเลือดแล้วเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นพวกมันจะสร้างท่อเล็ก ๆ ทะลุทะลวงผ่านภายในร่างกายมด มันจะแทรกตัวไปในช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อมด งอกเติบโตออกมาทะลุบนร่างมด ซึ่งอันที่จริงในโลกนี้ยังมีปรสิตอีกหลายชนิดที่เติบโตบนร่างแมลง

เห็ดรา Ophiocordyceps แทงทะลุมดตะลานขนทอง

แต่ Ophiocordyceps มีความสามารถในการควบคุมอวัยวะต่าง ๆ คือ มันจะไม่เข้าถึงสมองมด มดตัวนั้นจะยังคงมีชีวิต หรือถ้าเป็นคนก็ยังคงมีจิตสำนึกรู้คิดต่าง ๆ ได้ แต่เชื้อราจะไปฝังตัวอยู่รอบ ๆ สมอง และอวัยวะต่าง ๆ ขยับตัว เหมือนเชิดหุ่นมดเหล่านี้ คือถ้าเป็นคน เชื้อรานี้จะงอกออกมาเป็นเห็ดบนร่างเรา จะเจาะแทรกกล้ามเนื้อต่าง ๆ แล้วควบคุมให้เราขยับตัวทำนั่นทำนี่ทั้ง ๆ ที่เรายังคงมีจิตสำนึกของเราเอง แต่เราจะไม่สามารถควบคุมร่างของเราเองได้ และสิ่งสุดท้ายที่ราปรสิตพวกนี้จะทำคือการขยายพันธุ์ด้วยวิธีสุดพิสดาร มันจะบังคับร่างมดตัวนั้นขึ้นไปบนต้นไม้สูง อย่างน้อยเก้านิ้ว ที่แสงแดดส่องถึงและความชื้นพอเหมาะ แล้วหาใบไม้เกาะ ล็อคมดตัวนั้นด้วยการให้มดงับแกนกลางของใบไม้ ก่อนที่เห็ดราจะงอกทะลุร่างของมดนั้น ผลิดออกมาเป็นกระเปาะที่อัดแน่นด้วนสปอร์เห็ดรา แล้วแตกกระจายส่งสปอร์เห็ดราออกไปตามสายลม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมดเพื่อน ๆ ของมัน กลายเป็นการติดเชื้อระบาดรอบแล้วรอบเล่า

อย่างไรก็ตาม Ophiocordyceps ที่มีอยู่มากกว่า 400 สายพันธุ์บางชนิดไม่เป็นอันตรายกับคน แล้วอันที่จริงมนุษย์ใช้เจ้าเห็ดราชนิดนี้เป็นยาสมุนไพรมาช้านาน หรือที่บ้านเรารู้จักในชื่อ ถั่งเช่า หรือ หญ้าหนอน ชื่อของมันมีความหมายว่า “ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า” มันเกิดจากหนอนผีเสื้อกลางคืนบนที่ราบสูงทิเบตที่จำศีลใต้ดินในฤดูหนาว แล้วถูกสปอร์ของเห็ดราโอฟิโอคอร์ดีเซป สกุลเดียวกันนี่แหละ

หญ้าหนอนถั่งเช่า

อาศัยเป็นปรสิตและเติบโตสร้างเส้นใยเห็ดราออกมาทางส่วนหัวของตัวหนอนในช่วงฤดูร้อน พวกมันมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ophiocordyceps sinensis ถั่งเช่าจะพบมากในทิเบต มณฑลชิงไห่ มณฑลเสฉวน มณฑลกานสู มณฑลยูนนาน และแถบเทือกเขาหิมาลัยในอินเดีย ภูฏาน และเนปาล การบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 863 ของ ต้วนเฉินชวี่ นักธรรมชาติวิทยาในราชวงศ์ถัง ถั่งเช่าได้รับการระบุว่า “ทำให้ปอดและไตแข็งแรงขึ้น ห้ามเลือด และแก้เสมหะ นอกจากนี้ในการศึกษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังเป็นไปได้ว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ต่อต้านเนื้องอก, ต้านการอักเสบ, มีสารต้านอนุมูลอิสระ, ลดน้ำตาลในเลือด, ต่อต้านการตายของเซลล์, การควบคุมและสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงบางคนก็เชื่อว่าช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศด้วย

