“สิ่งที่เห็นและอยากให้ ‘ประเทศไทย’ เป็น จะต้องทําอย่างไร?”
คำตอบต่อไปนี้มาจากประสบการณ์ของคนอายุ 33 ที่เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ และผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินนโยบายสาธารณะ รวมถึงเป็นลูก เป็นพี่ และเป็นพ่อคนหนึ่งในสังคมไทยในวันที่ดูเหมือนว่าประเทศไทยกำลังหลงทาง
ผมจะเริ่มจาก 1) สิ่งที่เห็น และ 2) สิ่งที่อยากให้เป็น และสิ่งที่ต้องทำ ไปตามลำดับ
4 ข้อสังเกตประเทศไทย
ประเทศไทยมีทั้งเสน่ห์และปัญหา บางครั้งเสน่ห์เป็นปัญหา และบางครั้งปัญหาก็เป็นเสน่ห์
ด้วยมุม “เสน่ห์-ปัญหา” นี้ ผมเลือก 4 ข้อสังเกตที่น่าคิดเกี่ยวกับประเทศไทยที่สำคัญต่อก้าวต่อไปของสังคม
เรามีคนเก่ง มีเงินทุน มีทรัพยากรทางธรรมชาติ มีข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ มีศิลปวัฒนธรรมที่น่าค้นหา มีแบรนด์ของความเป็นไทย
แต่ด้วยเหตุบางประการ ‘ทุน’ เหล่านี้กลับไม่สามารถถูกนำไปใช้ให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดต่อประเทศ
แน่นอนว่าไม่มีสังคมใดสามารถบริหารทรัพยากรได้ถูกใจนักเศรษฐศาสตร์ แต่สำหรับประเทศไทย ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียง ‘จุดบกพร่องที่ต้องทำให้ดีขึ้น’ ประเด็นนี้เป็นรากเหง้าของทุกอย่าง เป็นต้นตอของแทบทุกปัญหา ตั้งแต่ในระดับธุรกิจไปจนถึงระดับสังคม
ประเทศไทยมีอาการมักเอาคน เอาของ เอาเงิน ไปวางไว้ไม่ถูกที่ คนเก่ง ไม่ได้อยู่ในที่ที่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ เงินทุนไปเดิมพันและกองทับถมในธุรกิจเก่าๆ เงินภาษีอัดฉีดออกไปแล้วดูเหมือนละลายหายไป
มันทำให้สงสัย ว่าทำไมเวลาเราเห็นคนไทยประสบความสำเร็จในระดับโลก ดูเหมือนว่าจะต้องย้ายออกไปอยู่นอกประเทศไทยก่อนจึงจะไปถึงระดับโลกได้?
มีบางอย่างที่ปิดกั้นหรือหน่วงศักยภาพดั้งเดิมของทุนมนุษย์และทุนในประเทศไทยหรือไม่ เราอาจเป็นชาติที่ต้องให้โลกให้ค่ากับศักยภาพเหล่านี้ก่อน จึงจะเป็นที่ยอมรับว่าเรามีของดี มีเมล็ดพันธ์ุที่ดีพอจะยอมให้มันเติบโตและผลิบานได้ในดินแดนแห่งนี้
บนท้องถนน สิบปีที่ผ่านมา มีคนไทยเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนนไปอย่างน้อย 2 แสนคน ยังไม่รวมผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่พิการอีกหลายล้านคน แม้ว่ามีข้อมูลจุดเสี่ยงซ้ำซากและบางครั้งการแก้ไขง่าย เพียงแค่การทำให้ถนนสว่างขึ้นหรือปรับตำแหน่งและรูปแบบสัญญาณจราจร
ในอากาศ มีฝุ่นละอองวายร้ายจิ๋วที่คร่าชีวิตและทำลายคุณภาพชีวิตเราอย่างช้าๆ มานานหลายสิบปี แต่เพราะเหตุใดเราบางจังหวัดมีทรัพยากรเพื่อวัดมลภาวะอากาศที่ได้มาตรฐานอยู่ไม่กี่สถานี เพราะเหตุใดประชาชนยังต้องล่ารายชื่อเพื่อให้มีคนใส่ใจและสนใจในการทำให้อากาศไม่ฆ่าเรา?
ในคุก เพราะเหตุใดถึงมีคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงแต่คนที่ทำผิดร้ายแรงกลับยังลอยนวลอยู่ข้างนอก? ทำไมผู้กระทำผิดคดียาเสพติดจึงล้นคุก จนอัตราจำเลยต่อพื้นที่เรือนจำ ต่อพัศดี ต่อผู้พิพากษา ล้ำหน้าประเทศอื่น?
