ThaiPublica > เกาะกระแส > Krungthai GLOBAL MARKETS มองเงินดอลลาร์ยังไม่ถึงจุดกลับตัว บาทยังผันผวนและอ่อนค่า

Krungthai GLOBAL MARKETS มองเงินดอลลาร์ยังไม่ถึงจุดกลับตัว บาทยังผันผวนและอ่อนค่า

29 กันยายน 2022


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(29 กันยายน 2565) ที่ระดับ 37.93 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 38.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.90-38.20 บาท/ดอลลาร์

นายนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า บรรยากาศในตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงได้อีกครั้ง หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ประกาศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษระยะยาวแบบไม่จำกัดจำนวน เพื่อลดความผันผวนในตลาดบอนด์อังกฤษ ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี อังกฤษ (Gilt-10y) ปรับตัวลดลงกว่า 50bps สู่ระดับ 4.01% และยังส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วโลกต่างปรับตัวลดลงตาม โดยในฝั่งสหรัฐฯ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ปรับตัวลงกว่า 28bps สู่ระดับ 3.73% ซึ่งการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ผู้เล่นในตลาดกลับเข้าซื้อหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อีกครั้ง (Meta +5.4%, Amazon +3.2%, Alphabet +2.6%) ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า +2.05% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.97%

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวผันผวน ก่อนที่จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 112.6 จุด (-1.8%) หลังจากที่ตลาดการเงินพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) รวมถึงเงินยูโร (EUR) กว่า +1.5% หลังจากที่ BOE ประกาศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษแบบไม่จำกัดจำนวนและช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับตลาดการเงิน

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย

อย่างไรก็ดี Krungthai GLOBAL MARKETS มองว่า ควรติดตามผลกระทบของมาตรการดังกล่าว ควบคู่ไปกับท่าทีของรัฐบาลอังกฤษว่าจะมีการปรับเปลี่ยนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการลดภาษี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอังกฤษให้กลับมาได้หรือไม่ เพราะหากรัฐบาลอังกฤษยังยืนกรานใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ก็มีโอกาสที่มาตรการลดความผันผวนของตลาดการเงินโดย BOE อาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะหยุดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์อังกฤษและหยุดการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ได้ ทั้งนี้ การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้น +2.6% กลับสู่ระดับ 1,666 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ใกล้โซนแนวต้านแถว 1,680-1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรการรีบาวด์ออกมาบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรดังกล่าวก็มีส่วนที่จะช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้

นอกเหนือจากผลการประชุม กนง. ตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดโดยเฉพาะประธานเฟด Powell (รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Bostic, Bowman และ Daly) เพื่อประเมินมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ อาทิ Bullard ได้ออกมาสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้ในวันก่อนหน้า (ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันให้ตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงและผันผวนต่อเนื่อง)

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท Krungthai GLOBAL MARKETS ประเมินว่า จุดกลับตัวของเงินดอลลาร์ยังคงไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ หากตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ทำให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนในฝั่งอ่อนค่าและอาจทดสอบโซนแนวต้าน 38.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยประเมินว่า มีโอกาสที่ในวันนี้ เงินบาทอาจอ่อนค่าทะลุระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ ขึ้นไปทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 38.20 บาทต่อดอลลาร์ได้ หาก กนง. มีมติขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามที่เราคาด ในขณะที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดหวังให้ กนง. เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 38.00-38.30 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลัง กนง. มีมติเอกฉันท์ ปรับดอกเบี้ยขึ้น 25 bps เป็น 1% โดย ธปท.ให้น้ำหนักเรื่องการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ และมองว่าการทยอยปรับดอกเบี้ยเหมาะสมแล้ว และจะติดตามดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด

เมื่อวานนี้ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีทำจุดสูงสุดที่ 4% ก่อนย่อตัวลงมาหลังจากอังกฤษประกาศเข้าซื้อพันธบัตรชั่วคราวเพื่อสร้างเสถียรภาพต่อเศรษฐกิจ ดัชนีดอลลาร์ย่อลงมาที่ 112.66 หลังจากแตะ 114.78 สูงสุดในรอบ 20 ปี

