ที่เป็นได้ไม่ใช่เพ้อฝัน
เมื่อใดที่มีการพูดถึงสิ่งที่อยากให้ประเทศของเราเป็น คงไม่ยากนักที่จะพูดถึงสังคมหรือประเทศในอุดมคติที่ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง ขณะเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราก็คงคุ้นเคยกับวิสัยทัศน์หรือคำมั่นสัญญาจากรัฐบาลหลายต่อหลายชุดว่าจะให้ประเทศไทยเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ในที่สุดก็ไม่ประสบความสำเร็จ หรือถูกมองเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน
แต่สิ่งที่เราต้องไม่มองข้ามก็คือ ศักยภาพของประเทศไทยและคนไทยที่มีอยู่ และเคยได้รับการยอมรับจากคนภายนอก ซึ่งเป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นว่าศักยภาพและความเข้มแข็งของประเทศไทยและคนไทยอย่างไร ตลอดจนข้อเท็จจริงที่แสดงออกถึงสิ่งที่ประเทศไทยสามารถเป็นได้
เช่น ทางด้านเศรษฐกิจ เมื่อประมาณสามสิบปีก่อนนิตยสารชั้นนำอย่าง The Economist เคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นเศรษฐกิจใหญ่ใน 10 อันดับแรกของโลกภายในปี ค.ศ. 2020 หลายองค์กรระหว่างประเทศเห็นความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยซึ่งมีฐานสนับสนุนที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตรที่เรามีความมั่นคงทางอาหารและยังคงเป็นผู้ส่งออกสินค้าทางด้านเกษตรในลำดับต้นๆ ในหลายผลิตภัณฑ์ ฐานด้านอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนและเติบโตมาโดยตลอด เช่น การที่เราเคยเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดใน 10 ลำดับแรกของโลก ขณะที่ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยหรือเมืองสำคัญๆ ของเรายังได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ที่น่าท่องเที่ยวในลำดับต้นๆ ของโลก และเคยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนกว่า 40 ล้านคน
สังคมไทยและอุปนิสัยของคนไทยก็ได้รับการยอมรับในความเป็นมิตร ความเอื้ออาทรต่อกัน และความสามารถในการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ หรืออิทธิพลจากทั่วโลก แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับเราได้อย่างมีเสน่ห์
แม้กระทั่งทางการเมือง ประเทศไทยก็เคยเป็นแบบอย่างของระบบเสรีประชาธิปไตย ที่ให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนและสื่อมวลชนมากที่สุดในภูมิภาคนี้ เราเคยมีบทบาทในระดับภูมิภาคหรือแม้แต่ระดับโลกในการช่วยให้เกิดสันติภาพในกัมพูชา หรือการสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าในขณะนั้น
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงที่ตั้งของเราที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ สภาพทางภูมิศาสตร์ที่เผชิญกับภัยธรรมชาติน้อย มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากร มีประวัติศาสตร์และประเพณีและวัฒนธรรมที่เลื่องชื่อ ฯลฯ
จากศักยภาพทั้งหลายเหล่านี้จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่คนไทยจะไม่มีสิทธิ์คาดหวังให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งเจริญเติบโตได้ และแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่ทุกคนอย่างเสมอภาค เป็นสังคมที่มีความสงบสุขและประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย และมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล โดยยังสามารถธำรงเอกลักษณ์ของชาติและสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามและสถาบันหลักของชาติ มีบทบาทสำคัญเชิงสร้างสรรค์ในภูมิภาคและเวทีโลก
ที่เห็นและเป็นอยู่
ความคาดหวังดังกล่าวดูจะห่างไกลจากสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่มองไปรอบๆ ผู้คนล้วนเห็นแต่ปัญหา เช่น
ที่ต้องเร่งทำ
จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สภาพที่พึงประสงค์นั้นจำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างในเกือบทุกๆ ด้าน
ทั้งหมดนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีการสร้างเวทีให้คนไทยทุกกลุ่มได้มีโอกาสแสวงหาฉันทามติในการขับเคลื่อนประเทศ เพื่อนำไปสู่การมีสัญญาประชาคมใหม่ว่า รูปแบบของรัฐ บทบาทของรัฐ ตลอดจนความสัมพันธ์กับประชาชนควรเป็นเช่นไร
ก้าวแรกที่สำคัญจึงจำเป็นต้องแสวงหาระบบการเมืองที่เหมาะสม หากทุกฝ่ายมีความจริงใจในการสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ควรใช้กระบวนการการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเวทีดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากการแสวงจุดร่วมที่สำคัญ กล่าวคือ การยอมรับว่าโอกาสของประเทศและประชาชนที่จะก้าวไปข้างหน้าสมควรอยู่บนพื้นฐานของระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพและมีส่วนร่วมตามมาตรฐานสากล ขณะที่การธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติรวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นประโยชน์ในการสร้างศูนย์รวมจิตใจของคนไทยและสืบสานเอกลักษณ์ของชาติ โดยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์และยุคสมัย
กระบวนการนี้ก็ควรวางรากฐาน รูปแบบและบทบาทของรัฐ ในระบบเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยความมีพลวัตและนวัตกรรมจากภาคเอกชน โดยรัฐมีหน้าที่ในการส่งเสริมสนับสนุนและสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ประชาชนทุกคนในลักษณะของการเป็นสวัสดิการที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และใช้นโยบายทางการเงินและการคลังที่เอื้อต่อการสร้างความเสมอภาคอย่างแท้จริง
หากกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้โดยการยอมรับจากผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ก็จะเป็นหนทางที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความราบรื่นและดึงพลังของคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เศรษฐกิจและการเมืองอย่างแท้จริง แต่หากจะปล่อยไปตามสภาพอย่างที่ปรากฏอยู่ ก็มีความสุ่มเสี่ยงสูงที่ประเทศไทยจะมีความล้าหลังมากขึ้น ประชาชนเสียโอกาส หรือหากจะมีการเปลี่ยนแปลงก็จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในรูปแบบของความรุนแรงที่ไม่พึงปรารถนา
การดำเนินการในเรื่องนี้ ยิ่งเนิ่นช้าออกไปก็ยิ่งสุ่มเสี่ยงว่าช่องว่างของความเห็นที่แตกต่างและความขัดแย้งจะรุนแรงเกินเยียวยาได้ จึงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายควรจะตระหนักถึงความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้า และเร่งตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงนี้โดยเร็วที่สุด
สนับสนุนซี่รี่ส์ “สิ่งที่เห็นและอยากให้ ‘ประเทศไทย’ เป็น จะต้องทำอย่างไร? โดย…