ศาลฎีกายืน “ยกฟ้อง” ตามศาลอุทธรณ์ ชี้ “ชาญชัย” ไม่ใช่ผู้เสียหาย-ไม่มีอำนาจฟ้อง บอร์ด ทอท.คดีทวงเงิน 1.4 หมื่นล้าน ส่งคืนคลัง
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขที่ 3889/2563 ระหว่างนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายประสงค์ พูนธเนศ อดีตประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 18 คน ในข้อกล่าวหา ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่เรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ครบถ้วน ตามสัญญาบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งกำหนดให้เก็บ 15% ของรายได้จากการขายสินค้าและบริการ แต่เก็บแค่ 3% ทำให้ ทอท.ขาดรายได้ จึงขอให้ศาลฯ ลงโทษผู้กระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ 2502 , พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2535 , พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด 2535 , และขอนำเงินที่ยังจ่ายไม่ครบ 14,290 ล้านบาท ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้น (ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง) ได้วินิจฉัยว่านายชาญชัย ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่มีอำนาจฟ้องคดี จึงพิพากษา “ยกฟ้อง” นายชาญชัยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ผลปรากฎว่าศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง พิพากษา “ยืน” ตามศาลชั้นต้น คือ “ยกฟ้อง” นายชาญชัยจึงยื่นฎีกาต่อ ดังนั้น ในการพิจารณาคดีนี้มีประเด็นที่ศาลฎีกาต้องพิจารณา คือ นายชาญชัย ในฐานะโจทก์ เป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้อง หรือไม่
หลังจากศาลฎีกาได้พิจารณาสถานะของโจทย์ (นายชาญชัย) ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทั้ง 3 ฉบับตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ศาลฎีกา มีความเห็นว่า “ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำฟ้องของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกา จึงพิพากษายืน”
ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้อง
