ThaiPublica > Sustainability > Sustainable Business > GCNT ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เดินหน้าขับเคลื่อน SDGs ผลักดัน 998 โครงการ

GCNT ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เดินหน้าขับเคลื่อน SDGs ผลักดัน 998 โครงการ

31 สิงหาคม 2020


เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมผู้แทนสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานการประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรสมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ให้คำมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนรวม 998 โครงการ มูลค่ารวมอย่างน้อย 1.2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 ในงาน “GCNT FORUM 2020: Thailand Business Leadership for SDGs”

ในโอกาสการครบรอบ 20 ปี เครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) และครบรอบ 75 ปีสหประชาชาติ (United Nations) จัดโดย สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานผู้แทนสหประชาชาติประจำประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และผู้สนับสนุนของสมาคมฯ ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรสมาชิกของสมาคมฯ ผนึกกำลังเพื่อร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “วิถีคิดผู้นำในสถานการณ์วิกฤติ ประสบการณ์จากสถานการณ์ COVID-19” ว่า “ท่านผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ท่านนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานสัมมนา หัวข้อ “วิถีคิดผู้นำสู่ความยั่งยืนภายใต้ชีวิตวิถีใหม่” ในโอกาสการฉลองครบรอบ 20 ปีของการจัดตั้งโกลบอลคอมแพ็กภายใต้สหประชาชาติ และการประกาศเจตนารมณ์ของเครือข่ายในวันนี้”

ผมทราบว่า UN โกลบอลคอมแพ็ก เป็นโครงการหนึ่งของสหประชาชาติ ที่ส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกใช้นโยบายในการดำเนินกิจการต่างๆ โดยเน้นความยั่งยืนและการมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น และสนับสนุนให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักการที่เป็นสากล 10 ประการของ UN โกลบอลคอมแพ็ก ทั้งในด้านสิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต ซึ่งเป็นหลักการที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญด้วยอยู่แล้ว ผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปัจจุบันสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยมีสมาชิกกว่า 50 บริษัทเข้าร่วมด้วย ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า จะเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของรัฐบาลในการฟื้นฟูประเทศของเราให้ดีขึ้นจากวิกฤติโควิด-19 และในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

ผมตระหนักดีว่า “สิทธิมนุษยชนเป็นรากฐานที่เข้มแข็งของสังคมและธุรกิจ” การเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญและปฏิบัติ รัฐบาลของผมจึงสนับสนุนให้ภาคเอกชนประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมุ่งหวังแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว ผมรู้สึกภูมิใจที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan: NAP) เมื่อปี 2562 โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้ความสำคัญกับ 3 เสาหลัก คือ คุ้มครอง เคารพ และเยียวยา ซึ่งผมต้องขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ภายในประเทศ รวมถึงสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยที่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนและสังคมไทย ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

สำหรับหัวข้อที่ท่านให้ผมมาพูดในวันนี้ คือ “วิถีคิดผู้นำในสถานการณ์วิกฤติ ประสบการณ์จากโควิด-19” ซึ่งท่านคงเห็นเหมือนผมว่า วิกฤติครั้งนี้เป็นวิกฤติระดับโลก เราไม่เคยประสบวิกฤติการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง เราต้องปรับตัวทั้งในการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปในรูปแบบ “new normal” หรือ “วิถีปกติใหม่” ดังนั้น ผู้นำในทุกองค์กร รวมทั้งภาครัฐบาลจึงต้องพร้อมปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่โลกใหม่ด้วย เราไม่อาจทำงานในรูปแบบเดิมๆ อีกต่อไป

สำหรับรัฐบาลเองก็จะเร่งปรับปรุงวิธีการทำงานให้เป็นแบบ new normal ตามแนวทางสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

หนึ่ง การผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศไทย ต่อไปนี้ รัฐบาลจะต้องทำงานโดยนำทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศ ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามานำเสนอวิสัยทัศน์ และความคิดในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้รัฐบาลฟังได้ เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจัดตั้ง “คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เพื่อทำหน้าที่ ติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของประชาชนในระดับพื้นที่ เริ่มจากปัญหาที่มีความเดือดร้อนเร่งด่วน และทำให้การดำเนินงานเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์

สอง รัฐบาลจะเปิดให้มีการประเมินผลงานภาครัฐ โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง ให้ทุกคนสามารถประเมินผลการทำงานของรัฐว่า ได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เขาคาดหวังหรือไม่ เพื่อกำจัดสิ่งที่ทำแล้วไม่มีประโยชน์ต่อประชาชนออกไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ผมจะทำให้เกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปก็คือ สนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาทในการประเมินผล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของภาครัฐให้ผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลรับทราบโดยตรงได้ด้วย

สาม การทำงานเชิงรุก ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องทำงานให้บูรณาการระหว่างกัน และเป็นไปในเชิงรุกมากขึ้น รัฐบาลจะกำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับสถานการณ์ และการสร้างประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่ประชาชน เพื่อให้กระทรวงต่างๆ นำไปต่อยอดให้เป็นรูปธรรม ผมจะติดตามโครงการสำคัญเร่งด่วนนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง และมีประสิทธิภาพสูงสุด

ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ เราจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ที่ผ่านมา ผม ทุกคนในรัฐบาล และทีมงานข้าราชการทุกกระทรวงฯ จึงพยายามทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคนให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด หรือการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผ่านมาตรการเยียวยาต่างๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ

โดยต้นน้ำ คือ การคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยจากทุกช่องทางอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการนำเชื้อไวรัสจากนอกประเทศเข้ามาภายในประเทศ กลางน้ำ คือ การเว้นระยะห่างและการรักษาสุขอนามัยตามคำแนะนำของแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งรวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่จำนวนกว่าล้านคนที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดียิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดภายในประเทศ และปลายน้ำ คือการรักษาพยาบาลผู้ป่วย ตลอดจนการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ โดยทุกขั้นตอน มีการบริหารจัดการอย่างรอบคอบและรัดกุมภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมีผมเป็นผู้อำนวยการศูนย์ ทำหน้าที่กำกับดูแลภารกิจในทุกมิติด้วยตนเอง

ภายใต้การดำเนินงานตามแนวทางข้างต้น กอปรกับความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทั้งชาติ ส่งผลให้ไทยได้รับคำชื่นชมจากสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก รวมถึงได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ว่าสามารถบริหารจัดการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดและฟื้นตัวจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก

วิกฤติการณ์โควิด-19 ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยโชคดีที่มี “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งจากภายในและฐานราก โดยให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาคน” และ “ความมั่นคงของมนุษย์” เพื่อให้ทุกคนในชาติมีภูมิต้านทานต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญ คือ การมุ่งพัฒนาไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เมื่อทุกคนมีความต้านทานจึงจะเกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งผมก็ได้กล่าวถึงความสำคัญของเรื่องเหล่านี้ต่อสหประชาชาติและประเทศในภูมิภาคในการประชุม UNESCAP เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

เพื่อให้เรารอดพ้นจากความท้าทายครั้งนี้ไปได้ รัฐบาลต้องดึงศักยภาพของประเทศออกมาใช้ โดยระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และประชาชนทุกคน ให้เข้ามาช่วยกันขับเคลื่อนการฟื้นฟูประเทศให้ดีกว่าเดิม ทุกภาคส่วนจะต้องรวมพลังกันเพื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” ท่ามกลางวิกฤตินี้ “เราจะต้องรอด และวันหน้า เราต้องเข็มแข็งกว่าเดิม” พวกเราคนไทยจะฝ่าฟันไปด้วยกัน เพราะเราและโลกมีเป้าหมายที่ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า นั่นก็คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ หรือ SDGs ซึ่งเราจะต้องบรรลุให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือปี พ.ศ. 2573 เรามีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว แต่ผมเชื่อมั่นในประเทศไทยและคนไทย หากเราร่วมมือร่วมใจกัน ความก้าวหน้าและความสำเร็จอยู่ไม่ไกล และผมขอชื่นชมบทบาทของภาคเอกชนร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ในการสร้างความตระหนักรู้และร่วมมือกันบรรลุเป้าหมาย SDGs ต่างๆ

