ThaiPublica > เกาะกระแส > บทสรุปจาก Rage ของ Bob Woodward ทรัมป์เป็น “บุคคลที่ไม่เหมาะสมกับงาน”

บทสรุปจาก Rage ของ Bob Woodward ทรัมป์เป็น “บุคคลที่ไม่เหมาะสมกับงาน”

15 กันยายน 2020


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

ที่มาภาพ: amazon.com

หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของบ็อบ วูดเวิร์ด (Bob Woodward) ชื่อ Rage ที่ออกวางตลาดเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา เป็นบทรายงานเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19

บ็อบ วูดเวิร์ด เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการของ The Washington Post ที่เคยได้รับรางวัล Pulitzer ร่วมกับคาร์ล เบิร์นสตีน (Carl Bernstein) ในการรายงานข่าวกรณี Watergate เมื่อปี 1972 บ็อบ วูดเวิร์ด ได้สัมภาษณ์ทรัมป์ทั้งหมด 18 ครั้ง ในช่วงระหว่าง ธันวาคม 2019 ถึงกรกฎาคม 2020 เพื่อนำมาเขียนหนังสือ Rage รวมทั้งสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว ทำให้เขาสามารถมองเห็นถึงการทำงานของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์

โควิด-19 ไม่อันตราย

หนังสือ Rage รายงานว่า วันที่ 28 มกราคม 2020 ที่ประชุมลับสุดยอดของทำเนียบขาว มีการหารือเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสคล้ายกับโรคปอดบวม ที่เกิดขึ้นในจีน นายรอเบิร์ต โอเบรียน (Robert O’Brien) ที่ปรึกษาความมั่นคง บอกกับทรัมป์ว่า “สิ่งนี้จะเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติที่ใหญ่สุด ที่ท่านจะเผชิญในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี”

นายแมตต์ พอตทิงเกอร์ (Matt Pottinger) ผู้ช่วยที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ก็กล่าวว่า เห็นด้วยกับข้อสรุปดังกล่าว ความเห็นของพอตทิงเกอร์มีน้ำหนักมาก เพราะในช่วงการเกิดการแพร่ระบาดของโรคซาร์สเมื่อปี 2003 เขาเคยเป็นผู้สื่อข่าวประจำเมืองจีนของ Wall Street Journal และรู้ดีว่า จีนถนัดและเก่งในเรื่องการปกปิดความลับกับปัญหาร้ายแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้แมตต์ พอตทิงเกอร์ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับแหล่งข่าวที่เป็นนายแพทย์ในจีนและฮ่องกง และอ่านข่าวสารในโซเชียลมีเดียของจีน เขาถามแหล่งข่าวที่เคยรู้จักในจีนว่า “เรื่องนี้จะร้ายแรงเหมือนปี 2003 หรือไม่” ผู้เชี่ยวชาญในจีนบอกเขาว่า “ไม่ต้องไปคิดเรื่องซาร์สปี 2003 แต่ให้คิดเรื่องโรคระบาดไข้หวัดใหญ่ปี 1918” ซึ่งโรคระบาดไขหวัดใหญ่สเปนปี 1918 ที่ทำให้คนทั่วโลกเสียชีวิต 50 ล้านคน ในสหรัฐฯ 6 แสนกว่าคน โดนัลด์ ทรัมป์ เองถามแมตต์ พอตทิงเกอร์ ว่า “ทำไมคุณคิดว่า มันจะร้ายแรงกว่าปี 2003”

แหล่งข่าวของพอตทิงเกอร์บอกเขาว่า มีอยู่ 3 ปัจจัย ที่ทำให้การระบาดของเชื้อโรคใหม่แพร่ไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับรายงานที่เป็นทางการของจีน คนสามารถติดเชื้อได้ง่ายจากคนด้วยกัน เรียกว่าการแพร่ระบาดจากคนสู่คน และคนไม่แสดงอาการก็สามารถแพร่เชื้อโรคได้ แหล่งข่าวบอกว่า 50% ของคนติดเชื้อไม่แสดงอาการ สิ่งนี้คือภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่อาจจะควบคุมไวรัสได้ เนื่องจากมีการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถตรวจจับได้

พอตทิงเกอร์บอกกับวูดเวิร์ดว่า ปัญหาที่จะเกิดตามมาก็คือ จีนสั่งกักกันโรคในเมืองอู่ฮั่นทั้งเมือง ที่มีประชากร 11 ล้านคน ทำให้คนจากอู่ฮั่นไม่สามารถเดินทางไปที่อื่นๆ ในจีน แต่ไม่ได้สั่งห้ามการเดินทางจากจีนไปทั่วโลก ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ไวรัสซึ่งอันตรายและแพร่ระบาดได้ง่ายจะเข้ามาในสหรัฐฯ แล้ว ทรัมป์ถามพอตทิงเกอร์ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาตอบว่า ให้ตัดการเดินทางจากจีนมาสหรัฐฯ

วันที่ 31 มกราคม ทรัมป์ประกาศจำกัดการเดินทางจากจีนเข้ามาสหรัฐฯ และวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ทรัมป์บอกกับวูดเวิร์ดว่า “มันแพร่ระบาดทางอากาศ คุณไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสมัน เพียงแค่หายใจเอาอากาศเข้าไป และนี้คือจุดที่ว่าเกิดการแพร่ระบาดอย่างไร มันอันตรายร้ายแรงกว่าไข้หวัดใหญ่”

แต่ในสายตาของบ็อบ วูดเวิร์ด และนักวิเคราะห์ทั่วไป กุมภาพันธ์แทบจะเป็นเดือนที่สูญเปล่า วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ทรัมป์แถลงว่า “วันหนึ่ง มันก็จะหายไป” วันที่ 9 มีนาคม ทรัมป์ทวีตข้อความทำนองเปรียบเทียบโควิด-19 เหมือนกับไข้หวัด “ไม่มีอะไรต้องชัตดาวน์ ชีวิตและเศรษฐกิจยังดำเนินต่อไป เหมือนกับดำเนินไปในช่วงไข้หวัดใหญ่ระบาด ขอให้คิดทำนองนี้”

วันที่ 19 มีนาคม ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่ก็ให้สัมภาษณ์กับวูดเวิร์ดว่า “ผมต้องการที่จะลดความสำคัญในเรื่องนี้อยู่ตลอด ผมยังชอบที่จะลดความสำคัญต่อสิ่งนี้ เพราะผมไม่ต้องการสร้างความตื่นตระหนกขึ้นมา” ทรัมป์เองยังให้สัมภาษณ์ Fox News ว่า ตัวเองเหมือนเป็นหัวหน้าเชียร์ลีดเดอร์ของประเทศ และไม่ต้องการเห็นการแตกตื่นเกิดขึ้น แต่ในบทสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายกับวูดเวิร์ด ทรัมป์ปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยกล่าวว่า “ไวรัสไม่มีอะไรเกี่ยวกับตัวผม มันไม่ใช่ความผิดของผม มันเป็น… จีนที่ปล่อยไวรัสออกมา”

แต่โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีและตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี กล่าววิจารณ์ว่า “เขามีข้อมูล เขารู้ว่าเป็นอันตรายขนาดไหน ขณะที่เชื้อโรคร้ายแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ เขาจงใจทำงานล้มเหลว เป็นการทรยศที่ถือความเป็นความตายต่อคนอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า หากเขาดำเนินการให้เร็วขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ จะช่วยชีวิตคนได้ 36,000 คน”

ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง

ในบทสุดท้ายของหนังสือ Rage บ็อบ วูดเวิร์ด เขียนไว้ว่า หลังจากเขียนต้นฉบับหนังสือเล่มนี้เสร็จ ตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้า อเมริกาอยู่ในสภาพปั่นป่วน ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจเผชิญวิกฤติ คนกว่า 40 ล้านคนตกงาน ปัญหาการเหยียดผิวและความเหลื่อมล้ำปะทุขึ้นมา ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด และแน่นอนว่า ยังไม่มีหนทางชัดเจนที่จะไปสู่จุดสิ้นสุดที่ว่า

โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ทุกประตูล้วนมีระเบิดไดนาไมต์อยู่” ทรัมป์คงจะหมายความว่า หากเกิดระเบิดขึ้นมา จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง แต่บ็อบ วูดเวิร์ด ได้ข้อสรุปว่า ระเบิดไดนาไมต์ดังกล่าวก็คือตัวทรัมป์เอง เช่น บุคลิกภาพที่ใหญ่เกินตัวตน ความล้มเหลวในการบริหารจัดการ และการขาดระเบียบวินัย

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขาดความเชื่อมั่นต่อบุคคลที่เขาเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งในรัฐบาล หรือต่อผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ทรัมป์ยังทำให้สถาบันต่างๆ ของอเมริกาอ่อนแอลง ล้มเหลวที่จะเป็นกระบอกเสียง ที่ทำให้คนในสังคมเกิดความสงบ หรือเป็นเสียงของการเยียวยาแก้ปัญหาทางสังคม ขาดการใส่ใจในรับฟังความเห็นของคนอื่น และขาดการวางแผน

ทรัมป์เคยพูดว่า คนในหน่วยงานข่าวกรองต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่อีกครั้ง พวกนายพลเป็นคนโง่เขลา และสื่อมวลชนคือพวกข่าวปลอม ทรัมป์ใช้เวลาหลายปีบ่อนทำลายคนที่ท้าทายเขา ซึ่งไม่เพียงคนที่เป็นปรปักษ์เท่านั้น แต่ยังทำกับคนที่ทำงานเพื่อเขาและเพื่อคนอเมริกัน

จุดนี้เองที่เป็นปัญหา นอกจากจะทำลายความเชื่อมั่นของคนอื่นที่มีต่อคนเหล่านี้แล้ว ยังเท่ากับเป็นการทำลายความเชื่อมั่นต่อตัวทรัมป์เอง ในช่วงวิกฤติสาธารณสุข สิ่งที่ประเทศต้องการมากสุดคือ การสัมผัสได้ถึงสิ่งที่รัฐบาลมีข้อมูลและกำลังดำเนินการแก้ปัญหาอยู่

บ็อบ วูดเวิร์ด เขียนสรุปว่า เป็นเวลาเกือบ 50 ปีที่เขาเขียนเรื่องประธานาธิบดีถึง 9 คนของสหรัฐฯ จากนิกสันจนถึงทรัมป์ ประธานาธิบดีต้องเต็มใจที่จะบอกสิ่งเลวร้ายกับประชาชน รวมทั้งแจ้งข่าวร้ายและข่าวดี ประธานาธิบดีมีพันธะที่จะแจ้งข่าว เตือนภัย ปกป้อง วางเป้าหมาย และกำหนดสิ่งที่เป็นผลประโยชน์แท้จริงของประเทศ

สองวันหลังจากญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ปราศรัยกับคนอเมริกันว่า “เราต้องแจ้งข่าวร้ายและข่าวดี การพ่ายแพ้และชัยชนะ ของความเป็นไปของสงคราม จนถึงเวลานี้ ข่าวสารต่างๆ ล้วนเป็นข่าวร้าย เราประสบกับการชะงักงันร้ายแรง สิ่งนี้ไม่เพียงจะเป็นสงครามที่ยาวนาน และจะเป็นสงครามที่ยากลำบาก”

แต่ทรัมป์ใช้ความต้องการส่วนตัวเป็นหลักการบริหารตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อพิจารณาการทำงานทั้งหมดในตำแหน่งประธานาธิบดี บ็อบ วูดเวิร์ด ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยคสุดท้ายของหนังสือ Rage ว่า

“ผมสามารถได้ข้อสรุปเพียงอย่างเดียว คือ ทรัมป์คือบุคคลที่ไม่เหมาะสมกับงาน” (Trump is the wrong man for the job)

เอกสารประกอบ
RAGE, Bob Woodward, Simon & Schuster, 2020.