ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เผย ศบค. เคาะจัดงาน “สงกรานต์” สัปดาห์หน้า – มติ ครม. แก้ กม.คิดดอกเบี้ยผิดนัด 5% เฉพาะงวดที่ค้าง

นายกฯ เผย ศบค. เคาะจัดงาน “สงกรานต์” สัปดาห์หน้า – มติ ครม. แก้ กม.คิดดอกเบี้ยผิดนัด 5% เฉพาะงวดที่ค้าง

9 มีนาคม 2021


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

นายกฯ เผยที่ประชุม ศบค. เคาะจัดงาน “สงกรานต์” สัปดาห์หน้า-เผย พปชร.ส่งรายชื่อว่าที่ รมต. แล้ว – มติ ครม. แก้ กม. ลดดอกเบี้ยผิดนัดจาก 7.5% เหลือ 5% คิดเฉพาะงวดที่ติดค้าง–ขยายเวลายืนยันตัวตน “ม.33 เรารักกัน” ถึงสิ้น พ.ค. นี้

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

แนะเอาวัชพืชทำถ่านแทนการเผา ลด PM2.5

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงแนวทางแก้ปัญหาวิกฤติ PM2.5 ในภาคเหนือ ว่า วันนี้ได้รับคำชี้แจงจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า จุดความร้อนในประเทศไทยลดลงกว่าปีที่แล้วมากในช่วงเวลานี้ แต่อย่างไรก็ตามก็มีจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในจำนวนมากพอสมควรเนื่องจากอากาศที่ถ่ายเทถึงกัน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้แสวงหาความร่วมมือกับประเทศเพื่อบบ้านทั้งการให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาตรงนี้ไปกับเขา แต่ในส่วนของเราเองก็ยังคงต้องลดความร้อนให้ได้มากที่สุดไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาวัชพืชต่างๆ

“ผมได้ย้ำไปขอให้เอาวัชพืชที่จะต้องเผามาทำอย่างอื่นให้เกิดประโยชน์ เช่น ทำถ่านไว้ใช้ในหมู่บ้านในชุมชนต่างๆ เหล่านี้ หากวันหน้ามีความเข้มแข็งขึ้นก็จะกลายเป็นวิสาหกิจชุมชน อะไรที่แย่เราจะต้องรู้ว่ามันมาจากไหนจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ประเด็นสำคัญคือต้องร่วมมือกันทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม โรงงาน เกษตรกร วันนี้ก็ต้องแก้ปัญหาทุกระบบ ทั้งการจราจรรถควันดำต่างๆ หากเราไม่ช่วยกันแล้วจะช่วยได้อย่างไร ลงโทษกันก็ทำไม่ได้เพราะว่าไม่ร่วมมือกันมีการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะพอใจกัน แต่ทุกคนก็ต้องการให้มันดีที่สุดรัฐบาลก็รับฟังทุกความเห็นทุกปัญหา”

ชี้ “น้ำมันขึ้น” เป็นปัญหาทุกประเทศ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมีแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนอย่างไร ว่า ต้องไปดูว่าสถานการณ์น้ำมันโลกในวันนี้เป็นอย่างไร เรามีการเปิดเสรีในเรื่องของน้ำมัน ต้องไปดูน้ำมันต้นทุนวันนี้ความขัดแย้งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันต้นทุนหลายกลุ่ม มีปัญหาทั้งหมด ช่วงนี้ราคาต้นทุนสูงขึ้นแต่รัฐบาลก็ติดตามเรื่องนี้ต่อไปว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง

เผย ศบค. เคาะจัดงาน “สงกรานต์” สัปดาห์หน้า

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องการวางกรอบแนวทางในการจัดกิจกรรมช่วงสงกรานต์ ว่า วันนี้ได้มอบหมายให้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะเล็ก (ศบค. คณะเล็ก) ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงต่างๆ แล้วและจะนำเข้าที่ประชุมในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะได้ข้อสรุปออกมาว่าจะดำเนินการอย่างไรในช่วงสงกรานต์

“ก็ขอให้ทุกคนได้สบายใจว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจในเรื่องนี้ ผมได้มอบหมายภารกิจนี้ไปหลายสัปดาห์มาแล้วให้ช่วยกันคิดคิดล่วงหน้าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นจะทำอย่างไร สถานการณ์ไม่ดีขึ้นจะทำอย่างไร ก็เตรียมไว้ทั้ง 2 มาตรการแต่วันนี้ก็ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า หากประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ ทั้งการใส่หน้ากาก การเว้นระยะห่าง ก็จะทำให้สามารถจัดงานได้ แต่จะจัดอย่างไรจัดงานประเภทไหนได้บ้างที่ไม่มีผลกระทบมากนักในเรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อ อาจจะมีความสนุกน้อยลงแต่เราก็คงไประงับทั้งหมดไม่ได้อยู่แล้ว

“ข้อสำคัญก็คือการเตรียมมาตรการในเรื่องของการท่องเที่ยวไว้ให้ด้วย เพราะมีวันหยุดหลายวัน ซึ่งอาการเหล่านี้จะต้องมาก่อนล่วงหน้าให้ทุกคนมีเวลาในการเตรียมการแผนการท่องเที่ยวการจองโรงแรมต่างๆ เหล่านี้ต้องแก้ไขทั้งระบบ รอสักนิดนึงน่าจะอาทิตย์หน้าจะเรียบร้อย”

