ในรายงานล่าสุด “Economic Outlook for Asia – Pacific” เผยแพร่โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม การเติบโต GDP ของเวียดนามคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7% ในปีนี้ รายงานของ IMF ระบุว่า แนวโน้มการเติบโตที่เป็นบวกของเวียดนามสวนทางกับแนวโน้มการชะลอตัวในส่วนอื่นๆ ในเอเชีย เป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนตัวกว่า ซึ่งก็ต่างจากภาพรวมในภูมิภาคนี้ด้วย
การรายงานสัญญาณทางบวกของเศรษฐกิจเวียดนามมีขึ้นท่ามกลางการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเอเชียจาก IMF เป็น 4.0% ในปีนี้และ 4.3% ในปีหน้า ลดลง 0.9% จุดและ 0.8 จุดจากที่เคยประเมินในเดือนเมษายนตามลำดับ เนื่องจากสภาวะการเงินที่ตึงตัวทั่วโลก เงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากความขัดแย้งในยูเครนและจีนชะลอตัวลงอย่างมาก
นอกเหนือจากการประเมินของ IMF แล้ว รายงานของธนาคารโลก (WB) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม แสดงให้เห็นว่า GDP ของเวียดนามเติบโต 13.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่สามของปีนี้ และ 8.9% ในช่วงสามไตรมาสแรก
ในรายงาน การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการค้าปลีกมีอัตราการเติบโตสูงอีกเดือนหนึ่ง (13.0% และ 36.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและผลจากฐานที่ต่ำ
ในขณะเดียวกัน ดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 2.73% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว การควบคุมอัตราเงินเฟ้อช่วยให้เวียดนามสามารถรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ซับซ้อน
นโยบายการเงินของธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam) ยังค่อนข้างมีประสิทธิภาพ อัตราเงินเฟ้อในเวียดนามยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในหลายประเทศ แนวโน้มการเติบโตยังคงเป็นไปในเชิงบวก และเวียดนามยังคงเป็นประเทศที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในอนาคต นาย Francois Painchaud หัวหน้าผู้แทนของ IMF ในเวียดนามกล่าว
รายงานของ IMF ชี้ว่า ความสำเร็จเหล่านี้มาจากการใช้กลยุทธ์การใช้ชีวิตร่วมกับโควิดของประเทศ และการให้วัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศ นโยบายที่มีประสิทธิภาพหลายชุด เช่น การเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง อัตราดอกเบี้ยต่ำ และโครงการของรัฐบาลเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ได้เร่งผลิตผลการผลิตที่แข็งแกร่งและการฟื้นตัวของกิจกรรมการค้าปลีกและการท่องเที่ยว
หนึ่งในแรงผลักดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามก็คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงเติบโตในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในเศรษฐกิจเวียดนาม สำนักงานสถิติทั่วไปของเวียดนามระบุว่า เงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่บันทึกในเวียดนามในช่วงสามไตรมาสแรกมีจำนวน 15.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนของปี ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2022
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณบวกที่ชัดเจนจากจำนวนโครงการที่จดทะเบียนการลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 9 เดือนของปีนี้ โดยทั้งประเทศมีโครงการใหม่ที่ได้รับใบอนุญาตจดทะเบียนการลงทุนจำนวน 1,355 โครงการ เพิ่มขึ้น 11.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยที่ 769 โครงการเป็นโครงการจดทะเบียนเพื่อปรับมูลค่าเงินลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้น 13.4%
“เสถียรภาพทางการเมือง เสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ความมั่นคงของตลาดการเงิน และความสามัคคีทางสังคม เป็นข้อได้เปรียบของเวียดนามในช่วงนี้ ซึ่งหมายความว่าเวียดนามมีความเสี่ยงต่ำ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่มีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้”
…..นาย Chheang Vanarith ประธานสถาบัน Asian Vision (AVI) กัมพูชาให้ความเห็น
กฎหมายการลงทุนปี 2563 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 ถือได้ว่าเป็นการพลิกโฉมการกำกับดูแลกิจกรรมการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่สร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการโครงการลงทุนสตาร์ตอัพ โครงการลงทุนต่างประเทศในกิจกรรมสตาร์ตอัพในเวียดนาม นักลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (เช่น สนามกอล์ฟและคาสิโน) เพียงแค่ต้องยื่นขออนุมัติจากคณะกรรมการประชาชนของจังหวัดและเมืองเท่านั้น เมื่อเทียบกับกฎหมายฉบับก่อน ที่ข้อเสนอต้องได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี นี่เป็นหนึ่งในการปรับเปลี่ยนที่สำคัญของการปฏิรูปขั้นตอนการบริหาร
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ (เวียดนามมีความได้เปรียบจากการที่ประชากรในวัยทำงานสัดส่วนสูงด้วย) ปัจจุบันเวียดนามอยู่ในยุคทองของประชากร โดย 75% ของประชากรอยู่ในวัยทำงานได้ยาวนานประมาณ 30 ปี
ปัจจุบัน ไทยเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับที่ 9 ในบรรดา 140 ประเทศและเขตปกครองที่ลงทุนในเวียดนาม ด้วยมูลค่าลงทุนรวมกว่า 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแง่ของการค้า ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยมีมูลค่าการซื้อขายระหว่างกันในปี 2564 รวม 19.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ารวม 10.6 พันล้านดอลลาร์
ตลาดเวียดนามเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยมากว่าทศวรรษ กลุ่มบริษัทชั้นนำของไทยทั้งหมดได้เข้าไปดำเนินงานในเวียดนามแล้ว โดยมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี นักลงทุนชาวไทยสนใจที่จะดำเนินธุรกิจในหลายภาคส่วนในเวียดนาม เช่น อาหารสัตว์และเกษตรกรรม พลังงานหมุนเวียน บรรจุภัณฑ์ การขายปลีกและการจัดจำหน่าย ปิโตรเคมี การแปรรูปอาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเครื่องดื่มชูกำลัง
ในเดือนกรกฎาคม เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ธุรกิจค้าปลีกของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนชาวไทยรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ได้เปิดเผยแผนลงทุน 5 ปีด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท (829.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อขยายการดำเนินงานในเวียดนาม
Olivier Langlet ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม (Central Retail Vietnam) กล่าวว่าระหว่างปี 2565 ถึง 2569 เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ตั้งเป้าที่จะเป็นแพลตฟอร์มแบบหลายช่องทางและธุรกิจศูนย์กลางอาหารและการค้าชั้นนำในเวียดนาม รวมทั้งเพิ่มรายได้เป็น 1 แสนล้านบาท พร้อมขยายธุรกิจดำเนินการใน 55 เมืองจาก 63 เมืองและจังหวัดของเวียดนาม
หมายเหตุ Note
รายงานโดย พันธมิตรไทยพับลิก้าในเวียดนาม สรุปภาวะเศรษฐกิจของเวียดนาม สมาชิกอาเซียนที่คาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากในการประชุม APEC 2022 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2565 ที่ประเทศไทย
Reported by Thaipublica’s associates in Vietnam. Vietnam economy which has some updated information. Vietnam is expected to attract attention at APEC 2022 to be held during 14-19 November 2022 in Thailand.