ThaiPublica > Sustainability > Social Change/Project > เอสซีจี จับมือเครือข่าย ชู “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล ชุมชนมีน้ำกิน-ใช้ รายได้เพิ่ม อาชีพมั่นคง

เอสซีจี จับมือเครือข่าย ชู “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล ชุมชนมีน้ำกิน-ใช้ รายได้เพิ่ม อาชีพมั่นคง

16 มีนาคม 2021


เอสซีจี จับมือเครือข่าย ชู “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล หลังพิสูจน์แล้ว ชุมชนมีน้ำกิน-ใช้ รายได้เพิ่ม อาชีพมั่นคง ชวนขยายเครือข่ายทั่วไทยให้รอดแล้งซ้ำซาก แก้จน

ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมซ้ำซากเป็นประจำทุกปี สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนสะสมน้อยที่สุดในรอบ 40 ปี โดยในช่วงที่ผ่านมา พื้นที่ภาคกลางประสบภาวะน้ำเค็มหนุน กระทบต่อน้ำบริโภคและคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะที่พื้นที่ทำการเกษตร ต้องเผชิญวิกฤติภัยแล้งอย่างหนัก กระทบต่อผลผลิตและเกษตรกรขาดแคลนรายได้ ทั้งยังจะนำไปสู่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ

เอสซีจี โดยความร่วมมือของมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้น้อมนำการบริหารจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาตลอดระยะกว่า 10 ปี และถอดความสำเร็จจากโครงการบริหารจัดการน้ำที่เอสซีจีทำมากว่า 10 ปี ตั้งแต่การสร้างฝายชะลอน้ำกว่า 100,000 ฝาย การทำสระพวง แก้มลิง ซึ่งในปี 2563 ได้ต่อยอดเป็น โครงการ “เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชน รอดภัยแล้ง” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ในโอกาสเอสซีจีครบรอบ 108 ปี และโครงการ “พลังชุมชน” ส่งเสริมวิสาหกิจสร้างรายได้ให้ชุมชน ออกมาเป็นบทเรียนความสำเร็จการบริหารจัดการน้ำชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและความยากจนภายใต้โมเดล “เลิกแล้ง เลิกจน”

วันที่ 15 มีนาคม 2564 เอสซีจี ร่วมมือมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ สสน. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หอการค้าแห่งประเทศไทย แถลงข่าวเปิดตัว “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล ที่ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน เอาชนะปัญหาภัยแล้ง และความยากจน ได้แก่ 1. รู้รักสามัคคี พึ่งพาตนเอง 2. เรียนรู้จัดการน้ำ ด้วยเทคโนโลยี 3. หาน้ำได้ เก็บน้ำไว้ ใช้น้ำเป็น 4. ทำเกษตรผสมผสาน บริหารความเสี่ยง 5. เข้าใจตลาด เข้าใจลูกค้า 6. เศรษฐกิจเพิ่มคุณค่า ชุมชนพัฒนาอย่างยั่งยืน

เอสซีจีพร้อมขยายเครือข่ายพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเร่งแก้ปัญหาภัยแล้งที่กำลังทวีความรุนแรง และความยากจนให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย ด้วยการขยายผล “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล สู่ชุมชนทั่วประเทศต่อไป ในปี 2563 โครงการ “เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชน รอดภัยแล้ง” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ในโอกาสเอสซีจีครบรอบ 108 ปี ได้ดำเนินการแล้ว 57 ชุมชน

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานคณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานคณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า “ความยากจนคือ ปัญหาสำคัญของสังคมไทย ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาแล้งซ้ำซาก หนทางที่ชุมชนจะเลิกแล้ง เลิกจนได้อย่างยั่งยืน คนในชุมชนต้องร่วมกันแก้ปัญหาด้วยตนเอง ด้วยการใช้ความรู้ ใช้เครื่องมือสารสนเทศ เพื่อจัดการแหล่งน้ำ รวมถึงคนในชุมชน มีส่วนร่วม สามัคคี และส่งเสริมให้เกิดคุณธรรม ด้วยการแบ่งปันการใช้น้ำอย่างเป็นธรรม

จากปัญหาภัยแล้งในปีนี้ที่มีสัญญาณรุนแรงขึ้น ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้ามาร่วมมือสนับสนุนชุมชน ให้รอดจากภัยแล้ง ความยากจน ด้วยการใช้ “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล ซึ่งถอดบทเรียนจากความ สำเร็จของการจัดการน้ำชุมชนที่เอสซีจี และเครือข่ายได้ดำเนินมากว่า 10 ปี และโครงการ “เอสซีจี ร้อยใจ 108 ชุมชน รอดภัยแล้ง” ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส เอสซีจี ครบรอบ 108 ปี ซึ่งเป็นไปตามหลักการทรงงานที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเป็นแนวทางการทรงงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานดังกล่าวสืบต่อไป”

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “ตัวอย่างความสำเร็จของชุมชนที่สามารถเลิกแล้ง เลิกจน และมีรายได้ตลอดทั้งปี จนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สมดุล มั่นคง ล้วนเกิดจากประชาชนลุกขึ้นมาพึ่งพาตนเอง ด้วยการน้อมนำแนวพระราชดำริการบริหารจัดการน้ำ อย่างเข้มแข็ง เหมาะสมกับพื้นที่ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละชุมชน

อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาน้ำของประเทศไทย เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการน้ำที่ถูกต้อง และต้องร่วมกันผลักดันขยายผล “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล เพื่อให้ชุมชนไม่ประสบปัญหาภัยแล้ง และมีรายได้ที่มั่นคงเป็นชุมชนที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง”

“ในส่วนของมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯปัจจุบันมี 60 ชุมชนคิดเป็น 1,773 หมู่บ้าน แก้ไขปัญหาเรื่องน้ำตามแนวพระราชดำริได้สำเร็จ และมีพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นยอดได้ 24 แห่ง ปัญหาลำบากยุ่งยากแน่ แต่เราเห็นคนที่ทำสำเร็จแล้ว และพิสูจน์แล้ว ฉะนั้นอย่ารีรอ แล้วเราจะเลิกแล้ง เลิกจน”

ดร.รอยล จิตดอน ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)

ในปี 2564 วิกฤติภัยแล้งจะรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนในพื้นที่นอกเขตชลประทาน ที่มีจำนวนมากถึงร้อยละ 80 ของประเทศ ดร.รอยล จิตดอน ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) กล่าวว่า “ปัจจุบันปริมาณน้ำในเขื่อน มีน้ำไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนการเกษตรในช่วงฤดูแล้งปี 2564 มีชุมชนที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำที่อยู่ในขั้นวิกฤติกว่า 30,000 ชุมชน ในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน ดังนั้น การพึ่งพาน้ำในเขื่อนเพียงอย่างเดียวคงทำให้รอดพ้นภัยแล้งได้ยาก เกษตรกรจึงต้องร่วมมือกันซ่อมบำรุงแหล่งน้ำ หันมาเก็บกักน้ำ และบริหารน้ำในพื้นที่ตัวเอง ใช้น้ำหมุนเวียน และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ปลูกพืชหลากหลายลดพืชเชิงเดี่ยว เพื่อให้เพียงพอ และมีรายได้ที่ยั่งยืน”

“ปีนี้ผมยืนยันว่าแล้งแน่นอน วิกฤติแน่ จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดความแปรปรวนของฝน สภาพอากาศปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปี 2539 โดยฝนเริ่มจะเริ่มน้อยทิ้งช่วงในเดือนกรกฎาคม จะตกอีกครั้งในเดือนกันยายน จะบริหารช่วงของฝนตกอย่างเดียวไม่ได้ บริหารแล้งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการบริหารความเสี่ยงไปพร้อมกัน

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจีกล่าวว่า “ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เอสซีจีร่วมกับเครือข่ายแก้ปัญหาภัยแล้ง สืบสาน รักษา ต่อยอดตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเริ่มจากการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อฟื้นฟู และอนุรักษ์ป่าต้นน้ำให้อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสร้างไปแล้วกว่า 100,000 ฝาย ใน 30 จังหวัด การทำสระพวง แก้มลิง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการน้ำชุมชน เกี่ยวข้องกับการส่งน้ำ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร และ ต่อยอดสู่โครงการเอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชนรอดภัยแล้ง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ทำให้สามารถพลิกชีวิตความเป็นอยู่ให้กับ 250 ชุมชน 47,500 ครัวเรือน ใน 30 จังหวัด มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า” รวมถึงต่อยอดโครงการ “พลังชุมชน” อบรมความรู้ คู่คุณธรรม ให้สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม เรียนรู้การตลาด การค้าขาย สร้างรายได้เพิ่มขึ้น

ความสำเร็จเหล่านี้ เป็นบทพิสูจน์ว่า ชุมชนสามารถแก้ปัญหาภัยแล้ง และความยากจนได้ จึงนำมาสู่ บทสรุป “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. สามัคคี พึ่งตนเอง เรียนรู้ ลงมือทำ แก้ปัญหาด้วยความรู้คู่คุณธรรม
2. เรียนรู้จัดการน้ำ ด้วยเทคโนโลยี เรียนรู้การจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ เข้าใจสภาพพื้นที่ รู้ความต้องการใช้น้ำของตนเองและชุมชน และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำแผนที่น้ำ ผังน้ำ วางแผนบริหารสมดุลน้ำ
3. หาน้ำได้ เก็บน้ำไว้ ใช้น้ำเป็น สร้างแหล่งกักเก็บน้ำ สำรองน้ำกิน น้ำใช้ และน้ำเกษตร
ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ของชุมชน ใช้น้ำซ้ำให้คุ้มค่าด้วยระบบน้ำหมุนเวียน ฟื้นฟูป่าต้นน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุน
4. ทำเกษตรผสมผสาน บริหารความเสี่ยง โดยปลูกพืชเพื่อกิน เพื่อใช้ เพื่อขาย สร้างรายได้ตลอดทั้งปี ตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำเกษตรอัจฉริยะ ใช้เทคโนโลยี วางแผนเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และภูมิอากาศ เช่น ปลูกพืชใช้น้ำน้อยในพื้นที่แล้ง
5. เข้าใจตลาด ตรงใจลูกค้า ปลูกพืชที่เป็นความต้องการของตลาด แปรรูปผลผลิตให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขายผ่านช่องทางตลาดที่เข้าถึงลูกค้า
6. เศรษฐกิจเพิ่มคุณค่า ชุมชนพัฒนาอย่างยั่งยืน การรวมกลุ่มชุมชนให้เข้มแข็ง จัดการผลผลิตเกษตร การตลาด การจัดการเงินและสวัสดิการ