ชี้ปม “บ้านบางกลอย” ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการแก้ปัญหาชาวบ้านบางกลอย อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ว่า ในบ่ายวันนี้ก็จะมีการประชุมเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้มีการชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่าพื้นที่ต้นน้ำพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เขาจะขอกลับเข้าไปอยู่นั้นมีคำสั่งของศาลออกมาแล้ว ทางรัฐบาลได้หาพื้นที่ที่ทดแทนให้แล้วก็มีคนจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิม 97 คน วันนี้ขึ้นมากว่า 1,000 คนจะทำอย่างไร ก็ต้องหามาตรการการแก้ไข

“วันนี้ทั้ง 3 พื้นที่รัฐบาลดูแลอย่างดี ถือว่าดีกว่าในบางพื้นที่ด้วยซ้ำไป ดีกว่าภาคอีสานอีกและในการที่จะมาขอพื้นที่กันคนละ 15 ไร่และจะขอเพิ่มอีกสำหรับปลูกพืชหมุนเวียน มันเป็นไปได้หรือไม่ลองไปฟังตรงนี้ดูแล้วกัน รัฐบาลให้ความสนใจทุกเรื่องและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นมาแล้ว ต้องฟังข้อเท็จจริงบ้างแล้วเราจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร ถ้าเราถามว่ายังมีคนที่ไม่มีที่ทำกินอีกเยอะไหมยังมีอีกเยอะ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอากันแก้ปัญหาในเชิงบูรณาการให้ได้ไม่ว่าจะที่อยู่อาศัยที่ทำการเกษตรอะไรก็แล้วแต่ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนกันหมด”

ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามตัวบทกฎหมาย ส่วนที่มีความเป็นห่วงว่าจะมีความรุนแรงกับประชาชนนั้น ขอยืนยันว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ช่วงที่ผ่านมาเป็นการดำเนินการตามหมายของศาลและดำเนินการด้วยความละมุนละม่อม ใช้ความถ้อยทีถ้อยอาศัยอย่างถึงที่สุด และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกคนมีกล้องขนาดเล็กติดตัวทุกคน รวมกว่า 40 ตัว

“ดังนั้นขั้นตอนเชิญประชาชนออกนอกพื้นที่ หรือลำเลียงของลงมามีการบันทึกภาพวีดีโอ บันทึกเสียงไว้ตลอด ส่วนที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนนั้นไม่เป็นความจริง หากใครมีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่คนใดใช้ความรุนแรงกับประชาชนขอให้ส่งข้อมูลมาที่กระทรวง ผมจะดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รายนั้นๆ เนื่องจากนายกฯ รวมถึงผมมีนโยบายให้ใช้วิธีถ้อยทีถ้อยอาศัยจะต้องไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น” นายวราวุธ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากประชาชนลงจากพื้นที่บางกลอยกลาง ตนยืนยันในเรื่องของการเจรจามาแก้ไขปัญหา ทั้งประเด็นเรื่องที่ทำกินและระบบสาธารณูปโภค โดยในปัจจุบันมีพื้นที่สำหรับการทำการเกษตรและที่อยู่อาศัยจำนวน 700 กว่าไร่ โดยส่วนราชการหลายหน่วยงานได้เข้าไปพัฒนา หลายพื้นที่ในบ้านบางกลอยสามารถทำการเกษตรได้แล้ว แต่ยังมีหลายพื้นที่ที่น้ำยังเข้าไปไม่ถึง จึงทำให้ประชาชนบางกลุ่มยังไม่ได้การเยียวยาและพัฒนาเท่าที่ควร ปัจจุบันกระทรวงและหลายหน่วยงานจะเข้าไปแก้ปัญหาในพื้นที่เพื่อให้ทำการเกษตรได้ นายกฯ ได้ย้ำว่าความเดือดร้อนของประชาชนจะต้องได้รับการแก้ไข จะต้องมีที่อยู่ที่ทำกิน มีระบบสาธารณูปโภค แต่ขณะเดียวกัน ทรัพยากรธรรมชาติจะต้องได้รับการอนุรักษ์ไว้เช่นกัน

“ส่วนที่มีการระบุว่ากระทรวงไม่ทำตามสัญญาที่จะจัดหาพื้นที่ให้ประชาชนนั้น ยืนยันเราไม่ได้ทำผิดสัญญาเลย วันที่ตกลงกันตนสั่งให้เจ้าหน้าที่ถอยออกมา และขอว่าในช่วงเจรจาขอให้ชาวบ้านออกมาและหยุดการบุกรุกป่า แต่ปรากฏว่ามีการบุกรุกและเผาป่าอย่างชัดเจน จึงเป็นที่มาที่เราขอให้ทุกคนทำตามกฎหมาย เพราะเคยมีคำพิพากษาศาลปกคอองสูงสุดว่าในพื้นที่ ‘ใจแผ่นดิน’ ไม่อนุญาตให้บุคคลใดเข้าไปทำประโยชน์ ยืนยันเราทำภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ได้ทำผิดสัญญาใดๆ ส่วนที่มีบุคคลบางกลุ่มแตกประเด็นไปเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน แต่เป็นเรื่องประชาชนไม่พอใจเรื่องที่ทำกิน ส่วนกรณีที่มีบางพรรคการเมืองระบุจะพาเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติเข้าพื้นที่นั้น กระทรวงยินดีเป็นอย่างยิ่ง จะได้ประหยัดงบประมาณด้วย เราจะได้ไม่ต้องออกเอง” นายวราวุธกล่าว