ดอลลาร์อาจปรับฐานหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่า 0.75%

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยได้กล่าวในงานสัมมนา “ดอกเบี้ยขาขึ้น Recession และการรับมือกับตลาดที่ผันผวน” ว่า แรงซื้อเงินดอลลาร์ที่มีอย่างต่อเนื่องหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)ขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินหลายสกุลอ่อนค่าลง

ความเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์เทียบเงินบาทก็มีลักษณะเดิมนับตั้งแต่สงครามยูเครน มาจากเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินยูโรและสกุลอื่น หรือดัชนีดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น และส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายในของไทยเอง แต่โดยรวมปัจจัยที่ขับเคลื่อนค่าเงินทั่วโลกคือ เฟด ผ่านการขึ้้นดอกเบี้ย

สำหรับเงินบาทเทียบดอลลาร์มาจากส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐที่ห่างขึ้น โดยทุกดอกเบี้ยที่เฟดหนีไปจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย 0.25% ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 38 สตางค์

การขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นก็ยิ่งทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็มีผลกระทบต่อสหรัฐฯเอง เมื่อประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน บริษัทสหรัฐฯได้ขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศจำนวนมาก แต่ละปีจากธุรกิจในต่างประเทศทำกำไรประมาณ 2.1 ล้านล้านเหรียญ การที่เงินดอลลาร์ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลจะมีแรงกดดันเมื่อนำเงินกลับเข้าสหรัฐ ทำให้กำไรที่ส่งกลับในรูปดอลลาร์อาจจะไม่มีจำนวนสูงนัก


แต่ก็มีโอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์อาจจะปรับฐานได้ เมื่อประเมินจากสถานะของนักค้าเงิน เพราะนักค้าเงินส่วนใหญ่มีสถานะซื้อดอลลาร์ขายเงินสกุลท้องถิ่น เช่น ซื้อดอลลาร์ขายหยวน ขายวอน ขายสิงคโปร์ ที่สะท้อนภาพว่ามีการตุนดอลลาร์ไว้เยอะมาก และหากเฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยไม่ถึง 0.75% ต่างจาก 3 ครั้งแรกที่ขึ้นครั้งละ 0.75% ก็อาจจะเป็นสัญญานที่เทขายทำกำไรระดับหนึ่ง และอาจจะมีการปรับฐานของเงินดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มเงินดอลลาร์เทียบกับบาทในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน อาจจะเบ้สูงขึ้นรับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด 0.75% เป็นครั้งที่ 3 และภายใน 1 เดือนอาจจะทดสอบ 36.50 และทดสอบระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ได้ แต่ในช่วงสิ้นปีอาจจะอยู่ในช่วง 35-37 บาทต่อดอลลาร์

บาทอ่อนค่าเร็วกันยายน

ไทยพับลิก้าสำรวจความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์จากอัตราอ้างอิงตั้งแต่ต้นปีพบว่า ในช่วงเดือนมกราคม จนถึงมีนาคมเคลื่อนไหวในระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์

ในการประชุมเดือนมกราคมนัดแรกปี 2565 ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC)ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.0%-0.25% แต่การประชุมเดือนมีนาคม มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50%

เงินบาทอ่อนตัวลงมาแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ในวันที่ 21 เมษายน ตามทิศทางนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งที่นักลงทุนคาดกันว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างมาก และก็เป็นไปตามคาดการประชุมเดือนพฤษภาคมเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.5% มาที่ระดับ 0.75% – 1%

หลังจากนั้นเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องมาที่ 35.0790 ในวันที่ 1 มิถุนายน ก่อนหน้าที่เฟดจะมีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดในรอบ 28 ปี

ค่าเงินบาทยังอ่อนค่าลงในวันที่ 6 กรกฎาคมที่ 36.0170 บาทต่อดอลลาร์ และลงมาที่ 37.0110 บทต่อดอลลาร์ในวันที่ 16 กันยายน และอ่อนค่าอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของเดือนจนทะลุ 38 บาทต่อดอลลาร์ในวันที่ 28 กันยายน

ทั้งนี้เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยถึงครั้งละ 0.75% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมและเดือนกันยายน