ThaiPublica > เกาะกระแส > นายก ฯกางไทม์ไลน์นำเข้าวัคซีน – ชี้ “ไฟเซอร์” อยู่ระหว่างเสนอราคา-มติ ครม.แจก 7,000 บาท เพิ่ม 2.4 ล้านคน

นายก ฯกางไทม์ไลน์นำเข้าวัคซีน – ชี้ “ไฟเซอร์” อยู่ระหว่างเสนอราคา-มติ ครม.แจก 7,000 บาท เพิ่ม 2.4 ล้านคน

20 เมษายน 2021


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

นายก ฯกางไทม์ไลน์นำเข้าวัคซีน – ชี้ “ไฟเซอร์” อยู่ระหว่างเสนอราคา-ยันไม่คิดผูกขาด – มอบ “ปิยะสกล” หา “วัคซีนทางเลือก”-ดีเดย์ลงทะเบียน “หมอพร้อม” 1 พ.ค.นี้ -มติ ครม.แจก 7,000 บาท เพิ่ม 2.4 ล้านคน – ขยายเวลาช้อปถึงสิ้น มิ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งยังคงเป็นการประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เนื่องจากยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา 2019 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

เร่งสรุปมาตรการรับมือโควิด ฯรอบใหม่ ขอ ปชช.เตรียมพร้อม

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าวันนี้รัฐบาลได้มีการยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิดฯ กระรอกใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอน การดำเนินการ โดยในช่วง 2 สัปดาห์นี้จะต้องพิจารณาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วว่ากราฟขึ้นลงอย่างไร ตกหรือไม่ตก จะกระเตื้องขึ้นหรือไม่ ซึ่งขณะนี้จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด พื้นที่ควบคุมอีก 59 จังหวัด เป็นการยกระดับมาตรการในวันที่ 18 เมษายน 2564

“ก็เพียงแต่ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้ก็ได้มีการทำงานร่วมกันในลักษณะบูรณาการจากทุกหน่วยงานทั้งพลเรือนตำรวจทหารอันนี้ก็ดำเนินการอย่างเต็มที่ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่มี ส่วนในเรื่องของความร่วมมือความเข้าใจตอบสนองนโยบายภาครัฐที่ออกไปและมาตรการต่างๆ ”

ถกเยียวยาโควิด ฯต่อ – ยันหางบ ฯได้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมาตรการเยียวยาประชาชนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดฯ ระรอกใหม่ว่า วันนี้ในตอนบ่ายจะมีการประชุมหารือในส่วนนี้เพิ่มเติมกับฝ่ายเศรษฐกิจว่าสามารถที่จะใช้งบประมาณต่างๆ ได้มากน้อยเพียงใดและในโครงการใดบ้าง

อย่างไรก็ตาม โครงการที่ยังคงค้างอยู่ในขณะนี้คือ “โครงการเราชนะ” ซึ่งยังคงทำต่อไปในขณะนี้ และในส่วนของ “ม.33 เรารักกัน” ส่วนโครงการอื่นที่จบไปแล้วก็จะพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง ซี่งคงได้คำตอบในเร็ววันนี้

“เราก็ต้องนึกถึงว่ารัฐบาลเรามีงบประมาณอยู่แค่ไหนอย่างไรเราไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ยังไงก็ต้องจัดหาให้จนได้แต่จะหาไว้ด้วยวิธีไหนเท่านั้นเองว่าจะมีงบประมาณที่เพียงพอหรือไม่ ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกกรณีแหล่งการแพร่ระบาดต่างๆ ผมมีการสอบสวนไปในทุกกรณี”

ต่อกรณีการเยียวยาช่วยเหลือผู้ตกงาน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีมาตรการหลายมาตรการออกไปท่านคงไม่ลืม ซึ่งเป็นมาตรการที่ทำให้รักษาการจ้างงานไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็จะต้องดูแลตรงนี้ต่อไปว่าจะทำอย่างไรกันดีในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอี อะไรต่างๆ เหล่านี้ก็จำเป็นต้องจัดเตรียมหางบประมาณเพิ่มเติมอีกจากงบประมาณที่มีอยู่เดิม อันนี้เป็นวิธีการทำงานของรัฐบาล

บี้ รสก.เดินตามยุทธศาสตร์ชาติ ลดภาระงบฯ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้เราก็ต้องยอมรับกันว่าสถานการณ์โควิดฯ นั้นทำให้เกิดปัญหามากพอสมควรในเรื่องของเศรษฐกิจ ในส่วนของการพัฒนารัฐวิสาหกิจอันนี้ก็ได้เร่งรัฐให้หน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลภายใต้ “บีซีจี โมเดล” โดยขอให้รัฐวิสาหกิจต่างๆ พิจารณาความจำเป็นและจำกัดดูแลบริษัทในเครือให้ได้ตามวัตถุประสงค์ ด้วยแนวทางและวิธีการทำงานใหม่ในการให้บริการประชาชนทั้งนี้เพื่อจะสร้างรายได้ให้กับประเทศและลดภาระทางด้านงบประมาณให้กับภาครัฐ และประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

สั่งเดินหน้า “บ้านเคหะสุขประชา” นำร่องสร้าง “น็อคดาวน์” พื้นที่แออัด

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญกับการจัดหาที่อยู่ที่ทำกินให้กับประชาชน ซึ่งวันนี้ได้เร่งรัดในที่ประชุม ครม. ไปแล้ว ในเรื่องของการจัดหาที่ดิน ในลักษณะของกระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) และเรื่องของบ้านเคหะสุขประชา ซึ่งจากการเปิดโครงการไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้รับการตอบรับเป็นจำนวนมาก ตนก็จะเร่งรัดในเรื่องนี้ เพราะเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ที่ต้องการให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัย ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“บ้านเคหะสุขประชา จะเดินหน้าต่อไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่จะให้มีการทำแผนงานไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะมีการทยอยดำเนินการไปตามงบประมาณที่มีอยู่ หรือตามแนวทางปฏิบัติวันนี้ผมก็ให้แนวคิดไปอีกอย่างหนึ่งคือการทำบ้านในลักษณะบ้านน็อคดาวน์ เพื่อทำให้เร็วขึ้น ในพื้นที่ที่แออัด เดี๋ยวจะลองทำสแตนบล็อกตรงนี้ออกไป เพื่อให้เกิดให้เร็วขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ซึ่งทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รับเรื่องตรงนี้ไปแล้ว สำหรับผู้มีรายได้น้อยจะได้มีความมั่นคงในเรื่องของที่อยู่อาศัย”

ยันไม่คิดผูกขาด – มอบ “ปิยะสกล” หา “วัคซีนทางเลือก”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกระแสโซเชียลโจมตีรัฐบาลอย่างหนักในกรณีที่อยากให้รัฐบาลเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีน ว่า ตนได้ตอบสนองท่านแล้วไม่ใช่ไม่ได้ทำ โดยได้ให้กระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาดำเนินการมาโดยตลอด แต่ตนต้องการให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น จึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกคณะหนึ่งที่มีนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ซึ่งได้มีการหารือกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและผู้รู้ทั้งหลายเพื่อมาให้ข้อมูลตรงนี้ว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้ได้อย่างไร ในการที่ให้ได้วัคซีนทางเลือกเข้ามาในประเทศไทย

ทั้งนี้ ขอประชาชนให้เข้าใจถึงขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่มาจากสาเหตุการจองช้า หรือจำนวนที่ไม่เพียงพอ ทุกอย่างพัฒนาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลไม่อยากให้ประชาชนมีความเสี่ยงในตอนแรกที่มีการเริ่มผลิตวัคซีนออกมา หลายๆ ประเทศก็เช่นเดียวกันกับไทย

“วัคซีนนั้นผลิตโดยบริษัทเอกชนเวลาเขาจะนำออกมาก็ต้องมีการขออนุญาตจากรัฐบาลเขาเช่นกัน เราก็ติดต่อเป็นรัฐบาลต่อรัฐบาลด้วย เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นความยากง่ายของเรา ผมกราบเรียนว่าสิ่งที่เรารับวัคซีนมาในช่วงแรกนั้นเราจะซื้อสั่งการสั่งมาในฐานะที่เราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีมาก ในระยะที่ 1 เราก็จัดหาวัคซีนมาตามความจำเป็นเราก็ไม่อยากให้ประชาชนมีความเสี่ยงในกรณีที่วัคซีนเหล่านั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทราบ”

“วันนี้เมื่อพิสูจน์ทราบมาแล้วผมก็เปิดโอกาสช่องทางให้หลายๆ ยี่ห้อได้เข้ามาเสนอความต้องการขายวัคซีนให้กับเรา คราวนี้เราก็ต้องหาช่องทางว่าจะซื้อได้อย่างไรวันนี้ก็เนื่องจากเป็นการติดต่อระหว่างรัฐต่อรัฐในสถานการณ์ฉุกเฉินการใช้วัคซีนในเวลานี้เพราะฉะนั้นต้องไปดูตรงนี้ว่า ภาคเอกชนของเขากับรัฐของเขาด้วยแล้วเราก็พร้อมที่จะรับวัคซีนของเขามาในขณะนี้”

ต่อคำถามการที่รัฐบาลไม่เปิดทางให้เอกชนเป็นเรื่องผูกขาด พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า อันนี้เป็นไปไม่ได้ ตนไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ตนคิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรจะปลอดภัย ทำอย่างไรจะจัดหาได้ เพราะไม่ใช่กรณีที่สามารถซื้อหาได้เหมือนกับซื้อยาปกติทั่วไป เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินในปัจจุบัน และเพราะบริษัทผู้ผลิตเอกชนนั้นเขาไม่รับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียง ฉะนั้นจึงจำเป็นที่รัฐ ต้องเป็นผู้จัดหาในขณะนี้ ซึ่งต่อไปก็คงจะคลี่คลายตรงนี้ไปได้

เปิดลงทะเบียน “หมอพร้อม” 1 พ.ค.นี้ ลุยฉีดวัคซีนทั่วประเทศ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน และการเข้าถึงวัคซีนของประชาชนว่า กรณีดังกล่าว ตนได้เร่งรัดกระทรวงสาธารณสุขอีกครั้งในการประชุม ครม. วันนี้ให้มีการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุดในโควตาหรือแนวทางต่างๆ ที่ให้ไป ให้ประชาชนมีส่วนเข้ามาได้รับวัคซีนในจำนวนที่ทั่วถึง และให้ทุกจังหวัด รวมถึง กทม. เร่งฉีดวัคซีนที่ได้รับไปให้เร็วที่สุด จำนวนมากที่สุดที่ได้ไปจนครบ นอกจากนี้รัฐบาลก็ได้เตรียมวัคซีนสำรองไว้อีกด้วยเพื่อให้ทั่วถึงในระยะต่อๆ ไปเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้

สำหรับแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” กระทรวงสาธารณสุขจะเริ่มให้ลงทะเบียนในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 นี้ เนื่องจากต้องมีการเตรียมการมากพอสมควรในขณะนี้ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทั้งประเทศให้ได้โดยเร็ว ซึ่งเดิมใช้ข้อมูลมาจากผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศก็ได้จำนวนหนึ่ง แต่ที่เหลือก็ต้องหาเพิ่มเติมว่าคนทั้งประเทศมีความต้องการจะฉีดวัคซีนด้วยความสมัครใจเท่าไหร่ อย่างไร

วอนเห็นใจบุคคลากรการแพทย์ติดโควิดฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์ติดโควิดฯ จำนวนมากกระทบต่อการรักษาผู้ป่วยว่า ต้องเข้าใจว่าเขาติดมาอย่างไรเขาคงไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหนมาต้องเห็นใจเขาบุคลากรทางการแพทย์ทางต่างๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นทหารตำรวจที่ไปดูแลด่านตรวจจุดสกัด ดูแลผู้ชุมนุมหรือดูแลในแหล่งที่มีการแพร่ระบาดเขาติดเชื้อมาก็ต้องเห็นใจเขาต้องดูแลเขา

“ฉะนั้นผมไม่อยากให้สร้างภาระให้กับเขาอีกในเรื่องที่ไม่จำเป็นที่ต้องใช้คนจำนวนมากลงไปดูแลใกล้ชิดกันอีกมันก็จะเป็นการแพร่เชื้อขยายกันต่อไป เราต้องรักษาบุคลากรทางการแพทย์นี้ให้ได้มากที่สุด ให้ความสำคัญรักษาพยาบาลเขาดูแลเขารัฐบาลก็มีมาตรการในการดูแลเขาอยู่แล้วในส่วนนี้”

ยันไม่นิ่งนอนใจ เล็งเอาผิดเจ้าของสถานบริการแพร่โควิด ฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการดำเนินคดีเอาผิดเจ้าหน้าที่ เครือข่ายที่เป็นสาเหตุแหล่งแพร่ระบาดเชื้อโควิด ตั้งแต่ขบวนการลักลอบค้าแรงงาน กรณีบ่อนพนัน และกรณีผับบาร์เลาจ์ ซึ่งหนึ่งในนายตำรวจที่ดูแลพื้นที่ สน.ทองหล่อคือหลานเขย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจผมได้กำกับดูแลกำชับกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มีการพิจารณาโทษและมีการลงโทษไปบ้างแล้วและหลายอย่างก็เป็นเรื่องของการตรวจสอบต่อไปให้หาถึงเจ้าของที่แท้จริงของสถานบริการต่างๆ เหล่านั้นว่าใครเป็นเจ้าของ

เมื่อถามถึงกรณีการสั่งย้าย พ.ต.อ. ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ  ซึ่งถือเป็นหลานเขย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แบบนี้จากกระทบภาพรวมหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “แล้วย้ายไหมละ”

เร่งจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ 3.5 ล้านเม็ด

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงแผนการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งวันนี้หลายคนก็เข้าใจว่าขาดแคลนว่า รัฐบาลก็ได้จัดเตรียมแผนสำรองไว้ในการจัดหาไว้แล้วโดยกระทรวงสาธารณสุข และยา ฟาวิพิราเวียร์จะต้องเข้าใจตรงกันว่าไม่ใช่ยาที่กินแล้วจะป้องกันโควิดฯ ไม่ใช่ วัคซีนก็เป็นวัคซีนเพื่อสร้างภูมิต้านทานในตัวเราให้เข้มแข็งขึ้นและในขณะเดียวกันเมื่อภูมิต้านทานในตัวเราเข้มแข็งขึ้นก็จะสามารถต้านทานโรคนี้ได้พอสมควร แล้วก็ไม่ไปแพร่เชื้อให้คนอื่นตายอย่างไรก็ตามก็ต้องใช้มาตรการเดิมที่เรามีอยู่ก็คือการใช้หน้ากากเว้นระยะห่างล้างมืออะไรก็แล้วแต่ที่มีมานานแล้ว

เห็นหลายพื้นที่จังหวัดก็ควบคุมผู้ที่ใส่หน้ากากกับไม่ใส่หน้ากากมีการกำหนดบทลงโทษไว้แล้ว ก็ไม่อยากให้ประชาชนต้องเดือดร้อนตรงนี้หรอกแต่ก็จำเป็นเหมือนกันไม่อย่างนั้นทุกคนก็เลินเล่อประมาท ก็จะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็โทษใครไม่ได้อยู่แล้วเป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องไม่โทษซึ่งกันและกันและร่วมมือกันและกัน

ขอขอบคุณกำลังใจที่ให้มากับผม กับรัฐมนตรีกับ ครม. ประชาชนส่วนมากให้กำลังใจมากับเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ ให้กำลังใจแก่รัฐบาลผมก็จะไม่หยุดนิ่งในการที่จะคิดในการที่จะบริหารในการที่จะจัดการต่างๆ ตอนนี้ผมก็รับฟังความคิดเห็นจากกระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ด้วย

เรื่องยาฟาวิพิราเวียร์ เราก็มีแผนว่าในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม จะมีการจัดหาเพิ่มเติมอีก 2 ล้านเม็ด และในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน อีก1 ล้านเม็ด ในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมอีก 500 เม็ด เพราะฉะนั้นเราจะสั่งซื้อให้มีเข้ามาอยู่ในสต็อกสำรองให้ได้ 3.5 ล้านเม็ดให้โดยเร็วที่สุด วันนี้ก็ทราบว่ายังคงเพียงพออยู่ในขั้นต้นสำหรับการรักษา

เราจะต้องมอนิเตอร์รายวันและสต็อกต่างๆ ก็ต้องเตรียมไว้ถ้าหากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นก็ต้องเพิ่มไปอีกเพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีแผนเป็นขั้นเป็นตอนอย่างที่ผมกราบเรียนไปแล้ว

กางไทม์ไลน์นำเข้าวัคซีน – ชี้ “ไฟเซอร์” อยู่ระหว่างเสนอราคา

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปถึงการนำเข้ามาวัคซีนซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้ามาแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 2,117,000 โดส แบ่งเป็น ในเดือนกุมภาพันธ์ มีการนำเข้าวัคซีนของซิโนแวค จำนวน 200,000 โดส และจากแอสตร้าเซนเนก้าอีกจำนวน 117,000 โดสในเดือนมีนาคม นำเข้าวัคซีนของซิโนแวค จำนวน 80,0000 โดส เดือนเมษายน นำเข้าวัคซีนซโนแวค อีกจำนวน 1,000,000 โดส ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำแผนแจกจ่ายไปยังพื้นที่ต่างๆ เพิ่มเติมมากขึ้นแล้ว ก็ขอให้เร่งรัดการฉีดให้ได้มากยิ่งขึ้น

ส่วนของวัคซีนที่จะเข้ามาที่เราประมาณการไว้และติดต่อไว้ในขณะนี้ในวันที่ 24 เมษายน 2564 จะเข้ามาอีก 500,000 โดส เดือนพฤษภาคมจะเข้ามาอีก 1,000,000 โดส แต่ในส่วนของ 1,000,000 โดสนี้ ยังต้องรอนโยบายของรัฐบาลจีนด้วยเพราะว่าการนำออกมาจากประเทศจีนนั้นต้องมีการขออนุมัติจากรัฐบาลซึ่งเราก็มีการหารือกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว

ในส่วนของวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า ที่ผลิตในประเทศไทยคาดว่าจะเริ่มทยอยส่งได้ในเดือนมิถุนายน 2564 ประมาณ 4,000,000 – 6,000,000 โดส และจะเพิ่มจำนวนไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 จนถึงสิ้นปีให้จนครบ 61,000,000 โดส ฉะนั้น เมื่อรวมกับที่เรากำลังจัดหาเพิ่มเติมและวัคซีนทางเลือกก็จะเพียงพอ

“บุคลากรทางการแพทย์หรือใครที่ไม่พอก็ขอให้ไปรวบรวมบรรดาหมอหรือบรรดาพยาบาลต่างๆ ที่มีจำนวนมากมาช่วยกันฉีด  ขณะเดียวกันในส่วนของโรงพยาบาลเอกชนก็พร้อมยินดีที่จะช่วยฉีดตรงนี้ ก็มีการหารือกันอยู่แล้วว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เกิดความรวดเร็วขึ้น”

นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถาบันวัคซีนกำลังเจรจาอยู่กับบริษัท ไฟเซอร์ ถึงความเป็นไปได้ในการที่จัดส่งวัคซีนมาในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 จนถึงสิ้นปี ในปริมาณ 5,000,000-10,000,000 โดส แต่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างรอใบเสนอราคาและเงื่อนไขอยู่

“กราบเรียนให้ทราบว่ามีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน แต่อันนี้ผมก็ยังไม่อยากพูดไปล่วงหน้าเพราะยังอยู่ในขั้นตอนการติดต่ออยู่ แต่รัฐบาลก็ไม่นิ่งนอนใจ”

ชี้ “แพนกวิน” อดข้าวไม่มีผลต่อกระบวนการยุติธรรม

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่ “เพนกวิน” ปฏิเสธกระบวนการในชั้นศาลโดยอ้างว่าไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจึงไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่จึงไม่ยอมรับ ว่า เรื่องนี้ว่าก็ไปก้าวล่วงไม่ได้เป็นเรื่องของอำนาจศาล ซึ่งมีหตุมีผลและเป็นไปตามกฎหมาย

ส่วนกรณีที่ “เพนกวิ้น” ยังคงเดินหน้าอดข้าวประท้วง ขณะที่หลายฝ่ายเป็นห่วง จนพระพะยอมยังขอบิณฑบาตชีวิต ว่าตนไม่ได้ห่วงเรื่องการอดข้าวประท้วงก็คงเป็นเรื่องที่ท่านตัดสินใจเอง แต่เป็นห่วงสุขภาพเพราะอย่างไรก็ตามท่านก็เป็นคนไทยทีตนต้องดูแลเหมือนกัน

“คราวนี้ก็ขอให้แยกแยะออกจากกัน ว่าอะไรผิดอะไรถูกเพราะฉะนั้นการอดข้าวจะมีผลต่อกระบวนการยุติธรรมก็คงไม่ใช่ฉันนั้นเป็นเรื่องของกระบวนการของศาลกระบวนการยุติธรรม”

เตือน ป.ช.ช.อย่าเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการดูแลและป้องกันพฤติกรรมเลียนแบบ หลังเกิดลัทธิความเชื่ออย่างผิดๆ เช่น ลัทธิกิโยติน ว่า ตนเห็นมีหลายลัทธิอยู่ในตอนนี้ ซึ่งองค์การคณะสงฆ์ต่างๆ เข้าไปดูแล และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีก็เข้าไปดูแลตรงนี้แล้ว โดยขอประชาชนอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

“ผมขอให้ประชาชนอย่าไปหลงเชื่อในสิ่งที่มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์มากนักเพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนด้วยคำสอนในสิ่งที่พิสูจน์ได้ ฉะนั้นหลายๆ อย่างผมก็ไม่อยากให้ไปหลงเชื่อหรือเชื่อถือมากนัก แต่ผมก็ห้ามท่านไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ท่านต้องมีเหตุมีผลในการจะเชื่อหรือเคารพอะไรก็แล้วแต่และพฤติกรรมเลียนแบบแบบนี้ผมคิดว่าคงไม่มีใครอยากจะทำ”

มอบ “ดอน” ประชุมผู้นำอาเซียนที่อินโด ฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเป็น ที่เป็นที่จับตาจากหลายประเทศอย่างมาก เนื่องจากพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา เตรียมเดินทางไปร่วมประชุมด้วย ว่า ตนตัดสินใจว่าจะส่งส่งนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปประชุมแทน และก็ทราบว่าหลายประเทศได้ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเช่นกัน

ถามถึงท่าทีรัฐบาลไทยต่อคณะรัฐประหารเมียนมาและ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย รวมทั้งรัฐบาลไทยจะให้การยอมรับความชอบธรรมต่อรัฐบาลผลัดถิ่น ของเมียนมาที่เพิ่งประกาศตัวไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมทหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า “เรื่องสถานการณ์ในเมียนมาร์นั้นมีการสลับซับซ้อนมากวันนี้ผมขออนุญาตไม่ตอบตรงนี้ ในเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในหลายช่องทางด้วยกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความสงบให้ได้โดยเร็ว ในฐานะที่เราเป็นอาเซียนด้วยกัน”

ขอโทษพูดผิดบ่อย ฝากขอบคุณเอกชนสนับสนุน รพ.สนาม

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องใดก็ตามที่นายกพูดออกไปนายกพูดในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาลเป็นนายกรัฐมนตรีบางครั้งผมก็ต้องเอาข้อมูลมาจากหน่วยงานเพราะเป็นการทำงานอย่างเป็นระบบดังนั้นหลายคนก็ขอให้ฟังในช่องทางอื่นๆ ด้วย ซึ่งตนได้เน้นยำเรื่องโรงพยาบาลสนามไปแล้ว และต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่าจะดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่จำเป็นก่อน ถ้าไม่พอจึงจะเปิดพื้นที่เพิ่มเติม

“และขอความร่วมมือของประชาชนให้เข้าใจตรงกันว่า หลายคนอยากเข้าโรงพยาบาลรัฐโรงพยาบาลเอกชนแต่เนื่องจากประสิทธิภาพในการรองรับไม่พอและจำเป็นต้องรักษาเตียงไว้ให้กับผู้ป่วยในโรคอื่นๆ ด้วย เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนามซึ่งก็จะมี เตียงว่างอยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร และพร้อมที่จะจัดตั้งเพิ่มขึ้นใหม่ก็ขอทำความเข้าใจด้วยมันอาจจะอยู่ไกลบ้านท่านบ้างก็ขอให้เข้าใจว่าเราจะไปดึงดันเข้าโรงพยาบาลรัฐโรงพยาบาลเอกชนอย่างเดียวไม่ได้ในขณะนี้ต้องนึกถึงคนอื่นด้วยรัฐบาลก็พยายามที่จะทำอย่างเต็มที่”

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอขอบคุณภาคธุรกิจที่สนับสนุนในเรื่องของการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม และสนับสนุนอุปกรณ์ อาหารเครื่องดื่มต่างๆ มีหลายบริษัทที่เข้ามาร่วมมือตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด หรือเอสซีจี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และอื่นๆ ที่ตนอาจจะไม่ได้กล่าวอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะของ พล.ต. นพ.เหรียญทอง แน่นหนา อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะที่สนับสนุนรัฐบาลในทุกๆ เรื่อง

“หลายครั้งที่ผมพูดบางครั้งผมอาจจะพูดเร็วไปนิดนึงเพราะมีเรื่องหลายเรื่องให้ต้องคิดก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกันวันนี้ผมพยายามพูดช้าๆ บางครั้งพูดเร็วผมก็พูดถูกบ้างผิดบ้างสะกดการันต์หรือพูดไม่ชัดบ้างก็ขอให้เข้าใจก็แล้วกัน ผมพยายามอย่างเต็มที่ เพราะผมเป็นคนค่อนข้างจะทำอะไรเร็วไปนิดนึง คิดเร็ว พูดเร็ว หลายๆ เ รื่องอยู่ในสมองเยอะ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสุขภาพ เรื่องของการลงทุน เรื่องของการงบประมาณ แผนงานโครงการเยอะแยะไปหมด นี่คืองานหน้าที่ของนายกฯ ก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน”

“อะไรที่ไม่ดีก็ขอโทษอะไรที่ดีก็ขอให้ร่วมมือก็แล้วกันนายกไม่เคยเป็นอื่นก็ยังคงยึดมั่นในหลักการของนายกมาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยของเราดีขึ้นดีที่สุด ในอนาคตให้ทุกคนได้มีโอกาสและแก้ปัญหาอุปสรรคเดิมๆ ที่มีอยู่หลายๆ เรื่องที่รัฐบาลจำเป็นต้องเอามาแก้ไขปัญหาเข้ามาทุกวัน เพราะฉะนั้นแสดงว่าเรายังแก้ปัญหาได้ไม่ครบไม่หมด แต่ผมยืนยันว่าผมจะเร่งดำเนินการให้จงได้ ขอบคุณนะครับเราจะต้องชนะไปด้วยกันชนะให้ได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคน”

มติ ครม. มีดังนี้

ผศ.ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ www.thaigov.go.th

แจกเยียวยา 7,000 บาท เพิ่ม 2.4 ล้านคน – ต่อเวลาช้อปถึงสิ้น มิ.ย.นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเราชนะ โดยก่อนหน้านี้ ครม.เคยมีมติอนุมัติจำนวนกลุ่มเป้าหมายประมาณ 31.1 ล้านคนแล้ว ในกรอบวงเงิน 210,200 ล้านบาท แต่เนื่องจากจำนวนผู้มีสิทธิที่เข้าร่วมโครงการจริงมีประมาณ 33.5 ล้านคน แบ่งเป็น ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการแล้ว 33.1263 ล้านคน, ผู้ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบคัดกรอง ประมาณ 86,000 คน และผู้ต้องการความช่วยเหลือ/ผู้ที่อยู่ระหว่างการทบทวนสิทธิประมาณ 284,000 คน ดังนั้นครม.จึงมีมติเห็นชอบให้ขยายกลุ่มเป้าหมายโครงการเราชนะให้เป็นประมาณ 33.5 ล้านคน โดยมีกรอบวงเงินเพิ่มขึ้น 3,042 ล้านบาท คิดเป็นกรอบวงเงินใหม่ไม่เกิน 213,242 ล้านบาท

นอกจากนี้ ครม.เห็นชอบ ขยายระยะเวลาใช้วงเงินสนับสนุนสำหรับผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเราชนะ โดยสามารถใช้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จากเดิมที่ใช้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2564

  • คลังขยายเวลา “เราชนะ” ใช้จ่ายได้ถึงสิ้น มิ.ย.นี้-ล่าสุดมีผู้ใช้สิทธิ์ 32.8 ล้านคน เงินสะพัด 2 แสนล้าน
  • อนุมัติ 68 ล้าน จัดงาน “แฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19” ช่วยคนตกงาน

    นายอนุชา กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการสร้างรายได้ด้วย “แฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19” ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ วงเงิน 68 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 8 เดือน (พฤษภาคม – ธันวาคม 2564)  สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

    วัตถุประสงค์  เพื่อช่วยเหลือและสร้างอาชีพแก่คนว่างงานและคนตกงาน   กระตุ้นและฟื้นฟูธุรกิจแฟรนไชส์ และธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก ให้กลับมาดำเนินธุรกิจในตลาดเป็นปกติ   สร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์และการขยายการลงทุนในธุรกิจให้กับ Franchisee มากขึ้น และเพิ่มช่องทางการหารายได้และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย

    เป้าหมายกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การสร้างรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และเพิ่มการขยายธุรกิจด้วยระบบแฟรนไชส์   สร้างอาชีพให้แก่ประชาชนและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ   ธุรกิจแฟรนไชส์ขยายร้านสาขาแฟรนไชส์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจมีความมั่นคงเข้มแข็งและยั่งยืน   เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ เกิดการสร้างอาชีพ ทำให้เกิดการจ้างงาน และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ลดอัตราการว่างงาน และธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ขยายตัวและสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศเพิ่มขึ้น โดยกิจกรรม ประกอบด้วย

    • กิจกรรมที่ 1 จัดงานแฟรนไชส์สร้างอาชีพ Road Show 2021 ในภูมิภาค รวม 15 ครั้ง (15 จังหวัด) (ประมาณเดือนละ 2 จังหวัด) เป้าหมาย 100 ธุรกิจ และประสานงานการเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างเจ้าของแฟรนไชส์ (Franchisor) และสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ที่มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ให้แก่ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchisee) ได้มีเงินลงทุนเพื่อประกอบอาชีพได้ง่ายขึ้น
    • กิจกรรมที่ 2 จัดงาน DBD Franchise & SME Expo 2021 ส่วนกลาง 1 ครั้งเป้าหมาย 400 ธุรกิจ และประสานงานการเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างเจ้าของแฟรนไชส์ (Franchisor) และสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ที่มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ให้แก่ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchisee) ได้มีเงินลงทุนเพื่อประกอบอาชีพได้ง่ายขึ้น

    ทั้งนี้ คาดว่า ธุรกิจแฟรนไชส์ 500 ราย จะได้นำเสนอธุรกิจเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 และ ผู้ว่างงาน ผู้ต้องการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ และแฟรนไชส์ซีที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ได้ร่วมกิจกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ จำนวน 10,000 ราย