“เอสซีจี เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล เป็นบทพิสูจน์ว่า ชุมชนสามารถแก้ปัญหาภัยแล้ง และเลิกจนได้เป็นผลสำเร็จ และเอสซีจีจะร่วมผลักดัน “เลิกแล้ง เลิกจน” โมเดล ร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยเอาชนะสงครามยากจนโดยเร็ววัน”

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ภาครัฐมีนโยบาย การแก้ไขปัญหาน้ำ 4 ด้าน คือ น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่ออุตสาหกรรม และน้ำเพื่อการรักษาระบบนิเวศ โดยในปีนี้ จะดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ และกระทรวงฯจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาน้ำ และสนับสนุนกรมชลประทาน ทั้งในและนอกเขตชลประทาน เพื่อให้มีน้ำอุปโภค บริโภคอย่างเพียงพอ ไม่ขาดแคลน ผ่านหลัก 6 จ ประกอบด้วย เจาะ คือการเจาะน้ำบาดาล จบ คือ ขุดลอกคลองระบบส่งน้ำรองรับน้ำ จูง คือ การจูงจากพื้นที่่ห่างไกลมาให้เกษตรกรตามเป้าหมาย 40 ล้านลูกบาศ์กเมตร จ่าย คือ การกระจายน้ำ แจก คือ การจัดการให้เกษตรที่ไม่มีน้ำได้ใช้น้ำ และจิต คือ การปรับแนวคิดในการใช้น้ำ

ด้าน นายมานพ ปั้นเหน่ง บ้านสาแพะเหนือ จังหวัดลำปาง กล่าวว่า “ในอดีตหมู่บ้านสาแพะเหนือ ต้องเจอกับวิกฤติภัยแล้งมาตลอด มีรายได้จากการทำนาเพียงปีละครั้ง พวกเราจึงตัดสินใจรวมตัวกันลุกขึ้นแก้ไขปัญหา เพื่อให้รอดพ้นจากภัยแล้ง และความยากจน โดยมีเอสซีจี และ สสน. เป็นพี่เลี้ยง ตั้งแต่การสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ภูเขา เพื่อกักเก็บน้ำ ได้เรียนรู้วิธีการทำสระพวง การทำฝายใต้ทราย เพื่อกักเก็บน้ำทำเกษตรให้มาก และนานที่สุด โดยไม่ปล่อยให้น้ำไหลหลากทิ้งไป คนในหมู่บ้านจะมา “เอามื้อ” (ช่วยกันออกแรง) คนละไม้ละมือ ทั้งงานก่อสร้าง งานขุดลอก และเปลี่ยนมาเพาะปลูกพืชหลายชนิด อาทิ ถั่วพุ่ม เป็นพืชส่งออกญี่ปุ่น ที่ราคาดี และพืชที่เหมาะกับการใช้น้ำในแต่ละฤดู วันนี้ แต่ละครอบครัว มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 3 เท่า สามารถทำเกษตรได้ทั้งปี”

นายมานพ ปั้นเหน่ง

“เรามีการจัดการน้ำแบ่งออกเป็นกลุ่ม ส่งผลให้เลิกจน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการปลูกพืชหมุนเวียน มีเงินใช้ไม่ขาดมือ พื้นที่ใกล้เคียงกันยังมีการแปรรูปสินค้าเกษตร การมีอาชีพของชุมชนมีรายได้ปีละ 20 ล้านบาท นอกจากนี้ยังรักษาสายสัมพันธ์ในครอบครัว เพราะมีคน 3 รุ่นใช้ชีวิตอยู่รวมกัน ตั้งแต่ ปู่ พ่อแม่ มาจนถึงลูก มีความอบอุ่น เพราะมีอาชีพ มีงานทำ คนที่กลับไปอยู่บ้านก็สามารถทำการเกษตรเลียงชีพได้เพราะมีน้ำ”

เอสซีจีและเครือข่ายพันธมิตรเชื่อมั่นว่า หากชุมชนมีความสามัคคีและลุกขึ้นมาจัดการน้ำแบบพึ่งพาตนเอง โดยใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการวางแผนการใช้น้ำ จะช่วยให้มีน้ำสำรองไว้ใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภค และทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืน โดยชุมชนที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) โทร.086-626-6233 หรืออีเมล [email protected]