ซีรีส์ “สร้างสังคมฉุกคิดด้วย…ESG” ในส่วน “ESG Investing” พูดคุยกับผู้ลงทุนในประเทศ (สถาบัน/บุคคล) ต่อการลงทุนที่ยึดกรอบ ESG นำเสนอแนวคิด วิธีการ กระบวนการของทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคล ที่นำ ESG มาเป็นกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน รวมทั้งการใช้บทบาทในฐานะผู้ลงทุนร่วมขับเคลื่อนให้กิจการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในกรอบ ESG ซีรีส์นี้จะบอกเล่าแต่ละกรณีตัวอย่าง เพื่อร่วมกันสร้างการลงทุนยั่งยืนด้วย…ESG
ชัยธวัฒน์ เจริญพุทธิพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ อินฟินิต จำกัด หรือที่รู้จักในนาม “ก้อง” ในค่าย ซุปเปอร์เทรดเดอร์
“ก้อง” เป็นนักลงทุนอิสระ จัดตัวเองว่าเป็นนักลงทุนสายเทคนิคอล เริ่มต้นลงทุนด้วยการไม่มีความรู้ จึงให้ความสำคัญกับความรู้ เพราะโลกการลงทุนปัจจุบันมีให้ลงทุนที่หลากหลายในแง่ผลิตภัณฑ์การลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟิวเจอร์ส คริปโต และในแง่ตลาดที่จะเข้าไปลงทุน
สำหรับการลงทุนด้วยหลักการ ESG “ก้อง” บอกว่า “เป็นกระแสหนึ่งที่อาจจะเป็นกระแสของอนาคต ที่นักลงทุนสามารถเกาะกระแสไปได้ หากมีความรู้ที่มากพอ ไม่ว่าความรู้ด้านปัจจัยพื้นฐานหรือด้านเทคนิค”
ก้องบอกเล่าเส้นทางการลงทุนว่า ในช่วง 9-10 ปีที่แล้วจากการที่เป็นนักลงทุน ได้พยายามหากลุ่มการลงทุน ใน community สมัยก่อนยากมาก ยูทูล เฟซบุ๊ก ไม่ได้เฟื่องฟูขนาดนี้ การหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนยากมาก ความรู้ด้านเทคนิคก็ค่อนข้างหายาก ส่วนใหญ่เป็นหนังสือต่างประเทศ เมื่อเริ่มลงทุนก็อยากจะหากลุ่ม
“ตอนนั้นผมเข้าตลาดวันแรกไม่มีความรู้ทั่วไป แค่อยากได้เงิน พอเข้าไปในตลาดทองปี 2010-2011 เละ แต่ผมโชคดีคือซื้อ gold online ทองคำแท่ง สมัยที่เขาต่อคิวเยาวราช แต่ผมทำธุรกิจ และรู้สึกว่าเราคนรุ่นใหม่วัยรุ่น ซื้อออนไลน์ แต่เราดูกราฟไม่เป็น ฟังแต่ข่าวว่ามันจะขึ้น พออยู่ 1,700 เขาก็บอกว่าจะไป 2,000 พอ 1,800 ไป 3,000 สุดท้ายลงมา 1,100 เหรียญค้างตรงนั้น ผมก็เก็บเป็นทองคำแท่งไป สุดท้ายก็ข้องใจตัวเองว่าทำไมเราดูไม่ออก”
ก้องบอกว่า หลังจากลงทุนทองคำไปและไม่ประสบความสำเร็จ ก็ยังไม่ถอดใจ แต่กลับมาใหม่ คิดว่าทองน่าจะไม่เหมาะกับตัวเอง จึงหันไปที่หุ้น ก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเข้าใจว่าหุ้นมันสายการเงิน ไม่รู้อีกว่าเล่นกันยังไง รู้ว่าหุ้นต้องรู้งบการเงิน ภาพเป็นแบบนั้น ซึ่งรู้สึกว่าคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ยิ่งไปคุยกับพ่อแม่ยุคปี 2540 ถามว่าเล่นหุ้นหรือเปล่า เขากลัว เข็ดเลย เพราะยุคนั้นมันเละทั้งตลาด เป็นภาพจำผู้ใหญ่ หุ้นเสี่ยงมาก สุดท้ายก็ถามว่าจริงหรือ
ก้องเล่าอีกว่า แต่ก่อนมีหนังสือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่เป็นพื้นฐาน ก็อ่านไม่เข้าใจ เพราะเรียนมาสายกราฟิกดีไซน์ ทำบริษัทเอเจนซี่ ไม่รู้เรื่องเลย ทำธุรกิจอย่างเดียว และมันมีศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า technical analysis ซึ่งแต่ก่อนหาความรู้เรื่องนี้ยากมาก ไม่รู้จะทำยังไงก็ไปหาคนเรียน ศึกษาจากยูทูปฝรั่ง เริ่มพอเห็นภาพ เข้าใจตัวเองว่าเรามาสายอาร์ต ดูงบการเงินบรรทัดเยอะๆ ไม่ค่อยเข้าใจ กราฟก็ไม่เป็น
“แต่เรามองกราฟแล้วรู้สึกว่าเข้าใจ movement pattern แล้ว เข้าใจได้ง่ายกว่าอัตราส่วนทางการเงิน ผมเลยเป็นนักลงทุนสายเทคนิคฃ เพราะผมมองกราฟเข้าใจกว่าตัวเอง ผมรู้ว่าขึ้นลงแล้วจะไปยังไงต่อ”
จากนั้นก้องรู้จักกับ กระทรวง จารุศิระ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ ซุปเปอร์เทรดเดอร์ โฮลดิ้ง จึงต่อยอดมาเป็น supertrader
ก้องเล่าว่า ขณะนั้น กระทรวงได้แฟนพันธุ์แท้ตลาดทุนไทย ก้องซึ่งเป็น FC ได้ดูอยู่ ก็มองว่าพี่คนนี้เก่ง ตอบได้ทุกอย่าง แต่เวลาผ่านไปสักพัก มีกลุ่ม FB ชื่อ survivor trade ก็ได้เข้าไปอยู่ ก็พบว่ากระทรวงเป็นเจ้าของห้อง เขาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ใน community เล็กๆ คนไม่ได้เยอะระดับร้อยคน
“ตอนนั้นพี่ซัน (กระทรวง) ก็มีไอเดีย บอกว่ากลุ่มเรายังไม่มีแบรนด์และโลโก้ ตอนนั้นผมทำธุรกิจเกี่ยวกับกราฟิกดีไซน์ และสนใจเกี่ยวกับเรื่องการลงทุน อันนี้เข้าทาง เพราะเขาประกาศในกรุ๊ปว่าสมาชิก 400-500 คน ใครออกแบบโลโก้ได้ช่วยออกแบบให้หน่อย และโหวตกัน รางวัลคือไปกินติ่มซำกับคุณกระทรวง ผมมองว่าเป็นสุดยอดรางวัล คนส่งไป 20-30 คน ปรากฏว่าเราชนะ ได้กินติ่มซำ”
ก้องเล่าต่อว่า วันแรกที่เจอ คุยเรื่องการลงทุน เขาบอกว่าเราฝีมือดี พี่มีโปรเจกต์ มาทำด้วยกันไหม ก็ลุย แล้วทำรายการ Super Trader Thailand
จากมื้อติ่มซำในวันนั้น ก้องได้ร่วมเดินทางกับ Super Trader Thailand มาตลอด 8-9 ปี จนปัจจุบันเป็นหัวเรือใหญ่ บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ อินฟินิต จำกัด
ความรู้ไร้ขีดจำกัด
เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ซุปเปอร์เทรดเดอร์ ได้เปิดตัว Supertrader Infinite โครงการขยายความรู้ติดอาวุธด้านการลงทุน ด้วยการเรียนการสอนครอบคลุมถึง 4 ตลาด ทั้ง ตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดฟิวเจอร์ส และตลาดคริปโทเคอร์เรนซี เชื่อมความรู้โลกลงทุนเป็นหนึ่งเดียว เพิ่มศักยภาพนักลงทุนให้แข็งแกร่งท่ามกลางตลาดการลงทุนที่ผันผวน ผ่าน 53 บทเรียน จากกูรูตัวจริงในแต่ละตลาดที่มาร่วมถ่ายทอดความรู้ครบทุกมิติการลงทุน ตลอดระยะเวลา 1 ปี ด้วยการเรียนการสอนระบบ on site และ online ทั้งผู้สมัครยังได้รับสิทธิ์แข่งขันวัด performance ในพอร์ต
ก้องบอกว่า จาก season 1 ทำด้วยความสนุก ไม่มีค่าตอบแทน ได้สปอนเซอร์เท่าไรแจกรางวัลหมด “เอามาทำรายการอีเวนต์ให้ความรู้ เป็นส่่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าวงการลงทุนเต็มตัว เจอเพื่อนพี่น้องที่มีความสามารถ เราได้เรียนรู้ไปด้วย จากที่ลงทุนคนเดียว พอมีเพื่อนก็ง่ายขึ้น คุยกันง่าย มีอะไรแชร์กันตลอด” ก็จัดกันมา season 1, 2, 3, 4 จัดกันมา 4 ปี หลังๆ ต้องมาทำ Academy ใช้สรรพกำลังเยอะ
“รอบนี้เราคุยกันตั้งแต่ปีก่อน เรามองว่าตอนนี้ตลาดมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นไทย เดิมทีเราทำในตลาดหุ้นไทย Supertrader Thailand แต่ 8-9 ปีผ่านไปตลาดเปลี่ยนไป สินค้าเพิ่มขึ้น มีทั้งหุ้นนอกที่เข้าถึงได้ง่าย เปิดพอร์ตไม่ต้องบินไป เปิดพอร์ตในไทยออนไลน์ได้เลย คริปโทเคอร์เรนซี่ก็เป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจเราเป็นนักลงทุน ควรมีความรู้รอบด้าน”
ก้องจึงได้คุยกับกระทรวงและทีมงานว่า น่าจะเอา SuperTrader กลับมาทำให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นไทย แต่มีทั้งตลาด leverage futures มีทั้งตลาดอินเตอร์ ตลาดหุ้นอเมริกามีหุ้น 8,000 กว่าตัวเยอะมาก
“นักลงทุนอย่างเรา หรือผู้ที่สนใจลงทุนไม่ใช่แค่เทรดในเมืองไทย เทรดหุ้นไทยอย่างเดียว เราควรมีความรู้รอบด้าน เกิดเป็นโปรเจกต์นี้ Supertrader Infinite เลยอยากรวบรวมทุกตลาดเข้ามาอยู่ด้วยกัน เป็นความรู้ที่แชร์กัน เราจะได้รู้ว่าต่างประเทศตอนนี้ดีไหม ตลาดการเก็งกำไร crypto future เป็นยังไง ผสมผสานกันได้หมด และเรื่องสิ่งที่ถนัดและเข้าใจ”
ซุปเปอร์เทรดเดอร์ อินฟินิต รอบนี้มาในแนวคิด จักรวาลแห่งการลงทุนไร้ขีดจำกัด (The Universe of Infinite Investment) เป็นโครงการที่รวบรวมความรู้ด้านการลงทุนไว้อย่างครบครัน ทั้งตลาดหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ฟิวเจอร์ส และคริปโทฯ ซึ่งก้องอธิบายว่า “เราติดอาวุธรอบด้านทุกตลาด ไม่ได้จำกัดตัวเองแค่ในประเทศและเทรดแค่หุ้นไทย เราสามารถเทรดได้ทั่วโลก ทุกสินค้า ใครมีเวลาเยอะ ตลาดคริปโตก็เปิดตลอด หรือกลางคืนดึกๆ ตอนนี้ค่าเงินลง หุ้นต่างประเทศก็น่าสนใจ หรือหุ้นไทยที่เราคุ้นเคยก็มาเสริมความรู้ติดอาวุธ ถ้ามันจะเปลี่ยนบ่อยๆ ทุกวันเราก็ให้ความรู้ทั้งหมด”