    ผ่านร่าง กม.ขออนุญาตตั้งโรงงานอุต ฯชีวภาพ

    นายอนุชา กล่าวว่าที่ประชุม ครม. ได้อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งแก้ไขเพิ่มประเภทหรือชนิดของโรงงานในลำดับที่ 42 แห่งบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ. 2563  โดยเพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ  3 ประเภท ได้แก่ 1) การทำเคมีภัณฑ์หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมี ซึ่งใช้วัตถุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ต่อเนื่อง โดยใช้กระบวนการเคมีชีวภาพเป็นพื้นฐาน 2) การผลิตพลาสติกชีวภาพจากเคมีภัณฑ์หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมีที่ผลิตจากวัตถุดิบ พื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่อง

    และ 3) การผลิตพลาสติกชีวภาพจากเคมีภัณฑ์ หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมีที่ผลิตจากวัตถุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่องรวมกับวัตถุดิบที่ผลิตมาจากปิโตรเลียม และทำให้พลาสติกชีวภาพนั้นสลายตัวได้ทางชีวภาพ ให้เป็นโรงงานจำพวกที่ 3 ที่ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานก่อน จึงจะดำเนินการได้

    โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ช่วยสนับสนุนให้การประกอบกิจการโรงงานหลักที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Industry) ให้มีความชัดเจน โดยแยกประเภทอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพออกจากอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ เป็นผลดีในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโรงงานในอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล (S – Curve) ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ประชาชนและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561 – 2570 ด้วย

    ยุบกองทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมาย

    นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติให้ยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และไม่ควรจัดตั้งกองทุนความปลอดภัยในการออกกำลังกาย นันทนาการ และกีฬา ของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน

    ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา มีความเห็นให้ยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมาย และให้ชำระบัญชีเงินทุนหมุนเวียนและนำเงินคงเหลือส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินด้วย เนื่องจาก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมายแล้ว  และไม่เห็นควรจัดตั้งกองทุนความปลอดภัยในการออกกำลังกาย นันทนาการ และกีฬา ของกรมพลศึกษา

    เนื่องจากเป็นงานซ้ำซ้อนกับภารกิจปกติของหน่วยงานและซ้ำซ้อนกับทุนหมุนเวียนอื่นในการสนับสนุนเงินเยียวยาค่ารักษาแก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งผู้ให้บริการสถานที่ออกกำลังกายควรเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยในการใช้สถานที่ รวมทั้งไม่เห็นควรจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ ของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน เนื่องจากเป็นภารกิจปกติของกระทรวงแรงงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแหล่งรายได้ของกองทุนฯ ซึ่งมาจากเงินค่าสมาชิกอาจไม่มีความยั่งยืน ทำให้ต้องใช้เงินงบประมาณเป็นรายได้หลัก

    “การขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนต้องเป็นไปตามพ.ร.บ.การบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558  ที่บัญญัติให้ทุนหมุนเวียนที่หน่วยงานของรัฐขอจัดตั้งจะต้องไม่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกับภารกิจปกติของหน่วยงานรัฐและต้องไม่ซ้ำซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานรัฐอื่น หรือทุนหมุนเวียนที่ดำเนินการอยู่แล้วด้วย”

    อนุมัติสัมปทานศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า “เชียงของ” 15 ปี

    นายอนุชา กล่าวต่อว่าวันนี้ที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย พร้อมให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost เฉพาะในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ทั้งหมด และมีการให้สิทธิในทรัพย์สินของโครงการฯ ในรูปแบบ Build – Operate – Transfer (BOT) เพื่อให้ภาคเอกชนเปิดให้บริการโครงการฯ อย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2565 ระยะเวลาสัมปทาน 15 ปี รวมทั้งอนุมัติค่างานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 2 วงเงิน 660.43 ล้านบาท

    ซึ่งเป็นการก่อสร้างขยายในส่วนพื้นที่ปฏิบัติงาน เช่น อาคารเปลี่ยนถ่ายและบรรจุสินค้า และลานกองเก็บตู้สินค้า เป็นต้น เพื่อรองรับเส้นทางรถไฟทางคู่สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 และค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจำนวนเงิน 34.22 ล้านบาท และวงเงินหลักประกันตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 200,000 บาท

    ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555 อนุมัติในหลักการให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นสถานีปรับเปลี่ยนการขนส่งระหว่างประเทศไปสู่ภายในประเทศ รวมถึงเชื่อมต่อระบบการขนส่งจากถนนไปสู่ทางรถไฟ   โดยเป็นศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ที่สามารถดำเนินพิธีการที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกได้ในจุดเดียว โดยตั้งอยู่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (ข้ามแม่น้ำโขง) แห่งที่ 4 ประชิดด่านพรมแดนเชียงของ จังหวัดเชียงรายฝั่งเหนือ  เนื้อที่รวมประมาณ 335 ไร่

    โดยแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ระยะ ซึ่งระยะที่ 1 ได้ดำเนินการเสร็จแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ซึ่ง จะเปิดให้บริการภายในเดือนพฤษภาคม 2564 โดยกรมการขนส่งทางบกจะเป็นผู้ดำเนินการไปก่อนในระหว่างรอการคัดเลือกเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพื่อเปิดให้บริการอย่าเต็มรูปแบบโดยภาคเอกชนในช่วงปี 2565  สำหรับการก่อสร้างระยะที่ 2  จะเริ่มดำเนินงานในปีงบประมาณ 2566  และเปิดให้บริการในปี 2568  เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ต่อไป

    มอบ “การบินไทย” จัดเหมาลำรับส่งผู้แสวงบุญประกอบพิธีฮัจย์

    นายอนุชา กล่าวต่อว่าที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสายการบินแห่งชาติเฉพาะภารกิจขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย ซึ่งกำหนดให้ต้องดำเนินการโดยสายการบินแห่งชาติ (National Carrier) ของประเทศไทย และราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียบฝ่ายละครึ่งหนึ่ง  โดยไม่อนุญาตให้สายการบินของประเทศอื่น นอกจากสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียดำเนินการขนส่ง เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากกรมการบินพลเรือนของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และให้ดำเนินการโดยรูปแบบเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) เท่านั้น

    แม้ว่าปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลงเหลือร้อยละ 47.86  ทำให้มีสถานภาพเป็นสายการบินของเอกชนเทียบเท่ากับสายการบินอื่น แต่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยังเป็นสายการบินเดียวที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ รวมทั้งที่ผ่านมา บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสายการบินเดียวที่ปฏิบัติภารกิจขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย รวมทั้งการกำหนดให้สายการบินใดเป็นสายการบินแห่งชาติ ยังเป็นเรื่องทางนโยบายของแต่ละประเทศด้วย

    โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายการการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์จำนวน 46,477,000 บาท ไว้แล้ว สำหรับในปีต่อๆ ไป กรมการปกครองจะจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป

    ทั้งนี้ กรมการปกครองได้เตรียมจัดทำโครงการสนับสนุนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดเที่ยวบินพิเศษขนส่งผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่เดินทางไป – กลับ ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส ประจำปี พ.ศ. 2565 โดยสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 46.48 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อขนส่งผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในส่วนที่เพิ่มเติมจากราคาบัตรโดยสารให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการจัดเที่ยวบินพิเศษสำหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากท่าอากาศยานนราธิวาสไปยังท่าอากาศยานของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย จำนวน 9 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 287 คน รวมทั้งสิ้น 2,583 คน ทั้งขาไปและขากลับ ระหว่างเดือนพฤษภาคม – เดือนกันยายน 2565

    เห็นชอบการเคหะ ฯต่อสัญญากู้ 500 ล้าน

    ผศ.ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ต่ออายุสัญญากู้เงินเบิกเกินบัญชีจากธนาคารออมสิน วงเงิน 500 ล้านบาท ออกไปอีกเป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2564 สิ้นสุดวันที่ 11 มีนาคม 2567 เพื่อเป็นวงเงินสำรองและเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย

    ผศ.ดร.รัชดา กล่าวต่อว่า กรณีที่ กคช. ขาดเงินทุนหมุนเวียนและมีความจำเป็นต้องใช้เงิน สามารถเบิกเงินเกินบัญชีมาใช้ในการดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งวงเงินดังกล่าวได้บรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2564

    เยียวยาชาวสวนลำไยเพิ่ม 160 ครัวเรือน

    ผศ.ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรเป้าหมายในโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จากจำนวน 202,013 ครัวเรือน เป็น 202,173 ครัวเรือน เพิ่มขึ้น 160 ครัวเรือน  ภายใต้กรอบวงเงินเดิมของโครงการ จำนวน 3,440 ล้านบาท โดยใช้หลักการเยียวยาไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ ขยายเวลาโครงการเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2564 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2564 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้ดำเนินการ

    ทั้งนี้ ครม. เคยมีมติเมื่อ 26 มกราคม 2564 ขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรในโครงการมาแล้วครั้งหนึ่ง จาก 200,000 ครัวเรือน เป็น 202,013 ครัวเรือน

    เคาะร่างกฎกระทรวงกำกับดูแลคลัง LNG

    ผศ.ดร.รัชดา กล่าวว่า  ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

    • กำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยภายนอกของคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยต้องตั้งอยู่ห่างจากเขตพระราชฐานไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร และตั้งอยู่ห่างจากเขตสถานพยาบาล สถานศึกษา ศาสนสถาน และโบราณสถาน ไม่น้อยกว่า 200 เมตร
    • กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการในการป้องกันและระงับอัคคีภัย โดยต้องมีระบบท่อน้ำดับเพลิง เครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง แหล่งน้ำหรือที่เก็บน้ำ เครื่องสูบน้ำดับเพลิงที่ใช้เครื่องยนต์ และระบบสัญญาณเตือนภัย
    • กรณีคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ไม่สามารถจัดให้มีที่จอดรถขนส่งก๊าซได้โดยสภาพ ให้ผู้ประกอบกิจการควบคุมยื่นขอรับการยกเว้นต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกำหนด
    • คลังก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ได้รับใบอนุญาตก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้บังคับใช้ หากมีการรื้อถอนและก่อสร้างถังเก็บและจ่ายก๊าซขึ้นใหม่ในตำแหน่งเดิม โดยมีขนาดและปริมาณการเก็บก๊าซไม่เกินกว่าที่เคยได้รับใบอนุญาตไว้ ให้ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องปฏิบัติตามส่วนที่ 2 ลักษณะและระยะปลอดภัยภายนอก และส่วนที่ 3 ลักษณะและระยะปลอดภัยภายใน ของหมวดที่ 2 เฉพาะที่เกี่ยวกับระยะปลอดภัย

    ทั้งนี้ กฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 180 วัน

    รฟม.แจงผลประกอบการปี 63 กำไรสุทธิ 1,819 ล้าน

    นางสาวไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครม. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)ในปีงบประมาณ 2563 โดยรฟม.มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 1,819.25 ล้านบาท มีรายได้ 14,876.97 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 13,057.72 ล้านบาท  สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ 99.99 จากเป้าหมายที่ ครม. กำหนดไว้ที่ร้อยละ  95

    นอกจากนี้ยังมีรายได้จากธุรกิจต่อเนื่องจากรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคลจำนวน 123.72 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย  2.69 ล้านบาท และสายฉลองรัชธรรม 27.51 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 2.33 ล้านบาท  ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 0.90

    โดยในอนาคตรฟม.มีแผนที่จะหารายได้จากธุรกิจต่อเนื่องเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ในแต่ละปี โดยในปี 2564 จะมีรายได้ประมาณ 169 ล้านบาท  และในปี  2564 และ 2565 จะมีผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 0.72 และ 0.90 ตามลำดับ

    ส่วนด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนมีผลการดำเนินการดังนี้คือ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแคและช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ได้เปิดให้บริการแล้ว ส่วนรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี(สุวินทวงศ์) ได้จัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสร็จแล้ว ส่วนงานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ 69.82 เร็วกว่าแผนร้อยละ 2.77  คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2567

    ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี  งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่โครงการแล้วเสร็จ  งานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้าร้อยละ 62.23 เร็วกว่าแผนร้อยละ 3.08  คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2565

    ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคามี 1 โครงการ คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ 19.20 เป็นไปตามแผน และงานศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯมีความก้าวหน้าร้อยละ 48.80 ซึ่งเป็นไปตามแผนเช่นกัน คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2570

    ผ่าน พ.ร.บ.งบฯปี 65 ชงสภาฯวาระแรก 26-27 พ.ค.นี้

    .
    น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ซึ่งก่อนเสนอรร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ ต่อ ครม. ในครั้งนี้ ได้ผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น ตามมาตรา 77 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 7 เมษายน 2564 และได้ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
    .
    หลังจากนี้สำนักงบประมาณจะจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อเสนอ ครม. พิจารณาเห็นชอบอีกครั้งในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
    .
    น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ตามปฏิทินงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร์จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในวาระที่ 1 ในวันที่ 26-27 พฤษภาคม 2564 วาระที่2-3 ในวันที่ 11-13 สิงหาคม 2564 และเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในวันที่ 23-24 สิงหาคม 2564 จากนั้นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ขึ้นทูลเกล้าฯ ในวันที่ 7 กันยายน 2564 ต่อไป
    .
    สำหรับวงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีวงเงินจำนวน 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 2564 ที่ 1.85 แสนล้านบาท หรือลดลง 5.66% โครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประกอบด้วย รายจ่ายประจำ 2.36 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 76.15% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายลงทุน 6.24 แสนล้าบาท คิดเป็นสัดส่วน 20.14% รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.22% รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย 2.49 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.81% และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 596.7 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.02%

    เก็บภาษีสลากสภากาชาดไทย 0.5%

    นางสาวไตรศุลี  กล่าวว่า ครม. เห็นชอบให้สภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทยประจำปี 2564 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้มอบให้สภากาชาดไทย เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย  โดยได้ดำเนินการในลักษณะนี้มาทุกปีตั้งแต่ปี 2551

    ไฟเขียวร่าง กม.ขออนุญาตประกอบกิจการยาง

    นางสาวไตรศุลี  กล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการยาง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการยาง เพื่อให้การควบคุมกำกับดูแลในเรื่องของการนำเข้าและส่งออกต้นยาง ดอก เมล็ด หรือตาของต้นยาง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นยางที่อาจใช้เพาะพันธุ์ได้ รวมถึงการขนย้ายยางเข้าหรือออกจากเขตควบคุมการขนย้ายยาง การขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้า การค้ายาง การตั้งโรงทำยาง การนำยางเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร และการเป็นผู้จัดให้มีการวิเคราะห์หรือทดสอบคุณภาพยาง มีการควบคุมดูแลสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

    เห็นชอบแผนป้องกันสาธารณภัยปี 63-65 วงเงิน 588 ล้าน

    นางสาวไตรศุลี  กล่าวว่า  ครม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข พ.ศ.2563 – 2565 เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบบูรณาการที่ครบวงจรและมีเอกภาพ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น  588.41 ล้านบาท โดยแหล่งเงินนั้นให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการจัดทำแผนงบประมาณที่สอดรับกับแผนปฏิบัติการดังกล่าวเพื่อเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแต่ละหน่วยงานต่อไป

    ทั้งนี้ได้กำหนดวิสัยทัศน์ตามแผนฯ ไว้คือ ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้รับบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีความมั่นใจในระบบบริการสาธารณสุขทุกระยะของการเกิดภัยอย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์คือ

    • ยุทธศาสตร์แรก ส่งเสริมการลดความเสี่ยงต่อสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน
    • ยุทธศาสตร์ที่ 2 บูรณาการระบบและให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัยอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
    • ยุทธศาสตร์ที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูด้านการแพทย์และการสาธารณสุขหลังเกิดสาธารณภัย โดยร่วมกับหน่วยงานภาคีในระดับปฏิบัติการพื้นที่พัฒนาระบบปฏิบัติการฟื้นฟูด้านการแพทย์และการสาธารณสุขให้สอดคล้องกับแนวทางการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ
    • ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาศักยภาพและกลไกการบริหารจัดการเชิงบูรณาการทางการแพทย์และการสาธารณสุขระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

    กองทุนยุติธรรมแจงผลงานปี 63 ใช้งบฯ 170 ล้าน ช่วย ปชช. 5,808 ราย

    นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบรายงานประจำปีงบประมาณปี 2563 กองทุนยุติธรรม โดยกระทรวงยุติธรรมรายงานว่า กองทุนยุติธรรมซึ่งตั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.2558 มีภารกิจในการเป็นแหล่งทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี การขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย การละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน  บริหารจัดการโดยสำนักงานกองทุนยุติธรรม

    ทั้งนี้ ในปี 2563 ที่ผ่านมาได้มีการใช้จ่ายในกิจการของกองทุนยุติธรรมไปทั้งสิ้น 170.47 ล้านบาท  ช่วยเหลือประชาชน 5,808 ราย แยกเป็น การใช้จ่ายช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี เช่น ค่าจ้างทนายความ ค่าฤชาธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายการพิสูจน์หลักฐาน  23.28 ล้านช่วยเหลือประชาชนดำเนินคดี 3,166 ราย แยกเป็นค่าจ้างทนายความ 17.49 ล้านบาท ค่าฤชาธรรมเนียมศาล 5.33 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เกี่ยวกับการดำเนินคดีเช่น การพิสูจน์หลักฐาน 328,434 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 120,722 บาท

    การขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย 101.21 ล้านบาท ช่วยเหลือประชาชน 2,440 ราย ซึ่งการช่วยเหลือได้พิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ขอรับความช่วยเหลือมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีบุคคลรับรอง มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์ว่าจะหลบหนี

    การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนรวม  44,510 บาท ช่วยเหลือประชาชน 52 ราย โดยช่วยเหลือเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

    การให้ความรู้ทางกฎหมาย 3.23 ล้านบาท โดยให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน 150 ราย เป็นให้ความรู้กฎหมายเบื้องต้นในชีวิตประจำวัน เช่น กฎหมายที่ดิน กฎหมายครอบครัว มรดก การเข้าใจถึงสิทธิของตนเองและผู้อื่น ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรม การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และลดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    นอกจากนี้ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารงานของกองทุน การศึกษาวิจัย และภารกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดกิจการของกองทุนรวม 42.69 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 กองทุนยุติธรรมมีทรัพย์สิน 895.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.44 ล้านบาท จาก 814.63 ล้านบาทในปีงบประมาณก่อนหน้า ส่วนหนี้สินอยู่ที่ 5.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65 ล้านบาท จาก -2.92 ล้านบาท ในปีงบประมาณก่อนหน้า

    อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 20 เมษายน 2564เพิ่มเติม