ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > WHO ชี้ โควิด-19 ยังไกลกว่าที่จะเป็นโรคประจำถิ่น ตามติดสายพันธ์ุ BA.4 และ BA.5

WHO ชี้ โควิด-19 ยังไกลกว่าที่จะเป็นโรคประจำถิ่น ตามติดสายพันธ์ุ BA.4 และ BA.5

16 เมษายน 2022


WHO emergencies director Michael Ryan at 150th session of the WHO Executive Board, Geneva, Switzerland, 24 – 29 January 2022:credit
WHO Christopher Black ที่มาภาพ:https://photos.hq.who.int/
  • WHO เตือนไวรัสโคโรนายังห่างไกลจากการเป็นโรคประจำถิ่น
  • เจ้าหน้าที่ WHO ยันโควิดยังก่อให้เกิดโรคระบาดใหญ่ได้

    องค์การอนามัยโลก (World Health Organization:WHO) ระบุว่า โควิด-19 ยังไม่กลายเป็นโรคประจำถิ่นและยังอาจทำให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก

    ดร.ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ (Health Emergencies Programme) ของ WHO กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี(14 เม.ย.)ว่า เป็นการคิดที่ผิดหากมองว่าเมื่อโควิด-19 คลี่คลายก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ก็จะหมายถึงปัญหาจบแล้ว

    “ผมไม่เชื่อว่าเราจะเข้าใกล้สู่สถานการณ์ที่โควิดเป็นโรคประจำถิ่นของไวรัสนี้” ดร.ไรอันกล่าวในช่วงถามตอบที่ถ่ายทอดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของ WHO

    ดร.ไรอันกล่าวว่า ไวรัสโคโรนายังไม่เข้าสู่รูปแบบการแพร่ระบาดรูปแบบใด หรือมีรูปแบบตามฤดูกาล และยังคงสามารถก่อให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้

    “อย่าเชื่อว่าการเป็นโรคประจำถิ่นเท่ากับการระบาดสิ้นสุด ไม่รุนแรงหรือไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ทั้งนั้นเลย” ดร.ไรอันกล่าว โดยชี้ใ้ห้เห็นว่าวัณโรคและมาลาเรียเป็นโรคประจำถิ่นที่ยังคงคร่าชีวิตผู้คนนับล้านต่อปี

    สัปดาห์ที่ผ่านมามีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันแรกของการระบาดใหญ่ในต้นปี 2563

    อย่างไรก็ตาม มีรายงานผู้เสียชีวิตมากกว่า 20,000 ราย ซึ่งดร.ไรอันกล่าวว่า “ยังมากเกินไป… เราก็พอที่จะดีใจ แต่เราไม่ควรพอใจ”

    ดร.ไรอันเขาอธิบายว่า เมื่อโรคระบาดดีขึ้นและกลายเป็นโรคประจำถิ่น มันมักจะกลายเป็นโรคในวัยเด็ก เช่น โรคหัดและโรคคอตีบ เพราะ “เมื่อเด็กใหม่เกิดมา พวกเขามีความอ่อนแอ”

    แต่ถ้าระดับการฉีดวัคซีนลดลง อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับโรคหัด โรคระบาดก็สามารถกลับมาระบาดได้อีก

    ด้านดร.มาเรีย แวน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ โครงการสาธารณสุขฉุกเฉินของ WHO (Technical Lead of the WHO Health Emergencies Programme) ซึ่งติดโควิดและกำลังอยู่ในช่วงกักตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกาและร่วมการแถลงข่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของ WHOกล่าวว่า ไวรัสยังคงแพร่ระบาดในระดับสูง ทำให้เกิด “การเสียชีวิตและความหายนะอย่างมาก”

    “เรายังคงอยู่ท่ามกลางการระบาดใหญ่นี้ เราทุกคนหวังว่าเราจะไม่ใช่ แต่เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นโรคประจำถิ่น”

    WHO Technical Lead on the COVID-19 Dr Maria Van Kerkhoveat Global COVID-19 virtual press conference, Geneva, 16 November 2020 Credit WHO / Christopher Black ที่มาภาพ:https://photos.hq.who.int/

    ตามติดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5

    นอกจากนี้ WHO กำลัง ติดตามการแพร่กระจายของสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน คือ BA.4 และ BA. ที่แพร่กระจายไปทั่วแอฟริกาและยุโรป

    ดร.แวน เคิร์กโฮฟ กล่าวในวันพฤหัสบดีว่ามีการพบ 2 สายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดได้สูง ในบอตสวานา แอฟริกาใต้ เยอรมนี และเดนมาร์ก รวมถึงประเทศอื่นๆ

    ดร.แวน เคิร์กโฮฟ กล่าวว่า BA.4 และ BA.5 ดูเหมือนจะไม่ติดต่อหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตมากกว่า โอไมครอนที่กลายพันธุ์จากสายเดิมจนถึงตอนนี้ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้เพราะพบจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น เและเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการคงระบบเฝ้าระวังที่ “แข็งแกร่ง” ซึ่งจะช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถติดตามและวิเคราะหทั้งสองสายพันธุ์ย่อยได้เช่นเดียวกับสายพันธ์ุย่อยก่อนหน้าของโอมิครอน

    “มันยังเป็นการระบาดในระยะแรกๆ สิ่งที่เราต้องทำ คือ คงขีดความสามารถในการติดตาม ความสามารถในการแบ่งปันข้อมูล และความสามารถในการวิเคราะห์ เพื่อให้เราสามารถตอบคำถามนี้ได้”

    ก่อนหน้านี้องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า กำลังติดตามสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 หลังจากมีผู้ติดเชื้อราว 30 กว่าราย นอกเหนือไปจากสายพันธุ์ย่อยโอไมครอนรุ่นก่อนๆ เช่น BA.1, BA.2, BA.3 และ BA.1.1

    ผู้ติดเชื้อระลอกใหม่

    นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่แพร่ระบาดมากขึ้นในหลายส่วนของโลก ทำให้ผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากสายพันธุ์ย่อย BA.1 ของโอไมครอนเดิม ในช่วงฤดูหนาว ขณะที่สายพันธุ์ย่อย BA.2 เป็นสายพันธุ์ที่ระบาดทั่วโลกขณะนี้ ในสหรัฐอเมริกา คิดเป็นประมาณ 85% ของผู้ป่วยรายใหม่รอบนี้ และระบาดไปทั่วในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศซึ่ง 92% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่รอบนี้มาจากสายพันธุ์นี้ ตามข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(Centers for Disease Control and Prevention)

    มีการเก็บตัวอย่างสายพันธุ์ BA.4 ที่เกิดขึ้นครั้งแรกสุดในแอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 10 มกราคม แต่ข้อมูลล่าสุดของหน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักรที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ามีการกระจายไปทั่ว ณ วันที่ 8 เมษายน แอฟริกาใต้รายงานผู้ป่วย BA.4 จำนวน 41 ราย เดนมาร์ก 3 ราย บอตสวานา 2 ราย และอังกฤษ และสกอตแลนด์ แห่งละ 1 ราย

    “แม้ว่าจำนวนการติดเชื้อทั้งหมดจะมีน้อย แต่การแพร่กระจายไปหลายประเทศที่ชัดเจนบ่งชี้ว่าสายพันธุ์ดังกล่าวแพร่ระบาดไปแล้ว” กระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรระบุในรายงาน

    รายงานยังระบุด้วยว่า มีรายงานการติดเชื้อสายพันธุ์ BA.5 จำนวน 27 รายการ ณ วันที่ 8 เมษายน ซึ่งทั้งหมดพบในแอฟริกาใต้ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึง 25 มีนาคม แต่กระทรวงสาธารณสุขของบอตสวานาเมื่อวันจันทร์กล่าวว่า พบการติดเชื้อสายพันธุ์ BA.4 และ BA 5 ในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบซึ่งมีอายุ 30 ถึง 50 ปี

    รอยเตอร์รายงานว่า องค์การอนามัยโลกเริ่มติดตามสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ใหม่ “ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบต่อการหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกัน”

    รายงานของ WHO ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธระบุว่า ทั้งสองสายพันธุ์มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมในบริเวณหนามโปรตีน(spike) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไวรัสที่ใช้ในการบุกรุกเซลล์ของมนุษย์ และการกลายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำกันนอกเหนือจากบริเวณนั้น และการกลายพันธุ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ “ลักษณะการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่อาจเกิดขึ้น”

    สายพันธ์ุย่อย XE

    นอกจากนี้ยังมีอีกสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนที่นักวิทยาศาสตร์เรียก XE ซึ่งมีการระบาดในหลายประเทศเช่นกันแต่ยังระบาดในระดับต่ำ

    ดร.แวน เคิร์กโฮฟ ให้ข้อมูลว่า XE เป็นสายพันธุ์ผสม “recombinant” ที่เกิดขึ้นเมื่อมีคนติดเชื้อมากกว่าหนึ่งสายพันธุ์ที่รวมกันเป็นสายพันธุ์ใหม่ ซึ่ง XE เป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน BA.1 เดิมและสายพันธุ์ BA.2 ที่เกิดขึ้นภายหลัง

    “เราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของความรุนแรง” ดร.แวน เคิร์กโฮฟ กล่าว ซึ่งหมายความว่าไม่ร้ายแรงไปกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้

    การติดเชื้อยืนยันของสายพันธุ์ XE พบในสหราชอาณาจักร, ไทย, อินเดีย, อิสราเอลและล่าสุดในญี่ปุ่น ขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่ไม่รายงานของสายพันธุ์นี้

    จำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในสหราชอาณาจักร ตามข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร วันที่ 5 เมษายน พบผู้ป่วยด้วยสายพันธุ์ XE ประมาณ 1,125 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 637 รายในวันที่ 25 มีนาคม