อย่างไรก็ตามในปี 2016 ทางการจีนถูกตรวจสอบพบว่าถั่งเช่าแห้งมีปริมาณสารหนู (arsenic)ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ จึงนำออกจากรายชื่ออาหารเพื่อสุขภาพ และแนะนำว่าถ้าจะกินต้องกินไม่เกิน 3-9 กรัมต่อวัน เนื่องจากพบว่าในถั่งเช่ามีปริมาณสารหนู 4.4-9.9 มิลิกรัมต่อหนึ่งกิโลกรัม กล่าวคือยังสามารถกินได้ และมีประโยชน์ในทางยาจริง เพียงแต่ไม่ควรกินเกินขนาด เนื่องจากปริมาณสารหนูที่อาจจะสะสมในร่างกาย หากมากเกินไปจะกลายเป็นพิษ

เปิดประวัติศาสตร์ทางการเมืองเรื่องซอมบี้

เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้วที่ผู้สร้างภาพยนตร์และนักเขียนใช้พวกซอมบี้ เชื้อร้ายไม่มีวันตาย มาแต่งเป็นเรื่องราวมากมาย พวกมันตัวซีด กัดกินมนุษย์เป็น ๆ ให้กลายเป็นตัวประหลาดแบบเดียวกับพวกมัน เหล่านี้คืออุปมาของความขยาดหวาดกลัวที่ลึกไปกว่านั้น ไม่ว่าจะการถูกกลืนชาติ การถูกทำลายล้างด้วยปรมาณู ถูกล้างสมองให้เป็นคอมมิวนิสต์ และเหนือสิ่งอื่นใด การหวาดกลัวกันและกัน

ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ที่ชาวอเมริกันหวาดกลัว พวกเขาล้วนเคยทำกับคนอื่นมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกลืนชาติชนพื้นเมืองอินเดียนแดง หรือถล่มนิวเคลียร์ใส่ญี่ปุ่น ล้างสมองให้ทั้งโลกโดยเฉพาะในแถบเอเชียรวมหัวกันจับคอมมิวนิสต์มาฆ่าทั้งเป็น (อย่างกรณีถีบลงเขาเผาถังแดง ในเกาะหลุง พัทลุง ที่กอรมน.ได้เงินสนับสนุนจากอเมริกาในการไล่ล่าฆ่าผู้บริสุทธิ์คนไทยด้วยกันนับพันคน)

แนวคิดเรื่องซอมบี้เป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันฉกฉวยใช้มาจากวัฒนธรรมพื้นเมืองของชาวเฮติในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นความเชื่อทางจิตวิญญาณของชนพื้นเมือง ที่ส่วนใหญ่ชาวแอฟริกันเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็นทาสหลายล้านคนที่ชาวฝรั่งเศสนำเข้ามาในสหรัฐในช่วงศตวรรษที่ 17 พวกเขาเชื่อว่าผู้ที่เสียชีวิตปกติแล้วดวงวิญญาณจะถูกนำกลับไปบ้านที่แอฟริกา เรียกว่า กินี (สวรรค์) แต่เมื่อใดพวกเขาตายอย่างผิดธรรมชาติ เช่น ถูกฆาตกรรม วิญญาณพวกเขาจะยังคงวนเวียนอยู่ที่หลุมฝังศพ ศพจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพโดยพวกโบกอร์ หรือ หมอผี ที่จะเก็บกักศพนั้นไว้ใช้เป็นทาสส่วนตัว ชาวเฮติเรียกสิ่งนี้ว่า “ซอมบี้”อย่างไรก็ตามความเชื่อนี้ต่อมาคาดกันว่าเป็นกุโศลบายของพวกหมอผีวูดูเพื่อกีดกันไม่ให้ทาสฆ่าตัวตาย หรือถูกฆาตกรรมอย่างไร้ปรานีจากเจ้าของทาส

ในทางภาษาศาสตร์ที่นอกจากจะหมายถึงผีที่ถูกปลุกด้วยอาคมแล้ว คำว่า “ซอมบี้” ถูกเอ่ยถึงครั้งแรกในปี 1919 ในประวัติศาสตร์ของบราซิลโดยกวีนามว่า โรเบิร์ต เซาเธย์ อันเดิมทีเป็นชื่อของผู้นำกบฎปลดแอกชาวแอฟโฟร-บราซิลที่มีชื่อว่า Zumbi (ซัมบิ) ในพจนานุกรมฉบับอ็อกซ์ฟอร์ดให้ที่มาว่ามาจากคำว่า “nzambi (พระเจ้า)” กับ “Zumbi (เครื่องราง)”