เวลานี้ที่เราต้องมองไปข้างหน้า มี 3 ประเด็นที่ผมเห็นว่า มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวจากวิกฤติครั้งนี้

หนึ่ง การแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนถึงความสำคัญของระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง รัฐบาลจึงจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขอย่างเหมาะสม มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมทั่วถึง ไม่มีช่องว่างระหว่างคนในสังคม ภาครัฐสนับสนุนระบบอาสาสมัครสาธารณสุขท้องถิ่นที่เข้มแข็งอยู่แล้วให้แข็งแกร่งขึ้น ในวิกฤติที่ผ่านมา อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้านมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ชื่นชมของนานาประเทศ

สอง เราต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัส ต้องดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาเร่งด่วนมาเป็นลำดับ โดยออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน เช่น มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน ค่าน้ำประปา และค่าไฟฟ้า การสนับสนุนเงินให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น ลูกจ้างรายวัน กลุ่มอาชีพอิสระ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการหนี้เดิมที่มีอยู่ เช่น มาตรการพักเงินต้น ลดดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

นอกจากนี้ เพื่อให้ทรัพยากรของภาครัฐเพียงพอต่อการพยุงสถานการณ์เศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพในระยะเร่งด่วน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณกว่า 2 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นสองส่วนหลักคือ งบประมาณในส่วนที่ได้มีการตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อน 3 แผนงาน ได้แก่ (1) โครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข 45,000 ล้านบาท (2) แผนงานเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 555,000 ล้านบาท และ (3) โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาท และงบประมาณจากแหล่งอื่นๆ วงเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยทั้งหมด มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างครอบคลุม ผ่านการลงทุนและการดำเนินกิจกรรมทุกรูปแบบให้เกิดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน อันจะนำไปสู่การจ้างงานและการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้เกิดความแข็งแกร่งได้ต่อไป

ล่าสุด ผมได้จัดตั้ง “ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ” หรือ ศบศ. เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำหนดนโยบายร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจ ภายใต้ ศบศ. ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมและบรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว

สาม วิกฤตินี้ เป็นโอกาสที่จะนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลง และวางแผนเพื่อการฟื้นตัว อย่างยั่งยืนเพื่อเตรียมรับความปกติแบบใหม่ หรือ new normal โดยเฉพาะการเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ การสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานราก การดูแลสภาพแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการผลกระทบจากการพัฒนาเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การลดภาวะโลกร้อน การกำจัดขยะในทะเล และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะหากเราไม่บริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ เราจะต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น การพัฒนาประเทศไทยต่อไปจากนี้ จะมุ่งเน้นเรื่อง “ความยั่งยืน” และ “การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า วันนี้ ผมจึงดีใจมากที่ได้มาพบและแสดงวิสัยทัศน์ต่อผู้บริหารของบริษัทของประเทศไทยทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่เป็นสมาชิกของสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยซึ่งมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน และเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของคนในโลก

ผมอยากเล่าให้ทุกท่านฟังว่า รัฐบาลมองการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนอย่างไร และอยากจะขอให้ท่านพัฒนาแผนธุรกิจไปในแนวทางที่สอดคล้องกัน เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน และเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นหลัง ผมรู้ว่า เอกชนไทยขนาดใหญ่หลายแห่งในที่นี้ หลายท่านเป็นบริษัทข้ามชาติ ผลประโยชน์จากการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ท่านดำเนินการไว้ จะได้แผ่ขยายไปในประเทศอื่นๆ ให้เราเติบโตอย่างแข็งแรง แข็งแกร่งไปด้วยกันทั้งหมด แต่เราก็ต้องไม่ลืมหุ้นส่วนขนาดเล็ก ขนาดรากหญ้าที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญเช่นกัน

รัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “Bio-Circular-Green Economy” หรือ “BCG” ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือ เราจะทำเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โดยมีแนวทางสำคัญ คือ “การน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน” “สร้างความเข้มแข็งจากภายในเชื่อมไทยสู่โลก” และ “เดินหน้าไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

วิกฤติการณ์โควิด-19 ทำให้เรามองเห็นศักยภาพของไทย และของทั่วโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การพัฒนาประเทศภายหลังวิกฤติการณ์นี้ ต้องอาศัยรากฐานที่แข็งแกร่งของประเทศ นำมาต่อยอดและพัฒนา เราต้องเปลี่ยนจากการใช้ทรัพยากรจำนวนมากและการทำลายสิ่งแวดล้อม มาเป็นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า เน้นการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ ประสานงานกันทุกภาคส่วน และต้องเน้นการลงทุนและการพัฒนาที่ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมของไทย ใช้ภูมิปัญญาของคนไทยเอง ซึ่งผมอยากให้ภาคเอกชนตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้

โมเดลเศรษฐกิจ BCG มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนอย่างน้อยใน 5 มิติ ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ที่ผ่านมา รัฐบาลขับเคลื่อนทั้งการลงทุนและการวางรากฐานที่แข็งแกร่งในโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาระยะหนึ่งแล้ว ผมจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจให้แก่ท่าน อย่างเช่น

การจัดตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank) เพื่อเก็บรักษาและใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ประเทศไทยสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มได้ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลายด้วยการใช้จุลินทรีย์ ซึ่งที่ผ่านมา ยังมีการดำเนินการค่อนข้างน้อย อยากให้ภาคเอกชนลองหาแนวทางใช้ประโยชน์เพิ่มเติมด้วย

โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย (Genomics Thailand) เป็นการศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรมของคนไทยว่า คนไทยมียีนเด่น ยีนด้อยอะไร ซึ่งจะทำให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มของโรคที่จะเกิดกับคนไทยได้ พอเราสามารถรู้ล่วงหน้า ก็จะสามารถเตรียมยา เตรียมการป้องกัน และเตรียมการรักษาได้ถูกต้อง เรามีบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ มีคนเก่งมากมายอยู่แล้ว นี่จะเป็นการต่อยอดให้ระบบสาธารณสุขของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science) เพื่อขยายงานวิจัยไปในท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และนวัตกรรมของภูมิภาค หรืออาจเป็นการพัฒนานวัตกรรมอาหารแบบครบวงจร เพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ ผมอยากให้ภาคเอกชนขยายการลงทุนออกไปในท้องถิ่นให้มากๆ เพื่อกระจายรายได้ และดึงศักยภาพของท้องถิ่นออกมาให้เต็มที่

โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery Pilot Plant) เพื่อขยายขนาดการผลิตอุตสาหกรรมชีวมวลจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยไบโอรีไฟเนอรีเป็นกระบวนการนำของเหลือทิ้งจากภาคการเกษตร ชีวมวล หรือของเสียจากอุตสาหกรรมมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น แล้วอาศัยเทคโนโลยีชีวภาพหรือเอ็นไซม์ มาเปลี่ยนวัตถุดิบเหล่านั้นเป็นอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น วัสดุชีวมวล สารเคมีชีวมวล ชีวเวชภัณฑ์ และพลังงานชีวมวล ภาคเอกชนน่าจะลงทุนด้านนี้กันมากๆ เพราะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และยังช่วยแก้ปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน

การสร้าง Big Data หรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของไทย ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โครงการที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น

– TP Map (Thai People Map and Analytics Platform) ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากระบบบริหารจัดการข้อมูลคนจนแบบชี้เป้า ให้สามารถครอบคลุมปัญหาที่กว้างขึ้น เช่น เด็กแรกเกิด การศึกษา ผู้สูงอายุ การพัฒนาสภาพที่อยู่อาศัย ทำให้สามารถระบุปัญหาความยากจนในระดับต่างๆ ได้อย่างตรงกับความต้องการหรือสภาพปัญหา

– Agri map เพื่อยกระดับผลผลิตภาคเกษตรแบบมุ่งเป้า โดยใช้ข้อมูลน้ำและข้อมูลจากดาวเทียม ช่วยสนับสนุนแผนการผลิตให้สอดคล้องกับทรัพยากรในแต่ละพื้นที่

นอกจากนั้น ยังมีแผนการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลในชุมชน ข้อมูล OTOP ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการเข้าถึงบริการของภาครัฐ ซึ่งจำเป็นต้องบูรณาการข้อมูลเหล่านี้ไว้ด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจอย่างถูกต้องของผู้บริหารในทุกระดับ เรื่องนี้ภาครัฐและภาคส่วนต่างๆ ต้องร่วมมือกันให้บรรลุผลอย่างแท้จริง

สำหรับโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในเวทีโลก เราต้องสร้างโอกาสโดยอาศัยความเข้มแข็งจากภายใน พึ่งพาปัจจัยภายนอกให้น้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสาขาที่เรามีศักยภาพสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น ความมั่นคงทางอาหาร แต่ตอนนี้ สินค้าเกษตรและอาหารส่งออกของเรากลับมีมูลค่าต่ำ เราต้องปรับเปลี่ยนจากการขายของถูก ปริมาณมาก เป็นการขายของที่มีมูลค่าสูง โดยการใช้นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่า ผมต้องการปรับกระบวนทัศน์ด้านการผลิตอาหารของไทยทั้งองคาพยพ ให้ประเทศของเรามีระบบอาหารที่ยั่งยืน

เริ่มจากภาคเกษตรกรรมต้องเป็น smart farming เกษตรกรรายย่อยต้องมีความเข้มแข็ง สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วยตนเอง รวมทั้งมีองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ และการใช้ช่องทาง online ในการจำหน่ายผลผลิต

สินค้าอาหารที่ไทยผลิตต้องมี innovation ต้องเป็น niche market ตรงกับความต้องการที่หลากหลายของตลาด ผนวกกับการใช้จุดแข็งด้านมาตรฐานการแพทย์ของไทย เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารสำหรับการรักษาโรค อาหารออร์แกนิก อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารแคลอรี่ต่ำ

รัฐบาลเองก็จะปรับการจัดสรรงบประมาณการลงทุนในโครงการนวัตกรรมการเกษตรจากงบประมาณรายปี เป็นการลงทุนแบบผูกพันต่อเนื่อง เพื่อให้การวิจัยและพัฒนาสามารถดำเนินการได้ในระยะยาว และต่อยอดไปสู่การใช้ประโยชน์ทางการตลาด โดยจะมุ่งเน้นการสนับสนุนทุนวิจัยแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัย พัฒนา และการจำหน่าย เพื่อเร่งรัดให้เกิดการเข้าสู่ตลาดโดยผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยคนไทย

จุดแข็งอีกอย่างของไทยที่สำคัญ คือ creative economy ประเทศไทยมีรากฐานทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีหัตถกรรมชุมชนที่ละเอียด ประณีต รวมถึงวัฒนธรรมอาหารที่มีอัตลักษณ์เฉพาะในแต่ละท้องถิ่น แต่ที่ผ่านมา เรามักจะนำเอาต้นทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามาใช้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ต่อไปนี้ รัฐบาลจะมุ่งเน้นการนำจุดแข็งด้านวัฒนธรรมของไทยมาใช้เพิ่มมูลค่า เราจะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เน้นการได้รับประสบการณ์ตรงจากวิถีชีวิตในท้องถิ่น และส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักท่องเที่ยวกับคนในท้องถิ่น รวมทั้งการสนับสนุน local startup หรือ local artist ที่นำมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นมาทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นต่อไป

ในด้านบริการสาธารณสุข ซึ่งเรามีระบบบริหารจัดการด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ไทยยังขาด คือ เรายังนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น ยา วัสดุ และเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ เราจึงควรสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ และการแพทย์ เราต้องทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์ของเรามีลักษณะครบวงจรอย่างแท้จริง ตั้งแต่การค้นคว้าวิจัย การทดสอบ การบรรจุภัณฑ์ โดยมีห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงกันในทุกระดับ สายการผลิตของเราต้องมีความยืดหยุ่นคล่องตัวเพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายได้ ดังเช่นในการผลิตวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 นอกจากนั้น เราควรให้ความสำคัญกับการแพทย์ที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้ หากเราพัฒนาได้ ก็จะทำให้ประเทศไทยเป็น medical hub ของโลกอย่างแท้จริง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดมานี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ประเทศไทยมีระบบการคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงภายในประเทศที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และประหยัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของไทยให้สูงขึ้น สามารถเชื่อมโยงฐานการผลิตภายในภูมิภาคได้โดยสะดวก ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน และการพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ ตอนนี้ ระบบคมนาคมขนส่งไทยไม่สามารถตอบสนองผู้ใช้บริการได้เต็มที่ เพราะเราใช้ถนนเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ในการขนส่งผู้โดยสาร รัฐบาลมีแผนจะเปลี่ยนรถตู้โดยสารเป็นรถมินิบัสสำหรับเส้นทางระยะยาวและระหว่างจังหวัด รวมถึงยกระดับรถแท็กซี่ไปสู่การเป็น สมาร์ตแท็กซี่ และยกระดับสมาร์ตบัสเทอร์มินัลเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ใช้บริการรถสาธารณะ ซึ่งภาคเอกชนสามารถเข้ามาสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดต่างๆ ได้

นอกจากนั้น รัฐบาลกำลังเร่งพัฒนาโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมและทั่วถึง มุ่งเน้นที่จะพัฒนาระบบรถไฟเป็นระบบรางคู่ในเส้นทางในทุกภูมิภาค รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ก็ยังเดินหน้าตามแผน รวมทั้งการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในจังหวัดศูนย์กลางของภูมิภาคต่างๆ ซึ่งจะทำให้ระบบรางเข้ามามีบทบาทต่อการคมนาคมขนส่งมากขึ้น ผมมีความฝันว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ไทยจะมีโครงข่ายการคมนาคมขนส่งสาธารณะทั่วถึงในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ห่างไกลแค่ไหน ผมอยากให้ภาคเอกชนผนึกกำลังกับภาครัฐอย่างจริงจังในเรื่องนี้

อย่างที่ผมบอกไปแล้วตั้งแต่ตอนต้น ในการพัฒนาของไทย เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชากรวัยแรงงานของไทยกำลังลดลง เราต้องหาวิธีเพื่อนำศักยภาพของประชาชนทุกเพศ ทุกวัยออกมาใช้ให้ได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเรื่อง active aging ดูแลให้คนสูงอายุมีสุขภาพดี และสามารถทำงานเพื่อสังคมได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น การปลดล็อกและดึงศักยภาพของสตรีออกมาใช้ให้ได้มากขึ้น ทั้งโดยการขจัดการคุกคามทางเพศ การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างหญิงชายในทุกมิติ การสนับสนุนด้านสวัสดิการสำหรับพนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์และแม่เลี้ยงเดี่ยว ตลอดจนการส่งเสริมโอกาสให้ผู้ประกอบการสตรี ทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการพัฒนาศักยภาพของสตรีในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนั้น รัฐบาลยังให้ความสำคัญต่อการดูแลแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย

นอกเหนือจากภาคเอกชนขนาดใหญ่ เราต้องช่วยกันสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย startup และ SMEs ให้ทุกคนมีพื้นที่ในการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศไปพร้อมๆ กัน รัฐบาลตระหนักดีว่า SMEs เป็นฟันเฟืองที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ปัจจุบัน SMEs มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 96 ของเศรษฐกิจโดยรวม และกลุ่ม SMEs อย่างเดียว ก็สร้างอาชีพให้กับพี่น้องคนไทยมากกว่า 14 ล้านคนทั่วประเทศ ดังนั้น ผมขอให้ภาคเอกชนทุกท่านช่วยกันสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยทั้ง SMEs และ startup รุ่นใหม่อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการนำผู้ประกอบการรายย่อยเข้าอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน การสนับสนุนแหล่งเงินทุน และการให้โอกาสทางการตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤติโควิด-19

ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมเองออกไปพบกับสมาคมธุรกิจต่างๆ ทั้งตัวแทนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก สมาคมผู้ค้าปลีก ชาวนาและเกษตรกร ชาวประมง และคนทำมาหากินทั่วไป เพื่อรับทราบข้อคิดเห็นโดยตรง และทำความเข้าใจต่อความเดือดร้อนที่แท้จริงที่เกิดขึ้น

ผมนำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาสั่งการเป็นนโยบาย ไม่ว่าจะเรื่อง (1) การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่กำหนดให้ต้องซื้อสินค้าหรือบริการจาก SMEs ในท้องถิ่นเพื่อกระจายรายได้ไปยังธุรกิจรากหญ้า (2) การเปิดห้างร้าน สถานที่ค้าขาย ให้ผู้ค้าปลีกได้กลับมาทำมาหากิน และผมก็สบายใจที่ผู้ประกอบการทุกคนพยายามดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างเข้มงวด (3) การให้หน่วยราชการพิจารณาใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้วสำหรับการจัดประชุมสัมมนาในสถานที่ หรือโรงแรมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างรายได้แก่การท่องเที่ยวในท้องถิ่น รวมทั้ง (4) การรับฟังข้อคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของภาคการเกษตรและการปัญหาภาคการประมงในระยะยาวด้วยตัวเอง

สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่า ประเทศไทยจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วภายหลังวิกฤติโควิด-19 คือ ความร่วมแรงร่วมใจอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทุกคน อย่างที่เราเห็นในข่าวว่า คนไทยหลายๆ คน แม้จะมีทุนทรัพย์น้อย ก็ยังเอาข้าวของมาแบ่งปันกัน และมีอีกหลายคนที่เสียสละทำงานเพื่อดูแลสุขภาพของคนอื่น แม้ตัวเองจะได้รับความเสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศของเรามีคนเก่งและคนมีความสามารถอยู่เป็นจำนวนมาก หลายคนเป็นคนที่มีความคิดดีๆ มีพละกำลัง และมีความพร้อมที่จะช่วยประเทศชาติ โดยไม่มีข้อแม้ เราต้องเพิ่มโอกาสให้ตนเอง หาตลาดใหม่ๆ ทั้งในและนอกประเทศ

ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการขยายฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และประชาชนทั่วไปในรูปแบบ “งานอาสาสมัคร” คนไทยเป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นได้จากการที่เรามีจำนวนอาสาสมัครที่ลงทะเบียนเป็นทางการและไม่เป็นทางการมากกว่า 10 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของพี่น้องประชาชนทั่วไป ในการมีส่วนร่วมกับรัฐบาล ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในมิติต่างๆ

