ThaiPublica > Sustainability > Sustainable Business > “นวัตปะการัง” เทคโนโลยี 3D Printing ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล สร้างระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

“นวัตปะการัง” เทคโนโลยี 3D Printing ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล สร้างระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

18 พฤศจิกายน 2020


รู้จัก “นวัตปะการัง” นวัตกรรมปะการังเทียมรูปแบบใหม่ จากเทคโนโลยี 3D Printing โดย SCG ต้นทุนเฉลี่ย 15,000 บาทต่อชิ้น ทดแทนปะการังเทียม ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในเวลาเพียง 1-2 ปี เตรียมต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมประมงและการท่องเที่ยว

ปัญหาใต้ท้องทะเลอย่างปะการังนับเป็นหนึ่งในวิกฤติสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับผลกระทบหลักจากธรรมชาติและผลกระทบรองจากการท่องเที่ยว ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศท้องทะเลไทยขาดความอุดมสมบูรณ์ในหลายจุด

แม้จะมีการพัฒนา ‘ปะการังเทียม’ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยเทคโนโลยีที่ผ่านมาไม่ใช่การฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน เนื่องจากยังมีจุดบอดด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วัสดุที่ไม่คงทน ถูกพัดไปกับกระแสน้ำ จมลงในทราย ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้เวลาเข้ากับธรรมชาตินานถึงเกือบ 10 ปี

ปัญหาข้างต้นทำให้ “เอสซีจี” ร่วมมือกับคณะสัตว์แพทยศาสตร์ จุฬาฯ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แก้วิกฤติปะการังโดยนำเทคโนโลยี 3D Printing พัฒนาปะการังเทียมในชื่อ “นวัตปะการัง” ผ่านการศึกษาและมาแล้วว่าสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ฟื้นฟูธรรมชาติได้จริง และมีคุณสมบัติที่ดีกว่าปะการังแบบเก่าๆ

บทบาทความร่วมมือในการพัฒนา “นวัตปะการัง” ของ 3 หน่วยงาน แบ่งออกเป็น

  • คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้พัฒนาต้นแบบปะการัง ทำการศึกษาและพัฒนาในทางวิชาการ
  • เอสซีจี โดยธุรกิจ Cement and Construction Solution พัฒนาชิ้นงานจริงด้วยเทคโนโลยี 3D Printing และดำเนินการเรื่องค่าใช้จ่าย
  • กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำนวัตปะการังไปลงพื้นที่จริง และเป็นต้นแบบการพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังจากที่ทดลองแล้วประสบความสำเร็จ
(ซ้าย) นายเฉลิมวุฒิ สงวนญาติ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย Mortar Technology หน่วยงาน Research and Innovation Center ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี, (กลาง) รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, (ขวา) นายอุกกฤต สตภูมินทร์ ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นายเฉลิมวุฒิ สงวนญาติ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย Mortar Technology หน่วยงาน Research and Innovation Center ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า เทคโนโลยี 3D Printing ของเอสซีจีได้พัฒนาขึ้นโดยมีส่วนเพื่อพัฒนามิติสังคมและสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มต่างๆ โดยจะร่วมกับลูกค้าในการ Co-Design ในการขึ้นรูปทรงต่างๆ

แต่นอกจากศักยภาพการใช้เทคโนโลยีแล้ว นวัตปะการังยังสะท้อนถึงการร่วมมือในการทำธุรกิจเพื่อสังคม

นายเฉลิมวุฒิ เสริมว่า นวัตปะการังหนึ่งชิ้นจะใช้เวลาพิมพ์ประมาณ 6 รูป มูลค่าประมาณ 15,000 บาทต่อชิ้น สามารถปรับแต่งรูปแบบ และลักษณะทางโครงสร้าง รวมทั้งความซับซ้อนของช่องว่าง แสง และเงาให้เข้ากับสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่การติดตั้ง มีน้ำหนักเบาทำให้ขนย้ายได้ง่าย ถอดประกอบได้เป็นการลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายทางการขนส่ง และแรงงานในการติดตั้ง ที่สำคัญเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อยู่ใต้น้ำได้นานหลายสิบปี

รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงแนวคิดของนวัตปะการังว่า คณะฯ ต้องการอนุรักษ์ธรรมชาติโดยหาสิ่งที่จะมาทดแทนปะการังเทียม แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่ความยากในการพัฒนาปะการังเทียมคือต้องไม่ถูกพัดพาไปกับกระแสน้ำและไม่จบไปกับผืนทราย เนื่องจากสิ่งที่กำลังจะเข้าไปคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

“เราอยากจะสร้างสิ่งที่ทดแทนธรรมชาติให้คล้ายคลึงมากที่สุด ‘นวัตปะการัง’ เลยเป็นที่เพาะพันธุ์ปะการังที่ต่อยอดมาจากธรรมชาติที่หักไป เป็นหลุมเป็นที่ฝังปะการังไปให้โตเร็วขึ้นด้วย ทั้งการออกแบบที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต เกิดการสร้างปะการังใหม่และระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ต้องสามารถมาใช้ชีวิตเสมือนว่าเป็นปะการังจริงๆ”

อย่างไรก็ตาม นวัตปะการังยังแก้ปัญหานักดำน้ำหน้าใหม่เตะปะการังได้อีกด้วย เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวสัมผัสหรือเตะจะไม่ทำให้นวัตปะการังเสียหาย

รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวอีกว่า นวัตปะการังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและเก็บข้อมูล โดยเริ่มทดลองวางใต้ท้องทะเลในช่วงเดือนสิงหาคม จนกระทั่ง 4 เดือนถัดมาในพื้นที่ต่างๆ เช่น หมู่เกาะสีชัง เกาะขาม เกาะล้าน เกาะยอ ฯลฯ เริ่มมีสิ่งมีชีวิตเข้ามาอาศัย ทั้งปลานกแก้ว ดอกไม้ทะเล รวมไปถึงปลาการ์ตูน

นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังยังเป็นแหล่งเกาะตัวของปะการัง ทำให้เกิดการรวมตัวกันมากขึ้นของความหลากหลายทางชีวภาพ

ขณะที่ตัวแทนจากภาครัฐ นำโดยนายอุกกฤต สตภูมินทร์ ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลว่า จากความร่วมมือของนวัตปะการังจะช่วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยตรงหากมีการจัดพื้นที่และส่งเสริมการท่องเที่ยวในการดำน้ำชมปะการังที่มีความสวยงามเสมือนจริง สร้างอาชีพใหม่ให้แก่ชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวได้ และสร้างประโยชน์ให้กับคนในชุมชนที่ประกอบอาชีพประมงที่ได้มีการพึ่งพาปะการังหรือปะการังเทียม เนื่องจากบริเวณดังกล่าวสามารถทำการประมงได้ในปริมาณที่มาก ส่งผลให้เกิดรายได้ในชุมชน

“ปะการังเทียมสมัยก่อนเป็นฐานซีเมนต์ เทคนิคคือใช้การก่อสร้างปกติ รูปแบบที่จะทำได้เป็นสี่เหลี่ยมหรือรูปโดม ถือเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีปกติ แต่ ‘นวัตปะการัง’ มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้โครงสร้างพื้นผิวมีความซับซ้อน มีร่มเงามีซอกหลืบให้ปลาว่ายน้ำได้ ซึ่ง 3D Printing ตอบโจทย์โครงสร้างนี้ และเป็นสิ่งพิสูจน์ว่านวัตกรรมมีส่วนสำคัญ” ผ.อ.กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กล่าว

‘นวัตปะการัง’ ยังสามารถพัฒนาไปในด้านระบบนิเวศทางทะเลแบบ ‘สวนสาธารณะปะการัง’ (Coral Park) กล่าวคือเป็นศูนย์ข้อมูลด้านปะการังในรูปแบบ Smart Station โดยติดกล้องและเครื่องวัดแสง-อุณหภูมิ ทั้งยังสามารถต่อยอดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาสำหรับผู้บริโภค ช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตอาหารทะเลเพราะสามารถควบคุมระบบนิเวศเองได้

ผ.อ.กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กล่าวต่อว่า “เมื่อเราเอานวัตปะการังลงไปแล้วต้องมีการติดตามผลงานความสำเร็จ ถ้าพิสูจน์ว่าสำเร็จแล้วก็จะมีการขยายผล”

“ความร่วมมือทั้ง 3 ฝ่ายจะช่วยให้เกิดการบริหารจัดการภาครัฐรูปแบบใหม่ เพราะหน่วยงานราชการทำอะไรทุกอย่างไม่ค่อยได้ ดังนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานทำได้เร็วขึ้น” ผ.อ.กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กล่าว

ทั้งนี้ นวัตปะการังได้รับรางวัลชนะเลิศนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2563 ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ ประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย