ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > ผลวิจัยเพิ่มความหวังวัคซีนช่วยป้องกันอาการรุนแรงจากโอไมครอน

ผลวิจัยเพิ่มความหวังวัคซีนช่วยป้องกันอาการรุนแรงจากโอไมครอน

20 ธันวาคม 2021


การศึกษาใหม่จำนวนมากในห้องปฏิบัติการบ่งชี้ว่า วัคซีน โดยเฉพาะ การฉีดกระตุ้น อาจป้องกันการเกิดอาการรุนแรงจากไวรัสโคโรนากลายพันธุ์สายใหม่โอไมครอน ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม รายงานวิจัยระบุว่า ไวรัสที่มีการกลายพันธุ์สูงจะยังคงทำให้เกิดการติดเชื้อในผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว และผู้ที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดิม

ในการประชุมขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันพุธ (15 ธ.ค. 2564) นักวิทยาศาสตร์รายงานผลการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า

T Cell (เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ประเภทหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน) ในผู้ที่ได้รับวัคซีนสามารถป้องกันสายใหม่โอไมครอนได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งอาจช่วยป้องกันอาการรุนแรงและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต

ดร.แอนโทนี เฟาซี ที่ปรึกษาประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้านการแพร่ระบาด ได้เปิดรายงานผลการวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ(National Institutes of Health) ที่วิเคราะห์วัคซีนโมเดอร์นาในห้องปฏิบัติการ ซึ่งพบว่า การฉีดวัคซีน 2 เข็มช่วยสร้างแอนติบอดีเพื่อตอบสนองต่อโอไมครอน และมีภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นเมื่อได้รับวัคซีนเข็มที่ 3

ขณะที่นักวิจัยรายอื่นๆ ในการประชุมของ WHO ได้นำเสนอผลการศึกษาที่ใกล้เคียงกัน โดยแสดงให้เห็นว่าการฉีดยาวัคซีนโมเดอร์นาหรือวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์เป็นเข็มกระตุ้นนั้น ช่วยยกระดับแอนติบอดีให้กลับสู่ระดับที่เชื่อว่าสูงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อได้

แม้ว่าการวิจัยจะอิงจากการสังเกตเซลล์เบื้องต้นในห้องปฏิบัติการ แต่ก็เป็นทางออกที่น่ายินดีสำหรับสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนที่น่ากังวล ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า โอไมครอนสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ได้รับอันเป็นส่วนหนึ่งของแนวป้องกันแรกของร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งอาจอธิบายการติดเชื้อด้วยสายพันธุ์นี้ที่กระจายรวดเร็วในหลายประเทศได้ แต่ภูมิคุ้มกันไม่ได้เป็นเพียงส่วนสำคัญในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของคนต่อไวรัสเท่านั้น T Cell ก็มีบทบาทเช่นกัน

”ข่าวดีก็คือ การตอบสนองของ T Cell นั้นส่วนใหญ่จะรักษาระดับที่ต่อต้านโอไมครอนได้” เวนดี เบอร์เกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยเคปทาวน์ กล่าวในระหว่างการนำเสนองานวิจัยใหม่ที่ร่วมศึกษากับเพื่อนร่วมงานในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

การติดเชื้อโอไมครอนมักเกิดขึ้นกับคน 2 กลุ่มที่มีแอนติบอดี คือ ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน กับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแต่หายจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนามาก่อน

ในสัปดาห์นี้ นักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้รายงานว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มมีประสิทธิภาพในการต้านสายพันธุ์โอไมครอน 33% ลดลงจาก 80% ในช่วงก่อนเจอโอไมครอน ผลการศึกษาพบว่าวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มมีประสิทธิภาพ 70% ในการป้องกันอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต ลดลงจากประมาณ 95% ก่อนตรวจพบโอไมครอน

ในการประชุมขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันพุธ นักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งได้นำเสนอผลจากห้องปฏิบัติการที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแอนติบอดีที่เกิดจากวัคซีนมีประสิทธิภาพในการต่อต้านโอไมครอนได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธ์อื่นๆ

แต่การฉีดเข็มกระตุ้นดูเหมือนจะให้เพิ่มภูมิคุ้มกันให้มากพอที่จะลดการติดเชื้อ ดร.เฟาซีอธิบายผลการทดลองที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้นำเซรัมในเลือดจากผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์นา 2 เข็ม และจากคนอื่นๆ ที่ได้รับวัคซีน 3 เข็ม จากนั้นนักวิจัยได้ผสมเซรัมกับไวรัสที่ออกแบบมาเพื่อลำเลียงโปรตีนที่ผิวของโอไมครอน

“pseudoviruses” หรือไวรัสปลอมเหล่านี้หลบเลี่ยงแอนติบอดีจำนวนมากจากผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์นา 2 เข็ม แต่เข็มกระตุ้นนั้นผลิตแอนติบอดีในระดับสูง และป้องกันไม่ให้ไวรัสเจาะเข้าเซลล์”

“ดังนั้น ผลที่ได้ชัดเจนคือ คนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนก็ควรไปรับวัคซีน และโดยเฉพาะในช่วงที่โอไมครอนแพร่กระจาย หากได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว ก็ควรฉีดเข็มที่สามกระตุ้น” ดร.เฟาซีกล่าว

ดร.แอนโทนี เฟาซี ที่ปรึกษาประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้านการแพร่ระบาด ที่มาภาพ: https://www.care.org/news-and-stories/press-releases/care-praises-dr-anthony-faucis-remarks-to-the-world-health-organization/

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Protection: CDC) เตือนว่า โอกาสที่การติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในสหรัฐฯ มีสูง และอาจจะทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ในเดือนหน้า พร้อมกับชักชวนให้ชาวอเมริกันทุกคนที่มีสิทธิ ซึ่งหมายถึงคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปซึ่งได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ให้มารับวัคซีนเข็มที่ 3

CDC ระบุว่า ปัจจุบันชาวอเมริกันที่ได้รับวัคซีน 3 เข็มมีสัดส่วน 27%

หลายประเทศได้เร่งให้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้ประชาชน แต่ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนแพร่กระจายได้รวดเร็วจนไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ทัน

“จากอัตราการแพร่เชื้อที่คาดการณ์ไว้ หากเป็นจริง เราก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปจัดการ” ฟิล เคราส์ อดีตเจ้าหน้าที่ควบคุมวัคซีนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration) กล่าวในการประชุมขององค์การอนามัยโลก

จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนหวังว่า T Cell จะทำหน้าที่เป็นตัวสำรองที่มีประสิทธิภาพเมื่อแอนติบอดีไม่สามารถป้องกันได้ หากเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้สามารถต่อสู้กับโอไมครอนได้ ก็อาจป้องกันการติดเชื้อจำนวนมากไม่ให้มีอาการรุนแรงได้

หลังจากที่เซลล์ติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัส T Cell สามารถเรียนรู้ที่จะจดจำส่วนต่างๆของโปรตีนไวรัสที่กระจายจนถึงผิวด้านนอกของเซลล์ จากนั้น T Cell จะฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อหรือเตือนระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีไวรัสให้แรงขึ้น

ดร.อเล็สซานโดร เซตเต นักภูมิคุ้มกันวิทยาจากสถาบัน La Jolla Institute for Immunology และ แอนดรูว์ เรดด์ จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ รายงานว่า แม้จะมีการกลายพันธุ์ของโอไมครอน หลายครั้ง แต่ชิ้นส่วนโปรตีนส่วนใหญ่ที่ T Cell รู้จักนั้นเหมือนกับสายพันธุ์อื่น

สิ่งที่พบจากการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่า T Cell ที่ได้รับการฝึกด้วยวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งก่อนๆ จะตอบสนองต่อโอไมครอนอย่างรุนแรง แทนที่จะรอ “ดูเหมือนว่าการตอบสนองของ T Cell ส่วนใหญ่จะสงวนไว้” ดร.เซตเตกล่าว

เบอร์เกอร์และเพื่อนร่วมงานได้ทดสอบความเป็นไปได้นั้นโดยการรวบรวม T Cell จากคน 16 คนที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม และทำให้ T Cell เหล่านั้นสัมผัสกับส่วนที่เป็นโปรตีนของสายพันธุ์โอไมครอน นักวิทยาศาสตร์พบว่า การตอบสนองของ T Cell ต่อสายพันธุ์โอไมครอนมีประสิทธิภาพประมาณ 70% เท่ากับการตอบสนองต่อไวรัสสายพันธุ์เดิม

นักวิทยาศาสตร์หลายคนในที่ประชุมเตือนว่า ข้อมูลเหล่านี้มาจากการศึกษาเซลล์ในห้องปฏิบัติการที่เรียกว่าการทดลองในหลอดทดลอง จะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการตรวจสอบการติดเชื้อในคนก่อนที่จะมีความชัดเจนว่า T Cell สามารถป้องกันอาการรุนแรงได้ดีเพียงใด

“เรายังไม่รู้ว่า สิ่งที่พบจากการทดลองจะมีผลอย่างไรต่อความรุนแรงของโรค” โนรา เกอร์ฮาร์ด นักไวรัสวิทยา จากมหาวิทยาลัยวาเคอนิงเงิน (Wageningen University) ประเทศเนเธอร์แลนด์ กล่าว “และทั้งหมดทั้งปวงก็คือ เราต้องการป้องกันการล่มสลายของระบบสุขภาพในประเทศของเรา”

ที่มาภาพ: https://www.channelnewsasia.com/news/singapore/vaccines-therapeutics-manufacturing-future-pandemic-covid-19-14561302?cid=h3_referral_inarticlelinks_24082018_cna

วัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคเข็ม 3 เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอน

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมาไฟเซอร์และไบออนเทคได้เผยแพร่เอกสารข่าว ประกาศผลการศึกษาเบื้องต้นจากห้องปฏิบัติการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แอนติบอดีในเซรัมที่เกิดจากวัคซีนโควิดของไฟเซอร์-ไบออนเทค (BNT162b2) สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอน หลังจากการฉีดวัคซีน 3 เข็ม

เซรัมที่ได้รับจากวัคซีนหนึ่งเดือนหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (วัคซีน BNT162b2 เข็มที่สาม) ลบล้างฤทธิ์สายพันธุ์โอไมครอน ในระดับที่เทียบได้กับระดับที่สังเกตได้จากโปรตีนตรงส่วนหนามหรือ spike protein สายพันธุ์ตั้งต้นหลังการให้วัคซีน 2 เข็ม

เซรัมจากผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 จำนวน 2 เข็มในปัจจุบัน โดยเฉลี่ยแล้วลดลงมากกว่า 25 เท่าเมื่อต้องลบล้างฤทธ์สายพันธุ์โอไมครอน เทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ โดยทั่วไป ซึ่งบ่งชี้ว่า BNT162b2 จำนวน 2 เข็มอาจไม่เพียงพอในการป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตำแหน่งบนโมเลกุลแอนติเจน (epitubes) ส่วนใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของ T Cell ที่เกิดจากวัคซีนไม่ได้รับผลกระทบจากการกลายพันธุ์โอไมครอน บริษัทจึงเชื่อว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนอาจยังคงได้รับการป้องกันการเกิดอาการรุนแรงของโรค และกำลังติดตามประสิทธิภาพการต้านสายพันธุ์โอไมครอนจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนอกห้องปฏิบัติการอย่างใกล้ชิดทั่วโลก

การป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จากข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติมของบริษัท พบว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้นในปัจจุบันจากไฟเซอร์และไบออนเทค ช่วยเพิ่มระดับแอนติบอดีได้ 25 เท่า

ตามข้อมูลเบื้องต้นของบริษัท การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพิ่มแอนติบอดีที่ลบล้างฤทธิ์ของโอไมครอนเช่นเดียวกับที่พบจากการฉีดวัคซีน 2 เข็มกับสายพันธุ์ตั้งต้นและสายพันธุ์อื่นทั่วไปที่อุบัติขึ้นก่อนโอไมครอน ระดับแอนติบอดีเหล่านี้สัมพันธ์กับประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านทั้งไวรัสสายพันธุ์ตั้งต้นและสายพันธุ์เหล่านี้ การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ยังเพิ่มระดับ T Cell CD8+ (เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีแอนติเจนชนิด CD8 อยู่บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือเซลล์ที่ติดเชื้อ) อย่างมากเมื่อเทียบกับ epitubes ของ spike protein หลายตำแหน่ง ซึ่งถือว่าสัมพันธ์กับการป้องกันอาการรุนแรงเมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ตั้งต้น epitubes เหล่านี้ส่วนใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงใน spike protein สายพันธุ์โอไมครอน

อัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไฟเซอร์ ที่มาภาพ:https://abcnews.go.com/Politics/pfizer-ceo-distribute-boosters-primary-doses/story?id=80232565

อัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไฟเซอร์ กล่าวว่า “แม้ว่าวัคซีนสองโดสอาจสามารถป้องกันอาการรุนแรงที่เกิดจากเชื้อโอไมครอนได้ แต่ก็ชัดเจนจากข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ว่าการป้องกันจะดีขึ้นด้วยวัคซีนของเราในเข็มที่ 3″

“ต้องทำให้คนจำนวนมากเท่าที่เป็นไปได้ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนด้วยวัคซีน 2 เข็มแรกก่อน และการให้วัคซีนเข็มที่ 3 ยังคงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19”

อูกูร์ ซาฮิน ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้งไบออนเทค กล่าวว่า “ชุดข้อมูลเบื้องต้นของเราบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ยังคงสามารถให้การป้องกันโรคในระดับที่เพียงพอจากความรุนแรงใดๆ ที่เกิดจากสายพันธุ์โอไมครอน”

“การรณรงค์ฉีดวัคซีนและเข็มกระตุ้นในวงกว้างทั่วโลกสามารถช่วยให้เราปกป้องผู้คนจากทุกหนทุกแห่งได้ดียิ่งขึ้นและผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้ เรายังคงทำงานปรับปรุง ดัดแปลงวัคซีน ซึ่งเราเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการป้องกันโรคโควิด-19 ที่เกิดจากสายพันธุ์โอไมครอนในระดับสูง รวมทั้งให้การป้องกันที่นานกว่าวัคซีนปัจจุบัน”

แม้ว่าผลที่ได้จะเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น แต่บริษัท จะยังคงรวบรวมข้อมูลห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมและประเมินประสิทธิภาพจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพื่อประเมินและคงการป้องกันสายพันธุ์โอไมครอน และให้ข้อมูลแนวทางที่มีประสิทธิผลสูงสุด

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน บริษัทได้เริ่มพัฒนาวัคซีนโควิด-19 สำหรับสายพันธุ์โอไมครอนโดยเฉพาะ การพัฒนาจะดำเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้ ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวัคซีนเพื่อเพิ่มระดับและระยะเวลาในการป้องกันสายพันธุ์โอไมครอน

วัคซีนที่ใช้สำหรับสายพันธุ์โอไมครอน รุ่นแรกสามารถผลิตได้และมีแผนพร้อมสำหรับการส่งมอบภายใน 100 วัน โดยอยู่ระหว่างรอการอนุมัติด้านกฎระเบียบไฟเซอร์และไบออนเทค ได้ทำการทดสอบวัคซีนที่จำเพาะต่อสายพันธุ์อื่นๆ ด้วย ที่มีผลในการลบล้างฤทธ์ของเชื้อและมีความปลอดภัยที่ จากประสบการณ์นี้ บริษัทมีความมั่นใจอย่างสูงว่า หากจำเป็น ก็จะสามารถส่งมอบวัคซีนสำหรับสายพันธุ์โอไมครอนได้ในเดือนมีนาคม 2565

ก่อนหน้านี้ บริษัท ได้ริเริ่มการทดลองทางคลินิกด้วยวัคซีนสำหรับสายพันธุ์ต่างๆ (Alpha, Beta, Delta & Alpha/Delta Mix) และข้อมูลจากการศึกษาเหล่านี้จะถูกส่งไปยังหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก เพื่อช่วยเร่งกระบวนการปรับตัวและรับวัคซีน การอนุญาตตามกฎระเบียบหรือการอนุมัติวัคซีนเฉพาะสำหรับสายพันธุ์โอไมครอน หากจำเป็น

บริษัท ได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่าคาดว่าจะผลิต BNT162b2 ได้ 4 พันล้านโดสในปี 2565 และยังมีความสามารถหากจำเป็นต้องใช้วัคซีนที่ปรับเปลี่ยน

ผลวิจัยเบื้องต้นพบฉีดซิโนแวคเข็ม 3 มีประสิทธิภาพ 94% ต้านไอไมครอน

Pharmaniaga Bhd เปิดเผยว่า ข้อมูลเบื้องต้นจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้นด้วยซิโนแวค มีประสิทธิภาพ 94% ในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายใหม่โอไมครอน


แถลงการณ์
ที่เผยแพร่วันที่ 18 ธันวาคม 2564) ระบุว่า บริษัท ซิโนแวค ไอโอเทค จำกัด (Sinovac Biotech Co., Ltd.) ได้ทำการศึกษาสายพันธุ์ใหม่ 2 สายพันธุ์จากฮ่องกง

ผลห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่าเมื่อทดสอบกับหนึ่งในสายพันธุ์โอไมครอนนั้น 35% ของตัวอย่างเซรัม 20 ตัวอย่าง (7/20) จากผู้รับวัคซีนโคโรนาแวค (CoronaVac) 2 เข็ม ให้ผลบวกสำหรับแอนติบอดีที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของเชื้อ (neutralising antibody) และ 94% ของ 48 ตัวอย่าง (45/48) จากผู้รับยา 3 เข็มให้ผลบวกสำหรับแอนติบอดีที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของเชื้อ

ขณะนี้กำลังดำเนินการทดสอบเปรียบเทียบโดยใช้สายพันธุ์อื่น

วัคซีนลอตแรกของไทย

Pharmaniaga กล่าวว่า Sinovac กำลังดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซรัมที่มีระดับแอนติบอดีต่างกันและหลังการได้รับวัคซีน (post-immunisation) ให้หลากหลายขึ้น เพื่อให้บรรลุการประเมินอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับผลของโอไมครอนต่อวัคซีน

ผลการศึกษานี้สนับสนุนถ้อยแถลงของเมิ่ง ไวน์นิง ผู้อำนวยการอาวุโสของธุรกิจต่างประเทศจาก Sinovac Biotech ซึ่งกล่าวว่า การฉีดเข็มกระตุ้น (booster dose) ในช่วงเวลา 6-12 เดือนหลังจากการได้รับเข็มที่สองส่งผลให้มีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยค่าเฉลี่ยระดับภูมิคุ้มกัน (Geometric Mean Titers: GMT) เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 140

เมิ่ง กล่าวว่า ค่า GMTs ของเข็มที่ 3 หลังจากฉีด 6 เดือนสูงกว่าจุดสูงสุดของเข็มที่สอง

“นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นการทรงตัวของแอนติบอดีที่สูงขึ้นในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากเข็มที่ 3 เมื่อเทียบกับการได้รับวัคซีนเข็มที่สอง ซึ่งบ่งชี้ถึงระยะเวลาในการป้องกันจากโควิด-19 ที่นานขึ้นรวมทั้งสายพันธุ์ใหม่” เมิ่งกล่าว

Pharmaniaga กล่าวว่า การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้สอดคล้องกับคำแถลงของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ไครี จามาลุดดิน เมื่อวันศุกร์ (17 ธ.ค. 2564) ที่ขอให้ผู้ที่รับวัคซีนซิโนแวค ที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนและผู้ที่อายุ 60 ปี ขึ้นไปไม่ว่าได้รับวัคซีนยี่ห้ออะไร ให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565