ก้องบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อยากให้เข้ามาหาความรู้กันก่อน “สำคัญคือลงทุนกับความรู้” อย่างเราสอนตั้งแต่เริ่มต้น ไปจนถึง intermediate และ professional ทั้งหมดสมัครเข้ามาได้เรียน 53 คลาส เข้ามาสัมผัสกับ community นอกจากนี้ยังสามารถเข้าร่วมได้ตลอดเวลา รวมทั้งมีการสอบแข่งแบบปี เพื่อให้อิงกับตลาดจริงมากที่สุด
Mindset สำคัญต้องรู้ซื้อ-ขายเพราะอะไร
อย่างไรก็ตามก้องบอกว่า pure techanical อาจจะตอบโจทย์การเก็งกำไร แต่การจะลงทุนให้ได้ big shot ต้องศึกษาพื้นฐานด้วย เทคนิคจะบอกจุดเข้าจุดออกได้ดี ซื้อแล้วรอไม่นาน ไปเลย ซื้อในจุดที่ราคาดี แต่พื้นฐาน (fundemental) ทำให้ถือแล้วเข้าใจมากขึ้นว่ากิจการเขาดีนะ ถือได้มั่นใจและกล้าใส่เงินเยอะ ถ้ารู้เทคนิคแล้วใส่เงินเยอะ พอราคาผันผวนมันจะสั่น ไม่ไหว เทรดไปเทรดมา มันไม่รวยเท่าตีแตกหุ้นชุดหนึ่งแล้วหาจังหวะเข้าด้วยเทคนิคอลสวยๆ ต้องมีความรู้รอบด้าน
สำหรับความรู้พื้นฐานของนักลงทุน ก้องแนะนำเรื่องเทคนิคอลเป็นหลัก สมมติเปิดมาไม่รู้อะไรเลย เปิดชาร์ตขึ้นมา เห็นแล้วราคาโซนไหน ตรงนี้สำคัญ เพราะจุดที่เข้าซื้อต้องเป็นจุดที่ซื้อแล้วได้เปรียบ ถ้าซื้อแล้วเสียเปรียบ สมมติเห็นทริกเกอร์ขึ้นเขียวๆ ไม่รู้ว่าชาร์ตมันอยู่เฟสไหนของราคา เห็นแต่มันวิ่งๆ ก็นึกว่ามันบูม เข้าไปก็เรียบร้อย อาจจะเป็นช่วงปล่อยของก็ได้ หรือช่วงที่ไม่มีใครสนใจหุ้นตัวนี้ bid offer น้อยมาก อาจจะอยู่ในช่วงเวลาที่ดี เหมาะสม
“technical สำคัญ fundemental ก็ควรศึกษาไว้ เรื่อง macro ความรู้ทั่วไปก็ต้องรู้ด้วย ต่างชาติเป็นยังไง เพราะมันเอฟเฟคถึงกันหมด
นอกจากความรู้พื้นฐาน ความรู้ด้านเทคนิคอลแล้ว ก้องมองว่า สินทรัพย์แต่ละประเภท แม้คาแรกเตอร์ต่างกันก็จริง แต่กราฟไม่ได้ต่างกันมาก เพราะถ้ารู้ว่าแพทเทิร์นชุดนี้มันใช้ได้ ในทุกสินทรัพย์ไม่ได้ต่างกัน ราคาเคลื่อนไหวคล้ายกัน ถ้าเข้าใจว่าช่วงนี้คือ trend sideway downtrend ใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ แค่เข้าไปดูคาแรกเตอร์
เช่น หุ้นไทยเปิด 5 วัน มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คริปโทเทรด 24 ชั่วโมง 7 วัน กราฟก็เคลื่อนไหวตลอด แค่คาแรคเตอร์ต่าง แต่โดยพื้นฐาน chart technical เครื่องมือแนวรับ แนวต้านยังใช้ได้อยู่ หรือจะเป็น moving average เส้นต่างๆ ยังใช้ได้ แค่ไปหาคาแรกเตอร์มันว่าถ้คริปโตลงมาโซนแถวๆ นี้จะมีแรงซื้อกลับ
ที่สำคัญอีกอย่างคือ mindset ในการลงทุน ซึ่งก้องบอกว่า “ส่วนตัวผมมองว่า mindset ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าซื้อเพราะอะไร ขายเพราะอะไร ถ้าบอกว่าซื้อด้วยกราฟ ก็ต้องออกด้วยกราฟ ถ้ามันหลุดแนวที่วางไว้ก็ต้อง stop loss ดู mindset ในการลงทุน ถ้าซื้อตามข่าว ดูชาร์ตไม่เป็น โอกาสเละสูงมาก”