ย้ำ “ประกันตัวผู้ชุมนุม” ขึ้นอยู่กับดุลพินิจศาล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องความรุนแรงและการชุมนุมทางการเมืองที่มีการยกระดับและเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกจับกุม โดยตั้งคำถามย้อนกลับว่า แล้วถ้าเราเป็นรัฐบาล เป็นศาล ถามว่าทำได้หรือไม่ ท่านต้องนึกถึงคดีความอื่นๆ เขาด้วยอย่างนี้จะทำให้กฎหมายเสียหายไปทั้งหมด เมื่อทำความผิดก็ต้องดูตัวเองต้องไปต่อสู้คดีให้ได้ ก็คุ้มครองสิทธิตรงนี้ให้เมื่อเข้าสู่กระบวนการของคดีแล้วมันจะทำอะไรได้ สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าทำให้ตัวเองไปทำผิดกฎหมายเท่านั้นเอง

“ไม่ได้ไปห้ามการชุมนุม แต่ถ้าชุมนุมแล้วมีความรุนแรงเกิดขึ้น ถ้าศาลเห็นว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ก็เป็นเรื่องของศาลที่ตัดสินออกมา จะให้ประกันหรือไม่ให้ประกันก็เป็นเรื่องของศาลอีก ผมไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงเขาตรงนี้ ผมไม่ได้ต้องการจะใช้กฎหมายไปทำร้ายใคร กฎหมายเป็นของทุกคน เป็นของสังคมของประชาชนโดยรวมไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะละเว้นกฎหมายได้”

ต่อคำถามถึงเรื่องการจับกุมมือประกอบระเบิด พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่ายินดีที่จับได้ แต่ไม่ควรจะมีคำถามว่าเป็นการจัดฉากของภาครัฐหรือเปล่า ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เคยมีนโยบายให้ไปทำเรื่องเหล่านี้และเขาก็คงไม่กล้าทำ ทำไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วว่าใครทำ เขารับสารภาพมาแล้ว แล้วอย่างนี้เจ้าหน้าที่จะไปทำได้อย่างไร อย่าสร้างความเข้าใจแบบนี้ไม่ดี

เตรียมฉีดวัคซีน พร้อม ครม. 12 มี.ค. นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องการรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ว่า ตนกับรัฐมนตรีบางส่วนจะเข้ารับการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในวันที่ 12 มีนาคม 2564 นี้ ซึ่งเป็นเรื่องของทางกระทรวงสาธารณสุขเสนอมา

ต่อคำถามถึงกรณีที่โรงพยาบาลเอกชนต้องการนำเข้าวัคซีน รัฐบาลจะปลดล็อกได้เมื่อไรนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องนี้ตนพูดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งวันนี้ได้ให้ทางองค์การอาหารและยา (อย.) เรียกผู้ที่ประกอบการ สมาคมเกี่ยวกับแพทย์ เกี่ยวกับโรงพยาบาลเอกชนเข้าพบว่าเขามีแผนในการจัดหาของเขาอย่างไร หากจะหาได้ตนก็ไม่มีเหตุที่จะกีดกัน

“วันนี้ช่วงนี้ก็ยังเป็นเรื่องของการอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (emergency use) อยู่ และข้อสำคัญคือเจ้าของวัคซีนเขาต้องการขายแบบจีทูจีต้องไปแก้ตรงไหนว่าจะทำอย่างไร จองไปเขาก็ไม่ให้แต่ถ้าจองได้ผมก็ยินดี แต่ต้องระมัดระวังควบคุมในเรื่องของการฉีดระยะต่อไป ผมคิดว่าดีเสียอีกหากมีวัคซีนเพิ่มขึ้นคนที่มีขีดความสามารถที่จะฉีดกับโรงพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายที่สูงก็เป็นทางเลือกที่เขาสามารถทำได้ ผมจะไปปิดกั้นเขาทำไม”

ส่วนเรื่องของพาสปอร์ตโควิดฯ ก็ต้องรอมาตรฐานกลางออกมา เพราะต้องเชื่อมต่อทั้งต้นทางและปลายทาง ซึ่งวันนี้รัฐบาลก็ได้เตรียมการไว้ในขั้นต้นแล้ว โดยผู้ที่มาจากแหล่งเสี่ยงต่างๆ ก็ต้องกำหนดแตกต่างกัน บางคนเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย ข้อสำคัญคือแหล่งท่องเที่ยวของเราจะทำอย่างไรและนักท่องเที่ยวมาจากไหน

เผย พปชร. ส่งรายชื่อว่าที่ รมต. แล้ว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องการปรับ ครม. ว่า วันนี้ทางพรรคพลังประชารัฐเขาส่งชื่อมาแล้วอยู่ที่ตนแต่ยังยังไม่ได้ดู ทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการที่เตรียมการไว้แล้ว ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้ส่ง คาดว่าจะส่งวันนี้แต่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าตนก็ไม่ทราบ

ไม่เลื่อน TCAS64 แนะ นร. ขยันอ่านหนังสือ เชื่อไม่ยาก

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีนักเรียนขอให้เลื่อนสอบ TCAS64 ออกไปเพื่อเตรียมตัวเพิ่มประมาณ 1 เดือน เนื่องจากผลกระทบโควิดฯ แต่สถาบันสดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ยืนยันไม่สามารถเลื่อนได้ว่า ตรงนี้กระทรวงศึกษาธิการก็ไปพิจารณาดำเนินการอยู่ ใครที่ถือว่าไม่พร้อมก็มีการจัดสวนติวให้ขอให้ไปดู

อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจในระดับของกระทรวงศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เสียงส่วนใหญ่เขาว่าอย่างไรเสียงส่วนน้อยก็รับฟังไว้แล้วจะแก้ปัญหาให้ส่วนน้อยตรงนั้นได้อย่างไร

“ข้อสำคัญคือถึงจะปิดโรงเรียนหากทุกคนอ่านหนังสือผมคิดว่าน่าจะทำได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปโรงเรียนถ้าทุกคนขนขวายก็น่าจะได้พอสมควร ข้อสอบก็คงไม่ยากเกินไปนะถ้ามีความสนใจ แต่ก็ยอมรับว่ามันอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง ถ้าฟังเสียงส่วนน้อยแล้วทำให้ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ก็คงจะไปยาก ปัญหาอยู่ตรงไหนก็ไปแก้ตรงนั้น”

ชูจีนเป็นต้นแบบปฏิรูปประเทศ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ ครม. ได้รับทราบเราควรเดินหน้าประเทศไปอย่างไรในอนาคต อย่างความสามารถทางเศรษฐกิจที่จะต้องเร่งรัดขับเคลื่อนในปี 2564 เราต้องดูโครงสร้างของจีดีพีและค่าใช้จ่ายในปี 2563 เช่น การส่งออกสินค้าบริการ สัดส่วน 51% ลงทุนภาคเอกชน 18% ลงทุนภาครัฐ 6% กลุ่มเป้าหมายและเป้าหมายของไทยคือ เราต้องมีเหตุผลในการเลือกอุตสาหกรรมใหม่ที่มีผลต่อเศรษฐกิจสูงสุด เป็นแนวโน้มอุตสาหกรรมยุคใหม่ของโลก ซึ่งเรายังขาดแชมเปียน ต้องหามาให้ได้ เราต้องทำที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปตลาดโลก ส่งเสริมตลาดออกไป เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีทางการแพทย์ และการดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งก็มีรายงานว่าประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนที่มีการพัฒนาเรื่อง 5G ได้เร็วที่สุด

“นี่คือทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ผมก็พูดคุยกับฝ่ายเศรษฐกิจมาโดยตลอดโดยได้หาตัวอย่างมา ซึ่งพบว่าประเทศจีนมีการประกาศแผนระยะกลางและระยะยาวในเรื่องของการปฏิรูป และการพัฒนาระบบการศึกษาแห่งชาติซึ่งหลายอย่างเราทำอยู่แล้ว โดยได้นำแจกให้ ครม. ทุกคนไปช่วยกัน อย่างเรื่อง BCG ที่เราขับเคลื่อนประเทศ ฉะนั้นถ้าเราคิดร่วมกันไปได้หมด สิ่งสำคัญคืออย่าขัดแย้งมากนักเลย ความขัดแย้งไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่เกิดประโยชน์อะไรสักอย่าง แต่ผมก็ไปห้ามไม่ได้”

ซึ่งวันนี้จากสถานการณ์การประเมินทางเศรษฐกิจวันนี้หลายๆ ธุรกิจเริ่มดีขึ้น มีทั้งดีขึ้น ทรงๆ และชะลอตัวช้าลงมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรการทางเศรษฐกิจ วัคซีนโควิด-19 ที่เราเริ่มฉีดทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องการอนุมัติแผนงานโครงการซึ่งรัฐบาลกระจายอำนาจตรงนี้ไปแล้วโดยให้จัดทำโครงการขึ้นมาจากข้างล่าง ซึ่งต้องผ่านกลไกท้องถิ่น ทั้ง อบจ., อบต. สามารถเสนอโครงการขึ้นมาได้เพื่อขออนุมัติจากรัฐบาล แต่ตัองทำแผนให้ละเอียดและชัดเจน มีการทำประขาพิจารณ์ ไม่ใช่เขียนโครงการเป็นกระดาษ 1-2 แผ่น แล้วเสนอขึ้นมาทำได้เลย มันทำไม่ได้ มันอนุมัติไม่ได้ เพราะไม่ผ่านหลักเกณฑ์ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ให้ กลไกลการทำโครงการจะต้องไปปรับปรุงข้างล่าง จะได้ไม่มีการทุจริตและนำได้จริง ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้ทั้งหมด

ฟุ้งสายด่วน 1111 แก้ปัญหาร้องเรียนแล้ว 118,918 เรื่อง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ขอบคุณประชาชนที่ได้แจ้งข้อมูลมาทางสายด่วน 1111 ของรัฐบาล ได้เห็นปัญหาทุกอย่างและได้ให้ทางสำนักนายกรัฐมนตรีส่งกลับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรายงานการแจ้งเบาะแสการลักลอบเข้าเมือง บ่อนการพนัน ฯลฯ ระหว่างวันที่ 7 มกราคมถึง 8 มีนาคม 2564 ประมาณ 2 เดือนกว่ามี 119,294 เรื่อง รัฐบาลได้แก้ปัญหาไปแล้ว 118,918 เรื่อง รอผลการพิจารณาอีก 376 เรื่อง นี่คือรัฐบาล นี่คือนายกฯ นี่คือกระทรวงหน่วยงานเขาทำงานกันแบบนี้ปัญหาอะไรที่ยังแก้ไขไม่ได้ก็ต้องรอว่ามันติดขัดด้วยอะไร

ส่วนเรื่องทั่วไปในภาพรวมมีการร้องในเรื่องสังคมสวัสดิการ การเมืองการปกครองเรื่องเศรษฐกิจ ร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐ เรื่องของกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ทั้งหมด 42,551 เรื่อง แก้ไขจนได้ข้อยุติไปแล้ว 38,516 เรื่อง คิดเป็น 90.52% รอผลอีก 4,000 เรื่อง นี่คือการทำงานในรูปแบบใหม่ของเรารับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยทั่วไปขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ

มติ ครม. มีดังนี้

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

นายกฯ แจกรางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2020

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการรางวัลเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Digital Award 2020) และรับชมการนำเสนออาชีพใหม่ของคนรุ่นใหม่ (Gen Z) หัวใจดิจิทัล สาธิตการขายของ ออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเกียรติยศ Prime Minister’s Digital Awards 2020 เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2563 ประกอบไปด้วย รางวัล Digital Youth of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, รางวัล Digital Community of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ สหกรณ์โคนมพัทลุง จังหวัดพัทลุง, รางวัล Digital Entrepreneur of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ นายรวิศ หาญอุตสาหะ, รางวัล Digital Startup of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ บริษัท โกลบิชอคาเดเมีย (ไทยแลนด์) จำกัด, รางวัล Digital Organization of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ สำนักข่าว The Standard และ รางวัล PM’s Special Award : Digital International Corporation of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด นายกรัฐมนตรียังให้ความสนใจการไลฟ์ขายสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนรุ่นใหม่ (Gen Z) หัวใจดิจิทัล บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลส่งเสริมแพลตฟอร์มไทยเพื่อคนไทยด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ พร้อมชื่นชมคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ต่อยอด สร้างธุรกิจใหม่ๆ ถือเป็นการเรียนรู้และก้าวหน้าไปด้วยกัน ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบ 5G และ AI ขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต หวังให้ความสำเร็จในวันนี้เป็นแรงบันดาลใจ เชื่อมต่อไปยังนิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างอนาคตใหม่ๆ ให้กับประเทศด้วย ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจทั้งทางเศรษฐกิจ และพัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์

บูรณาการ 12 กระทรวง ดูแลกลุ่มเปราะบาง 5 ปี

นายอนุชากล่าวว่า ก่อนเริ่มประชุม ครม. นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวดำเนินงานต่างๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็จะมีเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ “ทีมประเทศไทย” บูรณาการ 12 กระทรวง ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งในเชิงรุก และเชิงลึก เพื่อให้กลุ่มเปราะบางได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ และมีการจัดทำบันทึกข้อตกลง 12 กระทรวง ร่วมมือกันสนับสนุนข้อมูลกลุ่มเปราะบาง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลเป็นรายครัวเรือน เพื่อนำมาวางแผนการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาระบบให้คนกลุ่มนี้ได้เข้าถึงระบบสวัสดิการของรัฐ โดยเชื่อมโยงการทำงานระดับพื้นที่ด้วยกลไกสหวิชาชีพร่วมกับ “อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” หรือที่เรียกว่า “อพม.” โดย อพม. 1 คน จะติดตามให้ความช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบาง 10 ครอบครัวอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่ลงนามในบันทึกข้อตกลง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้พูดถึงประเด็นที่จะมีการพิจารณากันในที่ประชุม ศบค. วันที่ 19 มีนาคม 2564 ก็จะมีเรื่องความคืบหน้าในการกระจายและฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตามสถานพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ รวมไปถึงการเรื่อง “วัคซีนพาสปอร์ต” ในเบื้องต้นจะต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานของ WHO ก่อนที่จะนำมาใช้ในการรับรองการเดินทางในอนาคต รวมไปถึงการพิจารณาเรื่องระยะเวลาในการกักตัวด้วย

ตั้ง 8 อนุกรรมฯ ขับเคลื่อน CPTPP

นายอนุชากล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบการดำเนินการจัดทำกรอบการทำงาน เพื่อติดตามการจัดทำแผนงานการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุม และก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ของสภาผู้แทนราษฎร โดยหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องรวมทั้งภาคส่วนต่างๆ เช่น ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง CPTPP รายประเด็น จำนวน 8 คณะ ได้แก่

    1. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านเกษตรและพันธุ์พืช มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน
    2. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
    3. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้าน การค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน
    4. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้าน การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ และเอกชนกับรัฐ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน
    5. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้าน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน
    6. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้าน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและรัฐวิสาหกิจ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน
    7. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้าน แรงงาน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน
    8. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้าน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน

ทั้ง 8 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ จะเร่งจัดทำกรอบการทำงาน เพื่อติดตามการจัดทำแผนงาน การดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ รวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความพร้อมหรือความไม่พร้อมและเงื่อนไขในการขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP ของไทยเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในช่วงกลางเดือนเมษายน 2564

นายกฯเร่งทำ “บัญชีดำ” จ่ายสินบน จนท.-ห้ามรับงานหลวง

นายอนุชา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบการแต่งตั้ง 6 คณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบในภาครัฐ ได้แก่

    1. คณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ เพื่อจัดทำแนวทาง มาตรการ เสริมสร้าง และประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วน ในการป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งส่งเสริมและขับเคลื่อนธรรมาภิบาลทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน
    2. คณะอนุกรรมการสนับสนุนและติดตามการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับต่างๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย (CPI)
    3. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ บูรณาการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและไม่เป็นธรรมให้ประชาชนโดยเร็ว เช่น ติดตามเร่งรัดการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา (บอส) คดีการเรียกรับเงินกรณีการทำบัตรประจำตัวของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (บัตรหมายเลข 0)
    4. คณะอนุกรรมการเสริมสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมผลิตเนื้อหาและปรับปรุงสื่อประชาสัมพันธ์เดิมเพื่อเสริมสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและอันตรายของการทุจริต ปลูกฝังค่านิยมสุจริต สร้างบุคคลต้นแบบ ส่งเสริมและเสริมสร้างให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมในการป้องกันเฝ้าระวังการทุจริตและร่วมสร้างกลไกป้องกันการทุจริต
    5. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ส่งเสริม และสนับสนุนการปฏิบัติราชการของ ศปท. ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและขับเคลื่อนการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
    6. คณะอนุกรรมการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและความโปร่งใสของรัฐวิสาหกิจ จะกำหนดแนวทางและขับเคลื่อนการดำเนินงานเรื่องการป้องกันและต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทำระบบอิเล็กทรอนิกส์ รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่เกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบเป็นการเฉพาะ โดยตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2563 – 18 มกราคม 2564 รับเรื่องร้องเรียนจำนวน 297 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 110 เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 187 เรื่อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบการกระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่จำนวน 400 ราย ดำเนินการเสร็จแล้ว 300 ราย ที่เหลือ 100 รายอยู่ระหว่างดำเนินการ

“นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรมโดย ให้รัฐและเอกชนร่วมกันกำหนดบัญชีดำ (Black List) ให้ชัดเจน ห้ามทำธุรกรรมกับภาครัฐ สำหรับบริษัทห้างร้าน นิติบุคคล ที่มีสินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและสนับสนุนการทุจริตในภาครัฐ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เป็นผลงานให้สังคมทราบ” นายอนุชา กล่าว

รับทราบผลประเมินคุณธรรม-ความโปร่งใสภาครัฐ

นายอนุชา กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีมติรับทราบผลการประเมิน ITA ของไทย ปี 2563 มีคะแนนเฉลี่ยภาพรวมประเทศอยู่ที่ 67.90 คะแนน สูงกว่าปีที่ผ่านมา 1.15 คะแนน จำนวนหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านค่าเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 1,095 หน่วยงานหรือร้อยละ 13.19

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รายงานถึงตัวชี้วัดที่ฉุดรั้งให้ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในภาพรวมระดับประเทศ คือ การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ยังไม่ครบถ้วน ซึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ 6 ข้อเร่งด่วน เพื่อยกระดับการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะและการป้องกันการทุจริตอย่าง ประกอบด้วย 1) เร่งให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาการเปิดเผยข้อมูลและบริการสาธารณะผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลและบริการผ่านระบบสารสนเทศ 2) กำหนดตัวชี้วัดการกำกับดูแลการประเมิน ITA ของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ 3) สนับสนุนการออกแบบโครงสร้างของเว็บไซต์และส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งานเว็บไซต์ (user interface) ที่เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและบริการสาธารณะผ่านระบบสารสนเทศที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน 4) สร้างแรงจูงใจเชิงบวกในการพัฒนาและยกระดับการเปิดเผยข้อมูลและบริการภาครัฐผ่านระบบสารสนเทศ 5) สนับสนุนงบประมาณในการผลิตสื่อออนไลน์หรือรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาในการเสริมสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ขององค์กรหรือประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากระบบสารสนเทศในการเปิดเผยข้อมูลและให้บริการประชาชน และ 6) กำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐและการให้บริการสาธารณะผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงาน

อนึ่ง หน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการประเมิน ITA ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีจำนวน 8,303 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และองค์กรอิสระ มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลถึง 1,301,665 ราย เพิ่มขึ้นมากกว่าปีงบประมาณที่ผ่านมาร้อยละ 29.36 สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการตื่นตัวต่อประเด็นการต่อต้านการทุจริตมากยิ่งขึ้น และกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงานและการให้บริการภาครัฐเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

ขยายเวลายืนยันตัวตน “ม.33เรารักกัน” ถึงสิ้น พ.ค.นี้

นายอนุชา กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. ก็มีมติเห็นชอบ โครงการการใช้จ่ายเงินกู้ ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้นำเสนอ เรื่องแรก การปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ “ม.33เรารักกัน” ซึ่งจากเดิมกำหนดให้มีการตรวจสอบสถานะผู้ที่ได้รับสิทธิในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เปิดใช้งาน และ “ยืนยันตัวตน” เพื่อเข้าใช้งานในแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 15-21 มีนาคม 2564 และจะได้รับวงเงินผ่านแอปฯ เป๋าตัง 1000 บาทต่อสัปดาห์ ในวันที่ 22 มีนาคม, 29 มีนาคม, 5 เมษายน, 12 เมษายน 2564 ซึ่งหากไม่กดใช้งาน และยืนยันตัวตนในเวลาดังกล่าว ก็จะถือเป็นการสละสิทธิ

ตรงนี้จะมีการแก้ไขใหม่เป็นช่วงๆ ดังนี้ คือ ผู้ที่ได้รับสิทธิเปิดใช้งาน และกด “ยืนยันตัวตน” เพื่อเข้าใช้งานแอปฯ เป๋าตัง ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2564 ได้เลย

กลุ่มแรก หากกดใช้งานและยืนยันตัวตน ระหว่างวันที่ 15-21 มีนาคม 2564 ก็จะได้รับวงเงินเข้า 1,000 บาทต่อสัปดาห์ ในทุกๆ วันจันทร์ ของทุกสัปดาห์เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยจะได้รับวงเงินครั้งแรกวันที่ 22 มีนาคม 2564 จากนั้นจะได้รับเงินในครั้งถัดไป ในวันที่ 29 มีนาคม, 5 เมษายน, 12 เมษายน 2564

กลุ่มที่ 2 หากกดใช้งานและยืนยันตัวตน ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 11 เมษายน 2564 ก็จะได้รับวงเงินสะสมนับตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2564 จนถึงวันที่กดใช้งาน และจะได้รับวงเงินสัปดาห์ละ 1,000 บาท ทุกวันจันทร์ของทุกสัปดาห์ต่อเนื่องจนครบ 4,000 บาท

กลุ่มสุดท้าย หากกดใช้งาน และยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์ระหว่างวันที่ 12 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่กดใช้งานครั้งเดียวจำนวน 4,000 บาท

ทั้งหมดนี้ก็จะแบ่งเป็น 3 ช่วงขึ้นอยู่กับผู้ที่กดใช้งาน และกดยืนยันตัวตน จากเดิมกำหนดให้กดใช้งานและยืนยันตัวตนระหว่าง 15 – 21 มีนาคม 2564 เท่านั้น ในส่วนที่มีการแก้ไขในวันนี้ ก็จะสามารถกดยืนยันได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ส่วนเงินที่จะโอนเข้ามาก็จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามที่กล่าวข้างตน

อีกประเด็นที่มีการแก้ไข คือ จากเดิมกำหนดให้มีการ “ตรวจสอบสถานะ” ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงที่เปิดใช้งานและกด “ยืนยันตัวตน” ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ระหว่างวันที่ 5-11 เมษายน 2564 และได้รับวงเงินในโครงการฯ ผ่านแอปฯ จำนวน 2 ครั้ง ครั้งละ 2,000 บาท ต่อเนื่องกัน ในวันที่ 12 และ 19 เมษายน 2564 ซึ่งหากไม่กดใช้งานและไม่ยืนยันตัวตนในช่วงเวลาดังกล่าวจะถือว่าสละสิทธิทันที สำหรับส่วนที่มีการแก้ไขให้เพิ่มเติม คือให้มีการขยายเวลา “ตรวจสอบสถานะ” จากเดิมสิ้นสุดในนที่ 11 เมษายน 2564 แต่ให้ไปสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 เช่นเดียวกัน

โดยหากกดใช้งานและยืนยันตัวตน เพื่อรับสิทธิระหว่างวันที่ 5-11 เมษายน 2564 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่ 12 เมษายน 2564 จำนวน 4,000 บาท เต็มจำนวน

หรือ หากกดใช้งานและยืนยันตัวตน เพื่อรับสิทธิระหว่างวันที่ 12 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564 จะได้รับวงเงินสะสม “ในวันที่กดใช้งานทันที” จำนวน 4,000 บาท

บี้ 141 โครงการ เบิกเงินกู้ช้า สิ้น เม.ย.นี้ไม่ทำสัญญา ยกเลิก!

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้มีมติอนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ประกอบด้วย

    1. โครงการพัฒนาระบบสื่อสารสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขระดับกระทรวง และระดับเขตสุขภาพเป็น Smart EOC เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) กรอบวงเงิน 89.91ล้านบาท เพื่อสร้างระบบส่งสาร สั่งการหน่วยงานเครือข่ายให้มีเสถียรภาพ และใช้ทรัพยากรเทคโนโลยีด้านสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อความสะดวกในการติดต่อประสานงาน
    2.โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด 19 จำนวน 20 โครงการ กรอบวงเงิน 665.09 ล้านบาท อาทิ โครงการพัฒนาและยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อรองรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในอนาคต และการเปลี่ยนผ่านสู่หลังการแพร่ระบาด (New Normal) ของกรมการแพทย์ วงเงิน 83.10 ล้านบาท โครงการเพิ่มศักยภาพการรักษาผู้ป่วยโคโรนาไวรัส COVID-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วงเงิน 51.00 ล้านบาท โครงการปรับปรุงหอผู้ป่วยวิกฤติ ICU NEGATIVE PRESSURE COVID-19 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วงเงิน 121.60 ล้านบาท เป็นต้น
    3.โครงการ ฯ ด้านวิจัย จำนวน 3 โครงการ กรอบวงเงิน 44.58 ล้าน ได้แก่ โครงการการขยายผลจากเทคโนโลยีผลิตน้ำยาสกัด RNA เพื่อการตรวจโรค COVID-19 โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และโครงการแบตเตอรี่สำหรับ PAPR และแบตเตอรี่ทดแทนสำหรับอุปกรณ์การแพทย์เคลื่อนที่ โครงการการผลิตชั้นกรองหน้ากาก N95 โดยอาศัยสมบัติทริโบอิเล็กทริกของเส้นใยนาโนธรรมชาติและนาโนซิลเวอร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

สำหรับหลักเกณฑ์ที่ใช้วิเคราะห์และกลั่นกรองโครงการฯ เงินกู้ ต้องเกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน และรักษาโรคโควิด 19 มีความพร้อมในการดำเนินการ และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งงบประมาณอื่นได้นอกเหนือจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ

“นอกจากนี้ ครม. ยังรับทราบผลการดำเนินงานของโครงการใช้จ่ายเงินกู้ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว แต่ปรากฏว่ามีหน่วยงานเจ้าของโครงการมีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่า 10% ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งสิ้น 141 โครงการ จากทั้งหมด 209 โครงการ ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้แจ้งให้ที่ประชุม ครม. รับทราบว่าได้แจ้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการโครงการโดยเร็ว หากหน่วยงานใดไม่สามารถลงนามผูกพันสัญญาในกิจกรรม หรือ โครงการที่ต้องยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง หรือ ไม่มีแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างชัดเจนภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 ให้ยุติการดำเนินโครงการ และรายงานเงินกู้ที่เหลือจ่ายต่อสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ พร้อมทั้งส่งคืนเงินกู้ที่เหลือจ่ายตามขั้นตอนด้วย” นายอนุชา กล่าว

สั่ง ททท.ทำแผนป้องกันทุจริต “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส3

นายอนุชา กล่าวว่าส่วนโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” วันนี้ที่ประชุม ครม. ยังไม่ได้มีมติเห็นชอบให้มีการขยายสิทธิเพิ่มเติม เนื่องจากได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อความรัดกุมจึงให้ไปการกำหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมและแนวทางแก้ปัญหา และให้เสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในลักษณะของโครงการเดิม หรือ จะออกแบบเป็นรูปแบบใหม่ ครม. ได้มอบหมายให้ไปศึกษาในรายละเอียดและให้นำเสนอ ครม. อีกครั้ง

