ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 30 ม.ค. – 5 ก.พ. 2564
ทหารเมียนมายึดอำนาจ คุมตัวซูจี
วันที่ 1 ก.พ. 2564 หลังจากยอมส่งมอบอำนาจให้รัฐบาลพลเรือนมา 10 ปี กองทัพเมียนมาก็รัฐประหารกลับมายึดอำนาจอีกครั้ง โดยส่งมอบอำนาจให้พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนาน 1 ปี และควบคุมตัวสมาชิกพรรคพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy — NLD) หลายคน รวมทั้งอองซานซูจีผู้เป็นหัวหน้าพรรค
การรัฐประหารครั้งนี้ในเมียนมา เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่ดำเนินมาระยะหนึ่ง เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเมียนมาโต้แย้งผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 ที่พรรค NLD ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้ง และนั่นเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่กองทัพประกาศว่าเป็นสาเหตุหนึ่งในการยึดอำนาจครั้งนี้
พลเอก มินต์ ส่วย รองประธานาธิบดีในขณะที่มีการยึดอำนาจ ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี 1 ปี เคยกล่าวไว้เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 ว่า “คณะกรรมการการเลือกตั้งล้มเหลวในการจัดการกับความผิดปกติของบัญชีรายชื่อผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปที่มีหลายพรรคการเมืองเข้าร่วม” ซึ่งนั่นแทบไม่ต่างอะไรกับการกล่าวหาที่โดนัลด์ ทรัมป์ มีต่อการเลือกตั้งที่ตนเองปราชัยในสหรัฐอเมริกา คือไม่มีหลักฐานใดมาสนับสนุน
ข่าวลือเรื่องรัฐประหารเริ่มหนาหูตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. ของปี พ.ศ. 2564 โดยโฆษกกองทัพเมียนไม่ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้ายึดอำนาจเพื่อจัดการกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “วิกติทางการเมือง” อีกทั้งพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ก็มีการกล่าวด้วยว่า “คงจำเป็นต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ หากคนไม่ปฏิบัติตาม”
สหรัฐอเมริกาได้ออกมาแสดงความกังวลถึงการรัฐประหารครั้งนี้ โดยมีการระบุว่า “สหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยต่อความพยายามที่จะเปลี่ยนผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาและการขัดขวางการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยของพม่า และจะดำเนินการต่อผู้ที่รับผิดชอบหากยังไม่หยุดการกระทำดังกล่าว” (แถลงการณ์ใช้คำว่า Burma ซึ่งคือพม่า ไม่ใช่เมียนมา)
อ่านเพิ่มเติม
เว็บไซต์ไทยพับลิก้า — กองทัพเมียนมาคุมอำนาจ ประกาศฉุกเฉิน คุม “อองซานซูจี” พร้อมผู้นำอีกหลายคน
เว็บไซไทยพับลิก้า — กองทัพเมียนมา ตั้ง “พลเอก มินต์ ส่วย” รักษาการประธานาธิบดี ปกครองใต้ภาวะฉุกเฉิน 1 ปี
เว็บไซต์บีบีซีไทย — รัฐประหารเมียนมา: ทำไมต้องทำตอนนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
แก้หวยเกินราคา “ประชาชนแจ้งเบาะแส-เจ้าหน้าที่จับกุม” ได้เงินรางวัล
พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงการแก้ไขปัญหาสลาก หรือลอตเตอรี่เกินราคา ดังนี้
- กำหนดสัดส่วนการจัดสรรเงินส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายรายย่อยมีรายได้จากการจำหน่ายสลากมากขึ้น เป็น 12% จากเดิมส่วนลดร้อยละ 7% ถือยังเป็นแรงจูงใจให้ร่วมขายสลากในราคา 80 บาท
- เปิดให้ประชาชนแจ้งเบาะแส หากพบขายสลากฯ เกินราคา ผู้นำแจ้งจับจะได้รับเงินรางวัลคดีละ 1,000 บาท
- เจ้าหน้าที่จับกุมได้รับเงินรางวัลคดีละเท่ากับจำนวนเงินที่เปรียบเทียบปรับ แต่ไม่เกิน 2,000 บาทต่อคดี
- แก้ไขพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งฯ 2517 เพิ่มโทษการขายเกินราคา จากเดิมปรับไม่เกิน 2,000 บาท เป็นปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- จัดให้มีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการจำหน่ายสลากทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ตรวจราคาขาย การรวมสลากชุด เพื่อยกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่าย
- มาตรการแก้ไขในระยะยาว มีการแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ เปิดให้สามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ ขณะนี้กำหนดกรอบดำเนินการโครงการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบดิจิทัล
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2559-2563 กองสลากได้ยกเลิกตัวแทนขายรายย่อย ประเภทบุคคล 8,318 ราย ส่วนกลาง 2,909 ราย ส่วนภูมิภาค 3,814 ราย คนพิการ 1,595 ราย ยกเลิกสมาชิกของสมาคม-องค์กร 8,131 ราย ยกเลิกการเป็นผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากฯ 5,464 ราย รวม 21,913 ราย
อ่านเพิ่มเติม
เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ — กองสลาก เอาจริง แก้ปัญหาขายหวยเกินราคา ยกเลิกตัวแทนแล้วเกือบ 30,000 ราย
เว็บไซไทยพับลิก้า — วงจรอุบาทว์…สลากเกินราคา! ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน ทำไมสำนักงานสลากฯ แก้ไม่ได้
เว็บไซไทยพับลิก้า — เจาะกระบวนการรวมชุดสลาก ขายเกินราคา “คนขายจริงไม่ได้โควตา”
เว็บไซไทยพับลิก้า — ขายสลากเกินราคา ใครได้ – ใครเสีย?
นายกฯเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 “เงื่อนไขเดียว” — เงินฝากไม่เกิน 5 แสน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือแรงงานผู้ประกันตนมาตรา 33 ภายใต้โครงการ “ม.33 เรารักกัน” ซึ่งมีอยู่ประมาณ 11 ล้านกว่าคน
ทั้งนี้ จำนวนเงินที่จะเยียวยายังอยู่ระหว่างหารือ แต่เงื่อนไขที่จะทำให้ไม่ได้รับสิทธินั้นให้มีเงื่อนไขเดียว คือ มีเงินฝากเกิน 5 แสนบาท
ส่วนในประเด็นเงินเดือนต่อปีรวม 3 แสนบาทจะไม่ได้รับการเยียวยานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ถ้านำประเด็นนี้มาจับคนที่ทำงานที่เดียวกันบางคนได้รับแต่บางคนอาจไม่ได้ จึงอาจมีปัญหา และไม่เกิดความสามัคคีในที่ทำงาน จึงไม่นำมาพิจารณา
อ่านเพิ่มเติม
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ — ไฟเขียว! เยียวยา ‘ประกันสังคม มาตรา33’ เรารักกัน เงื่อนไขเงินฝากไม่เกิน 5 แสน
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยัน “เงินบำนาญพิเศษ-เบี้ยผู้สูงอายุ” รับทั้งคู่ได้ เตรียมแก้ระเบียบ มท.
จากกรณีที่มีกรณีผู้สูงอายุหลายรายต้องเดือดร้อน จากการถูกเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เนื่องจากพบว่าได้รับเงินบำนาญพิเศษจากกรณีต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว (เงินบำนาญพิเศษ คือ เงินพิเศษที่รัฐมีเจตนารมณ์ให้กับข้าราชการที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง จนตนเองได้รับอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ พิการ หรือเสียชีวิต นอกเหนือจากเงินบำเหน็จบำนาญตามระบบปกติที่ได้รับ และหากเสียชีวิตก็จะตกทอดบุคคลในครอบครัว) ซึ่งหลายกรณีถูกเรียกคืนรวมแล้วหลายปีคิดเป็นเงินเฉียดแสนและไม่มีจ่ายนั้น
ล่าสุด พล.อ. วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะประธานการประชุมร่วมระหว่างผู้แทนกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เปิดเผยผลการประชุมว่า มีข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2552 ให้คนที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วย โดยให้ดำเนินการภายใน 120 วัน และกำหนดบทเฉพาะกาลให้ผู้ที่รับเงินไปแล้ว ถือเป็นการได้โดยสุจริต โดยนำคำพิพากษาศาลฎีกาหมายเลขคดีที่ 10850 มาเทียบเคียง ถือว่าเป็นลาภที่ไม่ควรได้ ก็ไม่ต้องไปเรียกเงินคืนจากบุคคลนั้นๆ
“ส่วนบุคคลที่นำเงินมาคืนภาครัฐแล้ว ก็ถือว่าได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะมาคืน ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เดือดร้อน หรือเป็นผู้มีรายได้น้อย จึงไม่ขอรับเงินก้อนนี้ แต่ทั้งนี้ เมื่อมีการแก้ไขระเบียบแล้ว หากบุคคลใดที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษอยู่แล้วเห็นว่า ตนเองมีสิทธิที่จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุด้วย ก็สามารถไปยื่นแสดงความจำนงได้” พล.อ. วิทวัส กล่าว
อ่านเพิ่มเติม
เว็บไซต์ไทยรัฐ — ผู้ตรวจฯ เสนอ แก้ระเบียบ คนรับเงินบำนาญพิเศษ ได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วย
เว็บไซต์ไทยรัฐ — ถามหามนุษยธรรมภาครัฐ หยุดเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
โปรดเกล้าฯ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ’ เป็น พลเอกหญิง
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ เรื่อง ให้รับโอนข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร และ พระราชทานยศทหาร โดยว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้รับโอนข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหารและพระราชทานพระยศทหาร
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ประกอบมาตรา 4 และ มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ.2560 มาตรา 10 มาตรา 13 มาตรา 14 มาตรา 15 และ มาตรา 18 แห่งพ.ร.ก.จัดระเบียนราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ.2560 มาตรา 4 และ มาตรา 5 แหง พ.ร.บ.ยศทหาร พ.ศ. 2479
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลโทหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการภาค 2 สำนักงานอัยการสูงสุด ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาธิการกองบัญชาการ ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอก) และพระราชทานพระยศเป็น พลเอกหญิง
อ่านเพิ่มเติม
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา — ประกาศ เรื่อง ให้รับโอนข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร และพระราชทานพระยศทหาร
ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้อง
