ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > โมเดอร์นาเผยผลวิจัยเบื้องต้น วัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรผสม สร้างภูมิคุ้มกันหลายสายพันธุ์สูงขึ้น

โมเดอร์นาเผยผลวิจัยเบื้องต้น วัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรผสม สร้างภูมิคุ้มกันหลายสายพันธุ์สูงขึ้น

3 พฤษภาคม 2022


เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา โมเดอร์นาได้ประกาศผลการวิจัยทางคลินิกเบื้องต้นของวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตร mRNA-1273.211 ซึ่งเป็นวัคซีนสูตรผสมชนิดแรกที่ทางบริษัทได้พัฒนาขึ้นและกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางคลินิกในอาสาสมัคร โดยวัคซีน mRNA-1273.211 นี้เป็นสูตรผสมของสายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์เบต้า ในปริมาณที่เท่ากันอย่างละครึ่ง

เมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรมาตรฐาน mRNA-1273 รุ่นปัจจุบัน ขนาด 50 ไมโครกรัม พบว่า วัคซีน mRNA-1273.211 ในขนาด 50 ไมโครกรัม นั้นสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอไมครอนและสายพันธุ์น่ากังวล อื่นๆ ได้แก่ เดลต้า และ เบต้า ได้ในระดับที่สูงกว่า และระดับภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าดังกล่าวก็ยังมีการตรวจวัดได้ที่เวลา 6 เดือนหลังจากนั้น

โดยในส่วนของภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโอไมครอนของวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรผสม mRNA-1273.211 รุ่นใหม่นี้ เมื่อวัดหลังฉีดไปแล้ว 1 เดือน พบว่ามีระดับที่สูงกว่าการกระตุ้นด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรมาตรฐานรุ่นปัจจุบันที่ประมาณ 2.20 เท่า (1408 เทียบกับ 629) และเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน พบว่าภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโอไมครอนก็ยังคงระดับที่สูงกว่าที่ 2.15 เท่า (317 เทียบกับ 146)

ในด้านความปลอดภัยของวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตร mRNA-1273-211 ขนาด 50 ไมโครกรัม พบว่า โดยทั่วไปอาสาสมัครมีการยอมรับวัคซีนได้ดี อาการไม่พึงประสงค์ที่พบมีความคล้ายคลึงกับที่มีการรายงานจากวัคซีนสูตรมาตรฐานขนาด 50 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ใช้ฉีดอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยอาการส่วนใหญ่อยู่ในระดับเล็กน้อย-ปานกลาง

สเตฟาน บันเซล ซีอีโอ ของบริษัทโมเดอร์นาได้กล่าวว่า

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับข้อมูลที่ได้จากการทดสอบวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตร mRNA-1273.211 ซึ่งเป็นวัคซีนสูตรผสมตัวแรกที่เราพัฒนาขึ้นมา ผลการทดสอบที่แสดงให้เห็นว่าวัคซีนสูตรผสมนี้ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มี mRNA ของสายพันธุ์โอไมครอนเป็นส่วนประกอบ แต่ก็สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโอไมครอนและสายพันธุ์น่ากังวลชนิดอื่นๆ ได้ในระดับที่สูงกว่าวัคซีนสูตรมาตรฐาน แสดงให้เห็นว่า กลยุทธ์ที่เราวางแผนไว้เพื่อรับมือกับไวรัสสายพันธุ์น่ากังวลและเริ่มดำเนินมาตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วนั้น เราได้มาถูกทางแล้ว นอกจากนี้แล้ว ทางโมเดอร์น่าเองกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2/3 ของวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่อีกหนึ่งสูตรคือ mRNA-1273.214 ซึ่งเป็นวัคซีนสูตรผสมระหว่างสายพันธุ์ดั้งเดิม และ สายพันธุ์โอไมครอน โดยคาดว่าผลการทดสอบเบื้องต้นจะออกมาภายในไตรมาสที่สองของปีนี้ โดยทั้งวัคซีน mRNA-1273.211 และ mRNA-1273.214 นั้นถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นตัวเลือกของการใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่ที่จะผลิตออกมในช่วงปลายปีนี้ เราเชื่อมั่นว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรผสมที่ประกอบไปด้วยสองสายพันธุ์ จะเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่จะสามารถใช้รับมือกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต”

ส่วนวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นปัจจุบันนี้เมื่อใช้ฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 หรือ 4 จากข้อมูลจากการใช้งานจริงในหลายๆประเทศทั่วโลก ก็แสดงให้เห็นว่ายังคงสามารถป้องกันการติดเชื้อแบบรุนแรงและการต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ดี

ที่มาภาพ:https://news.cgtn.com/news/2022-05-02/China-starts-clinical-trial-for-Omicron-specific-vaccine-19HLjpI02l2/index.html

จีนเริ่มการทดลองทางคลินิกวัคซีนรับมือโอไมครอนโดยเฉพาะ

จีนเริ่มทำ การทดลองทางคลินิกวัคซีนเชื้อตายสำหรับสายพันธุ์โอไมครอน ในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีนเมื่อวันอาทิตย์(1 พ.ค.)

China National Biotec Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Sinopharm ได้พัฒนาวัคซีนที่ได้มีการวิจัยและทดสอบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021

ในการทดลองทางคลินิก จะทำการศึกษาแบบสุ่มที่มีการปกปิดทางสองทาง(double-blind) และการศึกษาแบบรวมกลุ่ม(cohort) ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับการฉีดวัคซีนสองเข็ม เพื่อประเมินความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีนเชื้อตาย

อาสามสมัครเพื่อการทดลองทางคลินิกคือผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือติดเชื้อไวรัส

“ผู้ที่ได้รับวัคซีนอาจสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว” นายหลี่ หลานจวน ผู้อำนวยการ China’s State Key Laboratory for Diagnosis and Treatment of Infectionsของจีน กล่าวในการเปิดการทดลอง “เราต้องทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนผ่านระดับการสร้างภูมิคุ้มกันและแอนติบอดีที่ผู้ป่วยสร้างขึ้น”

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนกับผู้ที่ได้รับวัคซีน

National Medical Products Administration ได้อนุมัติให้มีการใช้วัคซีนสำหรับการทดลองทางคลินิกในวันที่ 26 เมษายน