แก้ ปพพ.ลดดอกเบี้ยผิดนัดเหลือ 5% คิดเฉพาะงวดที่ค้าง

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

  1. อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อน หรือ ไม่ได้มีกฎหมายกำหนด ปรับลดจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 3 ต่อปี และทบทวนทุก 3 ปี
  2. อัตราดอกเบี้ยผิดนัด ปรับลดจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงนี้ เป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ร้อยละ 3 ต่อปี บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี
  3. กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัดได้ เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น จากเดิมที่มาตรา 224/1 ไม่ได้กำหนดไว้ ส่งผลให้เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมด

เพิ่มวงเงินประกันรายได้ชาวนา 3.8 พันล้าน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 3,838 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่ ครม. อนุมัติเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 จำนวน 46,807 ล้านบาท รวมงบประมาณโครงการทั้งสิ้น 50,646.27 ล้านบาท

นอกจากนี้ ครม. ยังได้อนุมัติเพิ่มวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 จำนวน 4,504 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่ ครม. อนุมัติเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 19,826 ล้านบาท รวมงบประมาณโครงการทั้งสิ้น 24,331 ล้านบาท

อนุมัติ MOU ขายข้าวให้อินโด ฯปีละ 1 ล้านตัน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการค้าข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อต่ออายุ MOU การค้าข้าวฉบับเดิมที่หมดอายุไปเมื่อปี 2559 ตามที่รัฐบาลอินโดนีเซียเสนอความต้องการสำรองข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ

ผศ. ดร.รัชดา  กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมากรมการค้าระหว่างประเทศได้ทำสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐวิสาหกิจ Perum Bulog ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ภายใต้ MOU ฉบับเดิม ที่สิ้นสุดไปแล้วเมื่อ พ.ศ.2559 รวมทั้งสิ้น 4 สัญญา มีปริมาณข้าวรวม 925,000 ตัน

สาระสำคัญของ MOU ฉบับใหม่กำหนดข้อตกลงให้กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวขาวไทยร้อยละ 15 – 25 ให้แก่กระทรวงการค้าอินโดนีเซียในปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี ส่วนกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย มอบหมายให้รัฐวิสหกิจ Perum Bulog เป็นผู้ดำเนินการ และมีผลบังคับใช้ 4 ปีนับแต่วันที่ลงนาม

เปิดเส้นทางการบินให้อินเดียเพิ่มอีก 3 จุด

นางสาวไตรศุลี  ไตรสรณกุล  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการฑูตระหว่างประเทศไทยและอินเดีย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเส้นทางการบินเพิ่ม 3 จุด ได้แก่ กระบี่ สมุย และอู่ตะเภา จากเดิม 3 จุด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่และภูเก็ต รวมทั้งสิ้น 6 จุด พร้อมทั้งปรับหลักเกณฑ์ความจุที่นั่ง จากเดิม 26,354 ที่ต่อสัปดาห์ เป็นมากกว่า 32,000 ที่นั่งต่อสัปดาห์

จัดงบกลาง 1.3 พันล้าน ฟื้นฟูน้ำท่วมภาคใต้ 5 จังหวัด

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,372.41 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ คือ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส พัทลุง และสุราษฎร์ธานี

นางสาวไตรศุลี กล่าวต่อว่า งบประมาณที่ได้รับแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ งานซ่อมแซม 40 รายการ วงเงิน 985.32 ล้านบาท และงานบูรณะทางหลวงชนบทและโครงสร้างพื้นฐานของกรมทางหลวงชนบท 49 รายการ วงเงิน 387.09 ล้านบาท

ผ่าน กม.ลูก กำหนดมาตรฐานบรรจุภัณฑ์วัตถุอันตราย

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อ การจัดเก็บ การจัดแยก การจัดทำและแสดงเครื่องหมาย การจัดให้มีเอกสารที่จำเป็นและการขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

  1. กำหนดบทนิยามความหมายของสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
  2. กำหนดหลักเกณฑ์คุณภาพ มาตรฐานภาชนะและวิธีการบรรจุสิ่งของ การจัดทำเครื่องหมายภาชนะที่ใช้บรรจุสิ่งของ การจัดเก็บและการจัดแยกสิ่งของ การบรรทุกการขนส่งและการขนถ่ายสิ่งของ และเอกสารกำกับการขนส่ง
  3. กำหนดหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติของเจ้าของหรือผู้ครอบครองท่าเทียบเรือที่ใช้บรรทุกหรือขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ และหน้าที่นายเรือหรือผู้ควบคุมเรือ
  4. กำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่าเป็นผู้ประกาศกำหนดรายละเอียดวิธีการและคู่มือเพื่อปฏิบัติตามกฎกระทรวง

ตั้ง “วิศิษฎ์ ตั้งนภากร” นั่ง ปธ.บอร์ด รพ.บ้านแพ้ว

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติแต่งตั้งข้าราชการหลายตำแหน่ง ดังนี้

  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางปฐมพร ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) (ด้านเวชกรรม) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการระดับสูง) สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563
  • กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายวิศิษฎ์ ตั้งนภากร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว แทนประธานกรรมการเดิมที่มีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2564

นอกจากนี้ ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน 5 คน ดังนี้

    1 นายพีรพันธ์ คอทอง

    2 นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ

    3 นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล

    4 พลตำรวจตรี วิวัฒน์ ชัยสังฆะ

    5 นายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 9 มีนาคม 2564เพิ่มเติม