
ผู้นำภาคธุรกิจไทย หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติในประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ย้ำไทยพร้อมส่งเสริมเป้าหมาย Net Zero และยกระดับการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม
เมื่อวันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 เวลา 12.00 น. ณ สำนักงานสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร นางสาวอามีนา เจ. โมฮัมเหม็ด (Ms. Amina J. Mohammed) รองเลขาธิการสหประชาชาติ เปิดประชุมหารือภาคธุรกิจไทยร่วมกับตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ของสหประชาชาติ โดยมีผู้เข้าร่วม ได้แก่ นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ GCNT, นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน), นายจำรัส สว่างสมุทร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนางสาวกรรณิกา ว่องกุศลกิจ กลุ่มมิตรผล
นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย แสดงความมุ่งมั่นของภาคธุรกิจไทยที่พร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเต็มที่ พร้อมเชื่อมั่นว่า สหประชาชาติจะสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals — SDGs) และตอบสนองต่อความท้าทายของโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน Climate Action การป้องกันปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
การหารือดังกล่าวเป็นโอกาสอันดีต่อการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจไทยและสหประชาชาติ โดยสหประชาชาติมุ่งแสวงหาความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคธุรกิจ เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือระดับภูมิภาคไปสู่การแก้ไขปัญหาในประเด็นท้าทายระดับโลก ทั้งปัญหาความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน การเงิน และดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน

ภาคธุรกิจไทยและรองเลขาธิการฯ ต่างเห็นพ้องว่า ประเทศไทยมีความคืบหน้าในการขับเคลื่อน SDGs รวมทั้งภาคธุรกิจไทยได้นำปัญหาและอุปสรรคมาเป็นบทเรียนในการทำกลยุทธ์ธุรกิจที่บูรณาการ SDGs มาเป็นโครงการที่เริ่มมีการดำเนินการแล้วกว่า 60 บริษัท ด้วยการลงทุนกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี ค.ศ. 2030 ช่วยให้ธุรกิจมีฐานรากที่มั่นคงส่งผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเข้ามามีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่และภาคประชาสังคมมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภาคธุรกิจไทยตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหานี้ นอกจากนี้ สมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 หรืออย่างช้าปี 2070
- ไทยควรพิจารณาหารือเพิ่มเติมในเรื่องการสนับสนุนเพื่อให้ไทยและประเทศกำลังพัฒนาสามารถบรรลุเป้าหมายได้ โดยเฉพาะเรื่องแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าในอนาคต เปิดโอกาสให้ประชาชานเข้าถึง “Smart Grid” เพื่อให้เป็นเอกภาพ และลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน โดยรัฐบาลควรเปิดเสรีให้มีการเปลี่ยนผ่านเป็นพลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้โดยบริษัทขนาดเล็กและประชาชาชนทั่วไปได้เร็วขึ้น ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล และจะเสริมให้ไทยสามารถยกระดับ NDC ของไทยขึ้นเป็นร้อยละ 40 ได้
- ควรมีแนวทางให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SME เพื่อความยั่งยืน ในระดับนโยบายสนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยี เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ในความท้าทายด้านการรับมือความเสี่ยงจาก วิกฤติ COVID-19 ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีกลไกที่ช่วยให้ SME ปรับตัวได้เร็ว เตรียมความพร้อมและสร้างธุรกิจให้เติบโตปรับตัวได้

ในช่วงท้าย รองเลขาธิการสหประชาชาติฝากให้ร่วมกันหาทางร่วมมือให้มีการลงทุนเพื่อให้เยาวชนเข้าถึงระบบการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำและแสวงหากลไกสนับสนุนให้ธุรกิจไทยได้รับการลงทุนจากกองทุนต่างๆ ให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจนบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในบริบทของไทยให้ได้