ถ้าหากจะขังเยาวชนเพื่อ ‘correction’ แล้วแลกอิสรภาพกับวันแห่งการพัฒนาการกับสังคมที่ปลอดภัยกว่า เพราะเหตุใดอัตรากระทำผิดซ้ำหลังปล่อยตัว 3 ปีถึงยังอยู่ที่ราว 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 3?
ในด้านมันสมอง งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการที่มีมากมายมหาศาล เด็กไทยใช้เวลาเรียนมากกว่าเพื่อนบ้าน แต่กลับดูเหมือนว่าการลงทุนในช่วงสิบปีที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยเกิดผล
กลับมาที่บนท้องถนนอีกครั้ง ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ระลอกสามและสี่ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นหลายพันคน บางคนไร้ทางออก จบลงที่ถนน จากความผิดพลาดในการบริการจัดการทรัพยากรทางสาธารณสุข
ประเทศไทยไม่ซีเรียสเรื่องคน ทั้งที่คนคือส่วนประกอบสำคัญที่สุดของสังคมและอนาคตของเศรษฐกิจในยุคเทคโนโลยี
ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ใช้ชีวิตทำงานนอกประเทศหลายปีตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาวะผู้นำในเอกชนและภาครัฐไทยไว้อยู่ข้อหนึ่ง ว่า ‘ผลงาน’ มักเหนือกว่า ‘ผลลัพธ์’ ในประเทศเรา
ในช่วงที่รุนแรงที่สุดของวิกฤติโควิด-19 ผมมีโอกาสได้เข้าไปช่วยบริหารระบบจิตอาสาที่ประกอบไปด้วยประชาชน เอกชน ข้าราชการ และนายทหาร เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกทอดทิ้งไม่ให้เสียชีวิตบนถนนและในบ้าน
มันเป็นช่วงที่ทำให้ผมเข้าใจคำพูดว่า “ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้” โดยที่ไม่เคยนึกว่าจะต้องมาเข้าใจด้วยบริบทอันแสนผิดเพี้ยน ที่ความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ความมีตำแหน่ง ความไม่อยากเสียหน้า และความไม่อยากถูกบดบัง บางครั้งมีความสำคัญกว่าความเร่งด่วนที่จะไปช่วยชีวิตคนได้
‘หน้าตา ชื่อเสียง และยศถาบรรดาศักดิ์’ เป็นเรื่องที่มาพร้อมกับวัฒนธรรมไทย มันเป็นสิ่งที่นักวิชาการจัดเข้าไปไว้ในหมวดหมู่ ‘เทคโนโลยีทางสังคม’ ที่มีบทบาทในการอำนวยความสะดวกและความราบรื่นของการปฏิบัติต่อกันตามขนบธรรมเนียมประเพณี
เมื่อทราบว่าใครเป็นใคร ใครพี่ใครน้อง ใครพ่อใครแม่ ใครบ่าวใครไพร่ การตัดสินใจว่าจะปฏิบัติต่อกันและกันอย่างไรจะเข้าสู่เส้นทาง autopilot ที่ถูกกำหนดไว้แต่ก่อนกาล
กลไกเหล่านี้มีประโยชน์ในบางบริบท แต่หากบริโภคเกินควรแล้วสามารถสร้างโทษได้มากมาย สำคัญที่สุดคือมันทำให้เรา ‘ลืม’
ลืมไปว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรไม่ควร ในบรรทัดฐานของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เศรษฐกิจ (economic man) หรือจะมนุษย์และพลเมืองที่ดีของอริสโตเติล (good man and upright citizen) เนื่องจากสมองและหัวใจอ่อนซ้อม ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำงานเพราะการตัดสินใจถูกไฮแจ็กโดยกรอบความคิดหนึ่ง
ผลกระทบที่ตามมาที่มีต้นทุนต่อผู้อื่นสูงสุดคือการไม่ยอมรับผิด หรือแม้กระทั่งการไม่ยอมรับรู้ถึงปัญหา ทั้งปัญหาในสถาบันครอบครัว ในสถานที่ทำงาน และในสังคมโดยรวม
จึงมีความเสี่ยงที่ค่านิยมนี้จะทำให้ประเทศไทยมีผลงานมากมาย แต่อาจไม่มีผลลัพธ์
‘อนุรักษนิยม’ มีนิยามที่หลากหลาย หนึ่งในความหมายที่ผมเข้าใจคือความไม่คล้อยตามต่อการเปลี่ยนแปลงและการเดินตามทางใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยถูกพิสูจน์ และไม่ได้เป็นอนุรักษนิยมแค่เพียงแต่ในเชิงการเมือง แต่ในเชิงของการทำงาน การทำมาหากินด้วย
มันเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เราปลูกฝังวัฒนธรรมที่ต้องตำหนิเมื่อระบายสีออกนอกกรอบ ประนามเมื่อผิดพลาดล้มเหลว สังคมที่ห่อล้อมเด็กๆ ร่วมกันสร้างมลทินติดตัวให้พวกเขากลัวที่จะออกนอกกรอบเก่าๆ แม้กรอบอาจจะไม่ได้ดีหรือถูกต้องนัก
เรื่องนี้ระบาดจากมุมเล็กๆ ในวัยเด็กไปสู่อีกหลายมิติ ตั้งแต่ความไม่กล้าสานฝันทำธุรกิจ ความกลัวเมื่อต้องเลือกสาขาอาชีพ ไปจนถึงเรื่อง taboo ของการหย่าร้าง ยอมทนกันไปแทน และความไม่กล้าตัดสินใจของผู้มีอำนาจเนื่องจากกลัวความเสี่ยง
แน่นอน กฎเกณฑ์แห่งความเจริญนั้นไม่ได้สนับสนุนให้บุ่มบ่ามหรือตัดสินใจแบบสิ้นคิด แต่มันก็ไม่มอบรางวัลให้กับความช้าและความเดิมๆ เช่นกัน โดยเฉพาะในโลกอนาคตที่เทคโนโลยีไปเร็วกว่าที่มนุษย์จะซึมซับได้
สิ่งที่อยากให้ประเทศไทยเป็นและสิ่งที่ต้องทำ
ผมไม่ได้อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบประเทศใดเป็นพิเศษ เพียงอยากที่จะเห็นบทต่อไปของประเทศไทยที่ไม่ใช่ ‘lost decade’ และไม่ใช่เทปม้วนเดิม แต่เป็นสถานที่ที่ผู้คนมีสุขภาวะที่ดี มั่งคั่งได้ถ้วนหน้า และ resilient แม้จะมีความท้าทายเก่าใหม่ถาโถมเข้ามาทุกวัน รวมถึงมีเชื้อชาติใดก็ได้ ขอให้มีความสามารถและสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ควรเป็นถือสัญชาติไทยได้ไม่ยากเหมือนในปัจจุบัน
การจะไปสู่จุดนั้นผมคิดว่ามีสิ่งที่ต้องทำอยู่ 3 ประการ
ในอดีตที่ผ่านมา เราเน้นพัฒนาด้วยรูปแบบ ‘strong man’ และรูปแบบ ‘การไต่เต้าของข้าราชการ’ มากเกินไป
ความท้าทายในปัจจุบันซับซ้อนเกินกว่าที่จะมี ‘strong man’ คนหนึ่งคนใดที่สามารถเข้ามากู้ชาติ แก้ไข และตีโจทย์แตกได้เอง
ประเทศไทยต้องการผู้นำแข็งแกร่ง แต่ไม่ต้องการผู้นำที่ต้องแบกรับชาติอยู่เพียงคนเดียว
ในขณะเดียวกัน ด้วยความเร็วที่โลกกำลังหมุนไปข้างหน้า ประเทศไทยต้องการผู้นำทุกระดับ ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ ที่มีความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ทุกก้าวที่ล่าช้าหรือลังเลคือค่าเสียโอกาสที่ทบต้นด้วยอัตราดอกเบี้ยซึ่งทวีคูณมากกว่าในอดีต
สองรูปแบบการพัฒนาที่ประเทศไทยควรเพิ่มเติมเข้าไปและยังขาดแคลนอยู่มาก คือ
-
หนึ่ง การพัฒนาแบบนักลงทุนที่มีเป้าหมาย returns on investment ชัดเจน และ
สอง การพัฒนาสังคมแบบนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงข้อมูล
ทั้งสองรูปแบบจะช่วยให้การพัฒนา การกำกับดูแล และการประกอบกิจการ ออกมาในลักษณะแบบที่ผู้นำมองเป้าข้างหน้าแบบมี ‘upside’ มากขึ้น เนื่องจากมีความไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ต้องการสิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้า แทนที่จะตั้งเป้าว่าเรายอมรับในสถานะปัจจุบันและจะ ‘พัฒนา’ ให้ประเทศไม่แย่ไปกว่าเดิม
จากมุมมองรัฐศาสตร์ ภาครัฐมีภารกิจและมีอัตลักษณ์ในรูปแบบที่หล่อหลอมชาติไทยขึ้นมาท่ามกลางความโกลาหลของการเมืองโลก
จากมุมมองเศรษฐศาสตร์ ภาครัฐมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม โดยการออกนโยบายและผลิตสินค้าสาธารณะที่มีคุณภาพ เกลี่ยผลกระทบทางนอกให้เข้าที่เข้าทาง กำกับดูแลไม่ให้ระบบตลาดเลยเถิดหรือเกิดภาวะล้มเหลว
แต่ในเชิงปฎิบัติ ต้องตั้งคำถามว่า ที่จริงแล้วเราพึ่งพาบริการของภาครัฐในชีวิตประจำวันได้มากน้อยเพียงใด? การอยู่รอด ทำมาหากิน ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของครอบครัวเรา กี่เปอร์เซ็นต์คือผลลัพธ์ที่มาจากภาครัฐ? และที่จริงแล้วขอบเขตอำนาจภาครัฐมากเกินไปหรือไม่?