อย่างไรก็ตามคำว่าซอมบี้ถูกเรียกถึงผีชนิดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคเราได้อย่างไรนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะแม้แต่ Night of the Living Dead (1968) หนังซอมบี้เรื่องดังที่ให้ภาพลักษณ์อย่างซอมบี้ที่เรารู้จักกันดีในทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วก็ยังไม่มีคำว่า “ซอมบี้” ปรากฎอยู่ในหนังเลยแม้แต่คำเดียว แต่ในหนังถูกอธิบายว่าเป็นเหมือน ghouls (ผีปอบ) และ จอร์จ โรเมโร ผู้กำกับก็ยังใช้คำ กูล นี้ในบทต้นฉบับเองด้วย แต่ในการสัมภาษณ์ภายหลัง โรเมโร กลับเรียกผีเหล่านี้ว่า ซอมบี้ แล้วคำนี้ก็ถูกใช้จริง ๆ ในหนังภาคต่อของเขา Dawn of the Dead (1978) ต่อมานิตยสารหลายหัว โดยเฉพาะ Cahiers du Cinéma ของฝรั่งเศส ได้ระบุว่า จอร์จ โรเมโร เป็นผู้เชื่อมโยงคำว่าซอมบี้เข้ากับผีดิบในลักษณะนี้ ที่ฟื้นขึ้นจากตาย ฆ่าไม่ตาย และคอยไล่กัดคนอื่นให้กลายเป็นซอมบี้ด้วย

หลังจากชาวเฮติประสบความสำเร็จในการกบฏปลดแอกทาสและได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี 1804 เฮติก็ถูกโลกตะวันตกหมายหัวว่าเป็นภัยคุกคามต่อลัทธิจักรวรรดินิยม วัฒนธรรมวูดูถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึง “ความต่ำทรามอันป่าเถื่อน” ของประเทศ และเมื่อสหรัฐฯ เข้ายึดครองเฮติในปี 1915 มิชชันนารีคาทอลิกก็ออกเดินทางเพื่อรื้อฟื้นความเชื่อนี้กลับมา

นักค้นคว้าชาวอเมริกัน วิลเลียม ซีบรูค ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับต้นกำเนิดซอมบี้ เขาเริ่มไปที่ลัทธิวูดูในปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงสำคัญของเฮติ ที่นั่นซีบรูคถูกพาไปโรงงานน้ำตาลเฮติอเมริกัน ที่ซึ่งเขาได้รู้จักกับ “ซอมบี้” สี่ตน ในข้อความช่วงปลายทศวรรษ 1920 ส่วนหนึ่งมันถูกบันทึกเอาไว้ว่า: “ซอมบี้ที่ควรจะทำงานต่อไปอย่างโง่เขลา พวกเขาเดินพล่านไปมาเหมือนสัตว์เดรัจฉาน เหมือนหุ่นยนต์ สายตามันแย่มาก …เหมือนตาของคนตาย ไม่บอด แต่จ้องมองอย่างเหม่อลอย ฝ้าฟางมองไม่เห็น”

จริง ๆ แล้วนี่คือคำอธิบายถึงทาสที่ถูกว่าจ้างโดยพ่อค้าชาวอเมริกันที่ใช้แรงงานโหดแบบเป็นกะ 18 ชั่วโมงต่อวัน อาศัยอยู่ในที่ทรุดโทรม แต่ซีบรูคไม่รู้เรื่องนี้ เขาตื่นตาตื่นใจกับประโยคเหล่านี้มากจนหยิบมาเขียนในนิยายของเขา The Magic Island (1929) แล้วจากนิยายนี้เองมันคือต้นฉบับที่ถูกนำไปดัดแปลงเป็นหนัง White Zombie (1932) อันเป็นหนังที่ฉายหนึ่งปีให้หลังจากหนังสยองเรื่องดัง Dracula กับ Frankenstein

หนังเกี่ยวกับคู่รักคนขาวไปเที่ยวเฮติ พวกเขากำลังวางแผนจะแต่งงาน แต่เจ้าของสวนเกิดตกหลุมรักว่าที่เจ้าสาวคนนั้นและขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ลัทธิวูดู ให้เปลี่ยนผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นซอมบี้ หนังแสดงให้เห็นถึงชาวเฮติผู้ชั่วร้าย กับคู่พระนางคนขาวที่สุดท้ายทั้งคู่ก็รอดตายมาได้ แล้วผลักปรมาจารย์ลัทธิวูดูลงหน้าผาม่องเท่งไป

White Zombie กระตุ้นความกลัวที่เลวร้ายที่สุดของชาวอเมริกันต่อลัทธิวูดูอย่างชัดเจน เปลี่ยนระบบความเชื่อทางจิตวิญญาณให้กลายเป็นบรรทัดฐานสยองขวัญ เฮติถูกนำเสนอในฐานะสถานที่ดึกดำบรรพ์ที่ไร้ระเบียบ ใช้คาถาอาคมและซอมบี้อาละวาด ประเพณีสูงสุดของศาสนาตะวันตกนั่นคือการแต่งงาน กลับถูกครอบงำด้วยมนต์ดำของพวกคนดำชั้นต่ำไร้อารยธรรม

White Zombie ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ จุดประกายให้เกิดภาพยนตร์ซอมบี้ที่กระตุกความกลัวแบบไสยวูดูในช่วงทศวรรษที่ 1930 และ 1940 ต่อมาใน Ouanga (1936) เรื่องของเจ้าของไร่ชาวเฮติหญิงตกหลุมรักชายผิวขาวและใช้วูดูเสกซอมบี้สีดำสองตน ไปจับคู่หมั้นของชายคนนั้นเพื่อทำพิธีบูชายัญแบบวูดู แต่แผนของเธอก็ล้มเหลว และเธอถูกคนรับใช้ผิวดำผู้สูงศักดิ์บีบคอจนตาย

I Walked With a Zombie (1943) ว่าด้วยนางพยาบาลคนขาวไปทะเลแคริบเบียนและมีชุดภาพหลอนดึกดำบรรพ์เกี่ยวกับซอมบี้ สำรวจความกลัวทางจิตวิทยาของลัทธิวูดู จนถึงยุค40s ซอมบี้ยังคงเป็นภาพสะท้อนของความกลัวลัทธิวูดูและความมืดมนของคนดำ แต่เมื่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของอเมริกาเปลี่ยนไป สิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านี้ก็ได้รับสัญลักษณ์ใหม่ในไม่ช้า

ซอมบี้ปรมาณู: ความกลัวการสิ้นชาติด้วยนิวเคลียร์และคอมมิวนิสต์

ในปี 1940 ซอมบี้ได้เปลี่ยนจากนิทานพื้นบ้านของชาวเฮติที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักไปสู่ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่แพร่หลายในอเมริกา ซอมบี้ถูกโหมประโคมให้เป็นสัตว์ดุร้าย ทั้งทางรายการวิทยุ และในรื่นเริงอย่างงาน World’s Fair ที่นิวยอร์กในปี 1939 “Zombie” เป็นค็อกเทลที่ทำจากเหล้ารัม (และอ้อยที่ไถโดยทาสชาวเฮติ) เป็นที่นิยมอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัวอย่างยิ่ง เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองกำลังอุบัติขึ้น และจะนำมาซึ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ สงครามปรมาณู และภัยคุกคามจากเผด็จการคอมมิวนิสต์ สงครามเย็นที่ตามมาตอกย้ำความวิตกกังวลเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์โซเวียตและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เช่น การแข่งขันไปอวกาศ ซอมบี้กลายเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับความกลัวเหล่านี้

ในตอนแรก เราเห็นความกลัวของวูดูและการปะทะกันของหน่วยสืบราชการลับในภาพยนตร์ซอมบี้ ใน King of the Zombies (1941) เมื่อนักบินคนหนึ่งตกในทะเลแคริบเบียนและได้พบกับสายลับKGBที่ใช้ซอมบี้เพื่อเกลี้ยกล่อมข่าวกรองสงครามจากนายพลเรือเอกของสหรัฐฯ ในทำนองเดียวกัน ใน Revenge of the Zombies (1943) หมอผู้ชั่วร้ายได้สร้างกองทัพซอมบี้ของนาซีขึ้นมา เพื่อให้แน่ใจว่าเยอรมันจะได้รับชัยชนะ

แต่หลังจากการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในเดือนสิงหาคม 1945 กับการทดสอบระเบิดปรมาณูครั้งแรกของโซเวียตในปี 1949 ความกลัวของชาวอเมริกันต่อรังสีนิวเคลียร์และลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดขึ้นมาในเนื้อหาแนวซอมบี้ การ์ตูนเรื่อง Corpses: Coast to Coast ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร Voodoo ฉบับปี 1954 เป็นตัวอย่างสำคัญของเรื่องนี้ สัปเหร่อจำนวนมากรวมตัวกันนัดหยุดงาน ทำให้เกิดกองซากศพที่ยังไม่ได้ฝังจำนวนมาก คอมมิวนิสต์โซเวียตส่งศพผ่าน “ถังปลูกฝัง” (ที่ทำให้ศพพวกนั้นกลายพันธุ์เป็นซอมบี้) และจัดตั้งพันธมิตรที่เรียกว่า United World Zombies (U.W.Z.) พวก U.W.Z. เข้ายึดครองทำเนียบขาว สหรัฐ ยุโรป และทั่วโลก แต่การจลาจลทั้งหมดถูกระงับในที่สุดด้วยระเบิดปรมาณู “เนื้อเยื่อของซอมบี้ไม่สามารถทนต่อรังสีได้!” โครงเรื่องนี้ต่อมาคล้ายกับหนังฮอลลีวูด Creature With the Atom Brain (1955) รวมถึงเนื้อเรื่องเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์อดีตนาซี วิลเฮล์ม ใช้รังสีเพื่อทำให้ศพฟื้นคืนชีพ ใน Teen Zombies (1960) “นักวิทยาศาสตร์จากตะวันออก(เป็นคำเหมารวมถึงนาซีและโซเวียต” ตั้งใจที่จะทำให้ทุกคนในสหรัฐเป็นซอมบี้โดยใช้แก๊สทดลอง

ในขณะเดียวกันในปี 1957 โซเวียตได้เปิดตัว Sputnik ดาวเทียมประดิษฐ์ดวงแรกของโลก และในปี 1961 โซเวียตได้ส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ ซอมบี้ถูกใช้เป็นรูปแบบการแสดงความกลัวของชาวอเมริกันที่จะสูญเสียพื้นที่ในพรมแดนอวกาศ และความกลัวต่ออวกาศด้วย Zombies of the Stratosphere (1952) เป็นเรื่องเกี่ยวกับกองกำลังเอเลี่ยนที่ชั่วร้ายที่ขโมยแผนระเบิดปรมาณูจากโซเวียตโดยมีเจตนาที่จะใช้กำลังเพื่อสลับตำแหน่งวงโคจรกับโลก, หรือใน Plan 9 From Outer Space (1959) เอเลี่ยนผู้ใจดีคืนชีพกองกำลังซอมบี้ของมนุษย์และใช้มันเพื่อหยุดการพัฒนาของระเบิดขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์, รวมถึงใน The Earth Dies Screaming (1964) ที่นำเสนอกองกำลังเอเลี่ยนกันกระสุนที่ใช้ก๊าซประหลาดเพื่อกำจัดมนุษยชาติ(แบบที่นาซีเคยทำ) จากนั้นก็บงการซากศพให้เคลื่อนไหวด้วยสัญญาณวิทยุ

ซอมบี้วันสิ้นโลก: การตอบสนองต่อสิทธิพลเมืองและสงครามเวียดนาม

ทศวรรษที่60s เต็มไปด้วยการลอบสังหาร ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง สงครามเวียดนาม และการกบฏต่อต้านวัฒนธรรม เป็นช่วงปีที่ปั่นป่วนที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีภาพยนตร์ที่เปลี่ยนภาพยนตร์ซอมบี้ที่เรารู้จักไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ Night of the Living Dead มหากาพย์ปี1968 ของจอร์จ โรเมโร เริ่มต้นด้วยหญิงสาวชื่อบาร์บารามาถึงสุสานเพื่อวางดอกไม้บนหลุมฝังศพของคุณปู่ของเธอ ซอมบี้ตัวหนึ่งเดินสะดุดแล้วเธอก็วิ่งผ่านไปหลบภัยในบ้านไร่ ที่นี่เธอได้พบกับชายหนุ่มผิวดำชื่อเบ็นและผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็ก ๆ เบ็นหลีกเลี่ยงการโจมตีของซอมบี้หลายร้อยตัวและปรากฏตัวในฐานะผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว แต่สุดท้ายเขากลับถูกยิงเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายใต้ผิวขาว(ฝั่งอนุรักษ์นิยมและเกลียดขยาดคนดำ)

เปิดตัวเพียงห้าเดือนหลังจากการลอบสังหารมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ Night of the Living Dead เต็มไปด้วยประเด็นทางการเมืองที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติที่ปั่นป่วนของสหรัฐ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติถูกถักทอตลอดทั้งเรื่อง โดยส่วนใหญ่ระหว่างเบ็นคนดำ กับ แฮร์รี่เผด็จการผิวขาวที่อำนาจของเขาถูกคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทอมหนุ่มนักอุดมคติในกลุ่มพูดแทรกขึ้นมาว่า “เราทุกคนคงจะดีขึ้นมากถ้าเราทั้งสามคนทำงานร่วมกัน” แต่ทอมเป็นตัวละครที่มักจะถูกมองข้ามเสมอ เครดิตปิดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นชุดภาพนิ่งคล้ายภาพข่าว ที่กลุ่มคนผิวขาวชาวใต้ใช้ตะขอเกี่ยวเนื้อเจาะร่างกายที่ไร้ชีวิตของเบ็น แล้วโพสท่าถ่ายรูป เมื่อช็อตสุดท้ายจับจ้องไปที่ไฟที่โหมกระหน่ำซึ่งชวนให้นึกถึงพิธีกรรมของ Ku Klux Klan เราได้ยินเสียงสุนัขตำรวจเห่าดังก้องอยู่ในระยะไกล คล้ายเหตุการณ์จริงที่ตำรวจใช้สุนัขปราบจราจล

ฉากจบของ Night of the Living Dead

“ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการตอบสนองโดยตรงต่อเหตุการณ์ทางวัฒนธรรม” โรเจอร์ ลัคเฮิสต์ ผู้เขียน Zombies: A Cultural History กล่าว “มันถูกแสดงให้ผู้คนในเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนผิวสี และมักจะถูกฉายคู่กับ Slaves (1969) ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับการกบฏของทาสในยุค 1850 หนังของโรเมโรเรื่องนี้ยังถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนิวยอร์ก (MOMA) ในฐานะรูปแบบของศิลปะการสร้างภาพยนตร์ทางการเมือง” Night of the Living Dead ยังเป็นการปฏิวัติด้วยภาพยนตร์ที่โดดเด่นเรื่องแรกที่มีฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาล ซึ่งตรงข้ามกับซอมบี้ที่อยู่โดดเดี่ยวในหนังก่อน ๆ นี้

และใช้ฝูงซอมบี้เหล่านั้นเป็น สัญลักษณ์ของการคืบคลานคุกคามที่ใกล้เข้ามา เป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันจำนวนมากได้สัมผัสกับความน่าสะพรึงกลัวของสงครามในวงกว้าง ในช่วงท้ายของหนังฉบับฉายทางทีวีจะมีเสียงผู้ประกาศข่าวรายงานว่าฝ่ายทางการจะใช้ยุทธวิธี “ค้นหาและกำจัด” เพื่อกำจัดซอมบี้ อันเป็นการอ้างอิงถึงยุทธวิธีที่กองทหารสหรัฐใช้ต่อสู้กับเวียดกง ที่ทหารอเมริกันใช้วิธีนับศพเพื่อวัดความสำเร็จของการโจมตี มากกว่าประสิทธิภาพในเชิงยุทธศาสตร์

ซอมบี้ระบาด: ความหวาดกลัวการติดเชื้อ

เริ่มต้นในทศวรรษที่ 1980 ความกลัวต่อการติดเชื้อทั่วโลกครอบงำจิตใจของชาวอเมริกัน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้พบเห็นไวรัสที่สำคัญหลายตัวซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏชื่อ จนกระทั่งอีโบลาถูกตรวจพบในซูดานในปี 1976, โรคเอดส์ปรากฏตัวในปี 1980, ไข้หวัดนกระบาดในจีนช่วงกลางทศวรรษที่ 90 โรคซาร์สแพร่กระจายไปทั่วโลกในปี 2003 มาจนถึงเชื้ออู่ฮั่น COVID-19 ความกลัวต่อ “โรคระบาดร้ายแรง” ความกลัวการแพร่ระบาดเหล่านี้ – เช่นเดียวกับความกลัวทั้งหมดก่อนหน้านี้ – ถูกหลอมรวมเข้ากับความรู้สึกกลัวซอมบี้อย่างรวดเร็ว

บทความเกี่ยวกับโรคเอดส์ในช่วงต้นปี 1986 ในวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกันมีชื่อว่า “Night of the Living Dead II” ในวิดีโอเกมยอดนิยมอย่าง Resident Evil (1996) บริษัทยารายใหญ่อย่าง Umbrella Corporation ได้ทดลองอย่างลับ ๆ กับอาวุธอินทรีย์ชีวภาพ และพัฒนา “T-virus” ซึ่งเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ที่ทำให้ศพกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ไวรัส “ไข้หวัดเขียว” คือต้นเหตุของซอมบี้ในโครงเรื่องของวิดีโอเกม Left 4 Dead ในปี 2008 ภาพยนตร์เรื่อง 28 Days Later (2002) ดำเนินเรื่องคล้าย ๆ กัน ที่เปิดเรื่องด้วยลิงที่ติดเชื้อไวรัสแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดความเดือดดาลหนีออกจากห้องแล็บวิจัยทางการแพทย์ ไปสู่การติดเชื้อแพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งผลให้ดิสโทเปียล่มสลาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ซอมบี้และต้นกำเนิดใหม่ที่เกิดจากทางการแพทย์ได้ถูกนำมาใช้โดยผู้เอาชีวิตรอดฮาร์ดคอร์ ในปี 2011 สตีเว่น โชลซ์แมน นักประสาทชีววิทยาจากฮาร์เวิร์ด ได้เปิดตัว The Zombie Autopsies: Secret Notebooks From the Apocalypse ซึ่งเขาได้นำเสนอสถานการณ์ซอมบี้ที่ “เหมือนจริง” โดยอ้างอิงจาก “หลักฐาน” ทางวิทยาศาสตร์ เขายังตั้งชื่อโรคติดต่อจากซอมบี้ว่า Ataxic Neurodegenerative Satiety Deficiency syndrome (A.N.S.D.) ในปีเดียวกันนั้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคที่มีชื่อเสียงได้เผยแพร่ “การเตรียมพร้อม 101: คติซอมบี้” อันเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดของโรคระบาดในวงกว้าง แคมเปญนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนขยายเป็นบล็อกส่งเสริมการขาย และนิยายสั้น

ชาวแคนซัสรวมตัวกันสวมบทบาทเตรียมพร้อมล่าซอมบี้

ซอมบี้หลังหายนะ: ความกลัวซึ่งกันและกัน

ในปี 2013 กองทัพพลเรือนปรากฏขึ้นในมิดเวสต์ กองทหารต่อต้านผีดิบแคนซัส “คนธรรมดาสามารถเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดที่หลายคนกลัวได้หรือ?” อัลเฟรโด คาร์บาจาล โฆษกของกองทหารรักษาการณ์สอบถาม “ความเป็นไปได้คือใช่ มันเกิดขึ้นได้ เราได้เห็นเหตุการณ์ที่ใกล้ตัวมาก และเราคิดว่าเป็นไปได้มากกว่าที่ผู้คนคิด” พวกเขาแบ่งกันเป็นสองพวก พวกนึงแต่งตัวเป็นซอมบี้ อีกพวกแต่งเป็นทหารถือปืน เตรียมซ้อมรบสวนบทบาทล่าซอมบี้วันโลกแตก

สมาชิกของกองทหารรักษาการณ์ที่เติบโตมากับภาพยนตร์อย่าง 28 Days Later และวิดีโอเกมอย่าง Left 4 Dead กลัวซอมบี้ “โรคระบาดทั่วโลก” อย่างสุดซึ้ง และกลยุทธ์การเตรียมพร้อมของพวกเขาก็เน้นไปที่ปืนเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่า คาร์บาจาล จะแนะนำให้ใช้วัตถุไม่มีคม เช่น ไม้ตี หรือกระบองเพื่อฆ่าซอมบี้ กองทหารรักษาการณ์อื่น ๆ จำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงกลุ่มของกองทหารอาสาสมัครมิชิแกน ได้ปฏิบัติตาม โดยใช้คติซอมบี้ในธีมการแพร่ระบาดเป็นเหตุผลในการอ้างสิทธิในการใช้อาวุธปืน

ใน The Walking Dead (2010-2022) – รายการโทรทัศน์ที่สร้างจากการ์ตูนชื่อเดียวกัน – นำเสนอภาพนรกหลังหายนะที่ซึ่ง “เดอะ วอล์คเกอร์” (ซอมบี้) เป็นปัญหาน้อยที่สุดของผู้รอดชีวิต และปัญหาตัวตึงตัวเต็งคือมนุษย์ด้วยกันเองที่จ้องจะฆ่ากันและกัน เคยฆ่าคนบริสุทธิ์มาด้วยกันแล้วทั้งหมดทั้งสิ้นไม่เว้นแม้แต่พระเอก ตลอดทุกซีซั่นของซีรีส์นี้ ตัวละครเอกมักถูกคุกคามจากผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโจรติดอาวุธ ผู้นำลัทธิโรคจิต แก๊งมอเตอร์ไซค์ และอันธพาล ฯลฯ

โลกหลังหายนะเต็มไปด้วยชนเผ่าที่สนใจแต่ในการอนุรักษ์ตนเอง ชีวิตอื่นทั้งหมดถือเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง หลังจากการปะทะกันที่น่าสยดสยองโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชุมชนผู้รอดชีวิตสองชุมชนในซีซันที่หก ชายมีหนวดมีเคราชื่อเยซูสแกนกองศพที่เพิ่งถูกสังหารหมู่และพึมพำว่า “นี่คือลักษณะของโลกใหม่”

เกล็น ใน The Walking Dead เขาไม่เคยฆ่าคนด้วยกันมาก่อน แต่กลับถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

ผู้เขียน โรเจอร์ ลัคเฮิร์สต์ กล่าวถึงการไม่สามารถอยู่ร่วมกันกับผู้รอดชีวิตอื่น ๆ ได้ว่ามาจาก “คุณค่าเชิงอนุรักษ์นิยมอย่างลึกซึ้งของ ‘การปกป้องตัวคุณเอง'” ไม่มีใครเป็นตัวอย่างได้ดีไปกว่า แดริล ดิกซอน จาก The Walking Dead ผู้ประกาศตัวเองว่าเป็นคนใจแคบที่ “ทำให้การเหยียดเชื้อชาติกลายเป็นที่ชื่นชอบ” แดริลจงรักภักดีต่อคนที่ชอบเขาอย่างรุนแรงและเป็นอิสระอย่างแข็งขัน เขารักษาความคิดนอกกรอบ พึ่งพาคนอื่น และไม่เคยถูกจับได้หากไม่มีหน้าไม้ ปืน และมีดอย่างน้อยสามเล่ม เขาเป็นศูนย์รวมของความคิดทางใต้ “อย่าเหยียบกูก่อน”