รัฐบาลมองว่า งานอาสาสมัครเป็นกลไกที่มีศักยภาพอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะ ประการแรก อาสาสมัครถือเป็นการให้พื้นที่สำหรับประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา นอกจากนั้น อาสาสมัครยังสามารถมีบทบาทในการเชื่อมโยงนโยบายของรัฐบาลไปสู่การดำเนินงานจริงในระดับชุมชน ตั้งแต่การวางแผน การทำงาน การเก็บข้อมูลในชุมชน และการติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ และนำไปสู่การระดมทุนทางสังคมและความคิดเห็นในวงกว้าง ทำให้เสียงของประชาชนได้รับการสะท้อนมาสู่นโยบายของรัฐบาล รวมถึงเป็นการสร้างความรู้สึกการเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ทั้งในระดับบุคคลและในระดับท้องถิ่น ส่งผลให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งจากรากฐานและยังเป็นการสร้างสังคมสมานฉันท์ในขณะเดียวกัน

ไม่เฉพาะแค่ในประเทศเท่านั้น แต่รัฐบาลดำเนินงานร่วมกับนานาชาติในการส่งเสริมงานอาสาสมัครข้ามพรมแดนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “อาสาสมัครเพื่อนไทย” (Friends From Thailand: FFT) ของกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ TICA ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 และที่ผ่านมา เราส่งอาสาสมัครไทยไปปฏิบัติงานด้านการพัฒนาในประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ภูฏาน ติมอร์-เลสเต เบนิน โมซัมบิก และเลโซโท ความร่วมมือด้านการพัฒนาของไทยภายใต้โครงการ FFT เน้นการเผยแพร่และขับเคลื่อน “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือ “SEP” ในพื้นที่จริง ซึ่งก็เห็นผลที่เป็นประโยชน์และนำความเจริญไปสู่ท้องถิ่นนั้นๆ โดยไทยตั้งศูนย์เรียนรู้ด้าน SEP ใน 9 ประเทศ และชุมชนต้นแบบ SEP ใน 12 ประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของไทยเป็นสากล และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนได้

นอกจากนั้น ประเทศไทยยังได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากมิตรประเทศ ทำให้ภูมิภาคของเรามีความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและห่วงโซ่คุณค่า มีการจัดส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเพื่อช่วยเหลือกันและกัน นอกจากนี้ เรายังได้รับองค์ความรู้และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ที่สนับสนุนให้รัฐบาลไทยสามารถดำเนินมาตรการต่อสู้กับโควิด-19 ได้อย่างครอบคลุม ไม่ละเลยกลุ่มต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสตรี ผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ และแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุด ผมขอใช้โอกาสนี้ยืนยันว่า ไทยยึดมั่นในระบบพหุภาคี หลักค่านิยมสากล และการส่งเสริมความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ

สิ่งที่พูดมาวันนี้ ทุกอย่างก็ครอบคลุมนโยบายรัฐบาลในการฟื้นฟูประเทศให้กลับมาดีกว่าเดิม ประเด็นสำคัญหลักๆ ที่เน้นย้ำ มี 2 อย่างที่กล่าวไป คือ “การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และ “การระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนประเทศ” ซึ่งทุกท่านในที่นี้ รวมทั้งเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย สามารถมีบทบาทสำคัญได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้น การพัฒนาของเราจะครอบคลุม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำงานแบบ win-win ยึดมั่นในระบอบพหุภาคี และความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ

เมื่อเราเริ่มทำงานในแบบใหม่ๆ ก็อาจจะมีเสียงคัดค้าน หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ผมพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกคน โดยเฉพาะเยาวชน เพราะผมเชื่อมั่นว่า เราต่างมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทางที่ดีขึ้น ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมภารกิจ “รวมไทยสร้างชาติ” ไปพร้อมๆ กัน ผมมั่นใจว่า วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้จะช่วยให้ประเทศไทยของเรายิ่งแข็งแกร่ง มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นกว่าเดิม และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนประชาคมโลกเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เราทุกคน ทั้งคนไทย ประเทศไทย และทุกประเทศทั่วโลก จะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน คิดใหม่ ทำใหม่ สร้างสรรค์วิธีการทำงาน และวิถีชีวิตแบบใหม่ เพื่อที่เราจะสามารถก้าวข้ามวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน

ป้ายคำ :