ในขณะที่หลายประเทศตะวันตกกังวลกับภาวะการเอาเปรียบประชาชนโดยความกระหายกำไรของภาคเอกชน รวมถึงมีความพยายามกำกับดูแลไม่ให้เอกชนมีอำนาจมากจนเกินไป ประเทศไทยดูเหมือนจะมีปัญหาที่กลับหัวกลับหางในมิตินี้
ภาครัฐมีภาระรับผิดชอบและมีอำนาจในสังคมมากเกินไป และอาจดีกว่าหากมอบอำนาจให้เอกชนพัฒนาสังคมแทนโดยอ้อม
นี่เป็นประโยคที่ผมไตร่ตรองอยู่นาน เนื่องจากโดยเชิงทฤษฎีแล้ว การมอบบังเหียนในการพัฒนาสังคมให้กับภาคเอกชนนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลิศนัก แต่สิ่งที่สัมผัสได้ในประเทศไทย คือ ภาคเอกชนมีศักยภาพที่สูงกว่าในหลายมิติของการพัฒนา โดยเฉพาะในด้านบุคลากรที่เข้าใจการใช้เทคโนโลยี
และถึงแม้ว่าแรงจูงใจในการผลิตสินค้าสาธารณะด้วยทุนของเอกชนเองจะเจือจาง ก็ยังคุ้มที่จะลองเสี่ยงกับผลกระทบที่เอกชนจะเอาเปรียบผู้บริโภค แล้วดูว่าผู้บริโภคสามารถกดดันผ่านปัจจัยอุปสงค์กลับไป มากกว่าอยู่กับสิ่งเดิมๆ แล้วรับเคราะห์จากการที่ภาครัฐมีอำนาจหน้าที่เพียงผู้เดียวแล้วกลับไม่สามารถ deliver ได้แบบในตำรา
แน่นอน ภาครัฐไม่ควรละทิ้งภารกิจและบทบาท แต่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องทำเองทุกอย่าง
หากต้องการที่จะพึ่งพาเอกชนมากขึ้น แปลว่าก็ต้องมีการเปิดช่องว่างและการสนับสนุนไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งในการกำกับดูแลและเชิงอำนาจ ที่ต้องเปิดพื้นที่และไม่เป็นคอขวดต่อการทำงานที่รวดเร็วกว่า มิใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
หากโลกคริปโทเคอร์เรนซีและ Web3 จะให้บทเรียนอะไรกับภาครัฐและองค์กรกำกับดูแล หนีไม่พ้นเรื่องของพลังจากการกระจายอำนาจและความเป็นเจ้าของ ที่มีผลดีมากกว่าที่ทุกคนนึก
เนื่องจากในโลกจริง สองสิ่งนี้กระจุก และไม่เคยถูกทดลองให้ออกมาแสดงพลังของมัน
หากใครเป็นเจ้าของกิจการ จะเข้าใจว่าการออกแบบแรงจูงใจกับความเป็นเจ้าของเปลี่ยนแปลงได้แทบทุกอย่าง แม้กระทั่งอะไรที่เหลือเชื่อ… อย่างการพลิกชะตาประเทศไทยในวันที่ดูไม่ค่อยมีความหวังมากนัก
คนที่ไม่เคยทำงานเต็มร้อย ทำงานเกินสามร้านได้เมื่อเขามีความเป็นเจ้าของ ปัญหาที่ผู้เชี่ยวชาญมองดูเหมือนว่าเป็นทางตัน เราอาจพบคำตอบจากผู้ที่ไม่เคยได้รับโอกาสมาลิขิตชะตากรรมขององค์กร
เรื่องนี้ไปไกลกว่าการหาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและเสถียรภาพในบริบทขององค์กรกำกับดูแล
เรื่องนี้ไปถึงการสร้างมาตรฐานใหม่ของบรรษัทภิบาล ว่าการตอบสนองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียควรจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะในองค์กรขนาดย่อมหรือในระดับประเทศ
การกระจายอำนาจและความเป็นเจ้าของเป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ และเปลี่ยนประเทศไทยได้…
…หากเรายอมเปิดใจให้กับทางเลือกใหม่นี้ แล้วทดลองเดินไปในเส้นทางใหม่ที่อย่างมากก็ไม่ได้ผล แต่อย่างน้อย ก็เป็นก้าวที่ไม่ซ้ำอยู่ที่เดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สนับสนุนซี่รี่ส์ “สิ่งที่เห็นและอยากให้ ‘ประเทศไทย’ เป็น จะต้องทำอย่างไร? โดย…