โดยธรรมชาติแล้วซอมบี้ต่อสู้กับความกลัวที่จะสูญเสียสิทธิ์เสรี แต่ในสายตาของบางฝ่าย การชำระล้างความเน่าเฟะของสังคมและเปิดโอกาสให้เริ่มต้นใหม่จากศูนย์ด้วยข้อกำหนดชุดใหม่ก็เกิดขึ้นทั้งใน The Walking Dead และ The Last of Us แต่จินตนาการนี้ถูกคุกคามโดยหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของเรื่องเล่าเกี่ยวกับซอมบี้ที่กำลังแพร่ระบาด นั่นก็คือโลกาภิวัตน์ ในสายตาของผู้รอดชีวิต ความเชื่อมโยงกันเป็นตัวการนำไปสู่การไร้ซึ่งอิสรภาพ — พวกเขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงมัน อยู่กันเป็นกลุ่มก็จริง แต่ไม่ยุ่งกับกลุ่มอื่นที่มีแนวความเชื่อต่างกัน

ฉากซอมบี้ไต่กำแพงกรุงเยรูซาเล็มใน World War Z

กำแพงสูงจึงมีจุดเด่นอย่างเด่นชัดใน The Walking Dead และ The Last of Us เพื่อป้องกันทั้งซอมบี้และมนุษย์ด้วยกันเอง(กลุ่มอื่น) ในภาพยนต์เรื่อง World War Z (2013) กรุงเยรูซาเล็มถูกฝูงซอมบี้รุมล้อมคลานไต่กำแพง ซอมบี้อพยพเหล่านี้ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตในหนังเรื่องก่อน ๆ ตรงที่พวกมันเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง มีความเร่งรีบ สร้างความแตกตื่นให้กับความกลัวของผู้ชมเกี่ยวกับอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ในภาพยนตร์ซอมบี้ยุคแรก ๆ ผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็ก ๆ รวมกลุ่มกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอด ในประเภทหลังวันสิ้นโลก ความเป็นเอกภาพของโลกไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เพราะกลายเป็นว่าการรวมกลุ่มกันของผู้คนอันมีความเชื่ออันหลากหลาย กลายเป็นความเสี่ยง เป็นอันตรายถึงชีวิต หวาดกลัวต่อการถูกลอบฆ่า คนด้วยกันกลายเป็นภัยคุกคามไม่แพ้พวกซอมบี้

ทุกคนยืนหยัดที่จะมีชีวิตรอดแต่อยู่ในเงื่อนไขของตนเอง การทำลายล้างส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มมนุษย์ที่เหลืออยู่ที่ต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นโลกาภิวัตน์ของซอมบี้จึงเปิดเผยความกลัวที่แท้จริงและลึกที่สุดของเรา นั่นคือ “กันและกัน”

ตลอด 80 ปีที่ผ่านมา ชาวอเมริกันสามารถนำผีดิบที่เคลื่อนไหวไม่ได้ตามประเพณีวูดูของเฮติมาแปลงร่างให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้าย กระหายเลือด และแพร่ระบาดเชื้ออย่างรวดเร็ว โดยตั้งใจที่จะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า ความกลัว ซึ่งครั้งหนึ่งเคยบังคับให้เราจัดการกับซอมบี้ กลับกลายเป็นจัดการกับมนุษย์ด้วยกันเอง สิ่งนี้ทำให้ซอมบี้ไม่เพียงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความกลัวทางประวัติศาสตร์ของโลกเราเท่านั้น…อย่างปฏิเสธไม่ได้ นับแต่โลกมีทีวี และหนังฮอลลีวูดในช่วงสงครามเย็น (และอินเทอร์เนตในยุคนี้) มันคือการระบาดความเชื่อ ความหวาดกลัวในอเมริกาอย่างไร ในชั่วพริบตา ความคลั่งใคล้ รสนิยม แฟชั่น ความฮิต ความป๊อปในฟากฝั่งอเมริกาก็สามารถมาสู่โลกในฝั่งเราได้โดยทันที

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ ซอมบี้ทำให้เรากลัวการกวาดล้าง…การกระทำที่ดำมืดต่ำตมที่สุดของตัวเราเอง — และในการทำเช่นนั้น มันทำให้เราสงสัยว่าความเป็นมนุษย์หมายความว่าอย่างไร