“เราต้องคิดเสมอว่า นักลงทุน 100% คนได้กำไรคือส่วนน้อยมาก”
สำหรับนักลงทุนที่หวังผลตอบแทน ถ้าจะใช้เทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ต้องการ ก้องแนะนำว่า ขั้นแรกเลย หาความรู้ ไม่ต้องรีบรวย mindset คนเข้ามาส่วนใหญ่แล้วเจ๊งเพราะอยากรวยเร็ว พออยากรวยเร็วก็ใส่เงินเยอะ “พอใส่เงินเยอะโดยไม่มีความรู้ก็เยอะ เป็นธรรมชาติของเม่า ผมก็เคยเป็นเม่ามาก่อน”
“เหมือนที่ผมบอกเรื่องคริปโทฯ ผมไม่มีความรู้ แต่พอดีผมเป็นนักลงทุน ผมก็รู้ว่าอยากลอง แต่คนทั่วไปไม่รู้ไปลองด้วยเงินเยอะๆ คนติดดอยคริปโทฯ 5-6 หมื่นเพียบ แต่ผมลองด้วยเงินน้อยๆ โดย 1,000 ก็ไม่เจ๊ง มันต้องมีความรู้ mindset อย่ารีบรวย เข้ามาหาความรู้ก่อน”
ก้องกล่าวว่า สุดท้าย ตลาดหุ้นหรือตลาดทุนคงอยู่ตลอดไป ตลาดหุ้นไม่ได้เปิดวันนี้แล้วปิดเลยในช่วงอายุ ไม่มีทาง การลงทุนเปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ ให้หาความรู้ ค่อยๆ ศึกษา ลงด้วยจำนวนเงินน้อยๆ แล้วไล่สเต็ปไปเรื่อยๆ อย่างน้อยเอาชนะเงินเฟ้อได้ก็ดีแล้ว ยังไงผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก 1-2% อยู่แล้ว ถ้าเทรดเป็น ลงทุนเป็น อย่างน้อยซื้อไม่เป็นเลย ซื้อหุ้นปันผลดีๆ yield ดีๆ ก็ 5% ยังไม่ต้องรีบรวย ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเขามาแบบรีบรวยเราจะจน แต่ถ้าอยู่กับตลาดให้นานพอ ก็จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
ESG เกาะกระแสได้หากมีความรู้พอ
สำหรับการลงทุนบน ESG ที่กำลังเป็นกระแสงการลงทุนหลักของโลก ก้องมองว่า มันก็เป็นเทรนด์ เหมือน EV ลงทุนในกลุ่มเทค ก็เป็นกระแสหนึ่ง สุดท้ายเราก็ต้องอยู่กับตลาดทุนอีกนาน
“กระแสที่มามันอาจจะเป็นเทรนด์ในอนาคต เราเกาะกระแสไปกับเขาได้เลยถ้าเรามีความรู้ที่มากพอ ไม่ว่าเทคนิค พื้นฐาน macro ข่าวต่างๆ เศรษฐกิจโลก ถ้าอยากเป็นนักลงทุนต้องรอบรู้”
ESG คือการลงทุนที่ยั่งยืน ให้ผลตอบแทน แต่ถ้าเรามีความรู้ ก็ทำให้พอร์ตของเรายั่งยืนได้ แต่โดยส่วนตัวก้องไม่ได้ซื้อหุ้นที่จัดว่าเป็นหุ้นที่ทำเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือทำเพื่อสังคม ซึ่งก้องบอกว่า
“ต้องเอามาดูก่อนว่าธุรกิจเขาเป็นยังไง ทำอะไร timing ได้หรือยัง ถ้าอยู่ในตลาดอยู่แล้ว มีกราฟก็เปิดกราฟด้วยว่าอยู่ในเฟสไหน ทุกตัวที่เรารับทราบข้อมูลต้องมาเช็คด้วยตัวเราเองเสมอ”
“เพราะถ้าวันไหนที่เราซื้อโดยตอบตัวเองไม่ได้ว่าซื้อเพราะอะไร มันจะงง แล้วจุดออกตรงไหน คัดตรงไหน ขายตรงไหน มันไม่รู้ ระยะยาวเราก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้าอยู่ในตลาดนานพอเดี๋ยวรวยเอง ถ้าไม่ล้มหายตายจากพอร์ตแตก”