ThaiPublica > เกาะกระแส > “บัณฑูร ล่ำซำ” เปิด 2 โครงการ “เบี้ยนักรบพิเศษเสื้อกาวน์ 5 จว.ใต้ -ช่วยเอสเอ็มอีอุ้มคนงาน” สู้โควิด-19

“บัณฑูร ล่ำซำ” เปิด 2 โครงการ “เบี้ยนักรบพิเศษเสื้อกาวน์ 5 จว.ใต้ -ช่วยเอสเอ็มอีอุ้มคนงาน” สู้โควิด-19

5 พฤษภาคม 2020


นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ ธนาคารกสิกรไทย และประธานกรรมการ มูลนิธิกสิกรไทย

วันนี้(5 พฤษภาคม 2563) นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus) ธนาคารกสิกรไทย และประธานกรรมการ มูลนิธิกสิกรไทย แถลงข่าวเปิดโครงการเพื่อดูแลบุคลากรทางการแพทย์ และสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีในการต่อสู้วิกฤติไวรัสโควิด-19

นายบัณฑูรกล่าวว่าผลกระทบโรคระบาดโควิด-19 ยังเป็นโจทย์ที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข การระบาดของโรคโควิด-19ครั้งนี้กระทบทั้งสุขภาพของคนไทยโดยรวมและการชะงักงันของระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความเดือดร้อนหลากมิติในทุกแวดวงของประชาชน

เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์

“ธนาคารกสิกรไทยในฐานะนิติบุคคลที่อยู่ในแผ่นดินนี้ก็มีบทบาทที่จะต้องเล่นตามบทบาทของเรา วันนี้เรามี 2 มาตรการที่จะดำเนินการเพื่อจะช่วยบรรเทาปัญหาในบางจุด”

โครงการแรกได้แก่โครงการ “เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์” มอบเงินสนับสนุนรวม 300 ล้านบาท ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายบัณฑูรกล่าวว่า โครงการแรกมุ่งไปในประเด็นการต่อสู้กับโรค บุคคลากรสำคัญกลุ่มหนึ่งคือบุคคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นด่านหน้าของการสกัดไม่ให้โรคระบาดนี้ขยายตัวไปมากกว่านี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถประเมินได้ บุคคลากรกลุ่มนี้เสี่ยงภัยที่สุดต่อชีวิตของตัวเองเพราะมีโอกาสติดโรคได้ และเหนื่อยที่สุดเพราะไม่มีวันหยุด มีคนป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน

บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านสาธารณสุข เป็นกำลังหลักสำคัญในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาด้วยหัวใจที่ทุ่มเทและเสียสละ นอกจากเสี่ยงกับการติดเชื้อแล้ว โรงพยาบาลบางแห่งยังอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอีกด้วย ในขณะที่ต้องดูแลประชาชน ทุกท่านต่างก็มีภาระที่ต้องดูแลตนเองและครอบครัวให้อยู่รอดและปลอดภัยเช่นกัน

“ทุกฝ่ายชื่นชมและสนับสนุนบุคคลกรทางแพทย์ในจุดต่างๆของประเทศ ธนาคารกสิกรไทยอยากจะมีส่วนร่วมในครรลองนี้ด้วย จึงได้ยกโครงการเบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์ เพราะบุคคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดอยู่ในสนามรบซึ่งเสี่ยงตาย นอกจากการให้กำลังใจแล้ว เรายังเสนอผลตอบแทนทางการเงินด้วย เพราะบุคคลากรเหล่านี้ทำงานหนัก เป็นการเพิ่มเติมจากผลตอบแทนปกติ เพื่อนำไปใช้ในการจุนเจือครอบครัวระหว่างที่ทำงานอยู่ในแนวหน้า เป็นการขอบคุณแทนคนไทยทั้งประเทศ”นายบัณฑูรกล่าว

โครงการแรกนี้จะมุ่งไปที่จุดที่ร้อนที่สุดของประเทศไทยก่อน คือ 5 จังหวัดชายแดนใต้ มีแนวโน้มที่จะมีการระบาด จากคนเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศใน 5 จังหวัดนี้ ได้แก่ จังหวัด สงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และสตูล

โครงการ “เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์” เป็นโครงการที่ดำเนินการโดย มูลนิธิกสิกรไทยร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้รวบรวมรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าข่ายตามเกณฑ์จำนวน 45 แห่ง ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงแล้วยังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 5,083 คน ทั้งหมดเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานตั้งแต่มีการแพร่ระบาด และมีหน้าที่ในงานที่ได้สัมผัสเชื้อและดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขจนถึงวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา

มูลนิธิกสิกรไทยจะมอบเงิน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ทุ่มเทและเสียสละแม้ต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยง ผ่านโครงการ “เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์” นำร่องในโรงพยาบาลรัฐ จำนวน 45 แห่ง ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอัตราการแพร่ระบาดสูง มีบุคลากรรวม 5,083 คน โดยแต่ละคนจะได้รับเงินรายเดือนๆ ละ 4,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม

โดยคาดว่าตลอดทั้งโครงการสามารถมอบเงินช่วยเหลือได้รวมกว่า 20,000 คน ด้วยงบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อจะได้นำเงินไปใช้จ่ายตามความจำเป็น มูลนิธิกสิกรไทยจะมีกระบวนการจ่ายเงินเพื่อให้มั่นใจว่าเงินดังกล่าวถึงมือนักรบเสื้อกาวน์ได้อย่างทั่วถึง

“บุคคลากรทางการแพทย์หมายถึง หมอ พยาบาล คนที่สัมผัสกับคนใข้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ด่านแรกที่จะคัดกรองเข้ามา คนที่จะทำหน้าที่ทางเทคนิค คนขับรถพยาบาล คนขนขยะ คนทำความสะอาดถือว่าเสี่ยงทั้งนั้น คนเหล่านี้นอกจากจะได้รายได้ตามปกติและเบี้ยเสี่ยงภัยอยู่แล้ว มูลนิธิกสิกรไทยจะสนับสนุนอีกคนละ 4,000 บาทต่อเดือนเท่ากันทุกคน”นายบัณฑูรกล่าว

สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี

สำหรับโครงการที่สองได้แก่ “สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี” เพื่อให้เป็นทุนสำหรับว่าจ้างพนักงานกว่า 41,000 คน

“โครงการที่สองเป็นเรื่องของหน้าที่ของธนาคารโดยตรง เพราะธุรกิจประสบปัญหามากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจเอสเอ็มอีซึ่งอาจจะไม่มีกำลังที่จะเผชิญกับความสะดุดของการค้าขาย อีกทั้งธุรกิจเอสเอ็มอีมีทุนน้อยอยู่แล้ว แม้มีมาตรการจากภาครัฐคอยช่วยเหลืออยู่ แต่เราต้องช่วยเพิ่มเติม ให้เงินทุนหมุนเวียนในการประคองให้ธุรกิจผ่านวิกฤติไปได้” นายบัณฑูรกล่าว

นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะไม่ได้มีเงินทุนสำรองมากพอ เมื่อขาดสภาพคล่องก็จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก ธนาคารจึงได้จัดตั้งโครงการ “สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี” เป็นเงินกู้สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็กเพื่อให้สามารถจ้างพนักงานต่อไปได้ มีอัตราดอกเบี้ย 0%

สิ่งสำคัญของโครงการนี้ คือ การเข้าไปช่วยเหลือพนักงานให้ยังมีงานทำและมีเงินเดือนเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว โดยพนักงานแต่ละคนจะได้เงินคนละ 8,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ธนาคารได้เตรียมวงเงินสินเชื่อสำหรับโครงการนี้ไว้ 1,000 ล้านบาท และทำให้เกิดการจ้างงานพนักงานกว่า 41,000 คนต่อไป ธนาคารยอมสูญเสียรายได้เพื่อให้คนในสังคมส่วนหนึ่งอยู่รอด เพราะการที่ทุกคนจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คนที่มีต้องช่วยคนที่ไม่มี ถ้าทุกคนช่วยกันประเทศไทยก็จะสามารถฝ่าฟันและผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน

“การช่วยเหลือเอสเอ็มอีก็เจาะจงไปที่การช่วยเหลือคนระดับล่างของระบบซึ่งโดนผลกระทบ คือ คนที่เป็นพนักงานของธุรกิจเอสเอ็มอี ที่รายได้ไม่มาก เถ้าแก่ก็ไม่มีทุนเท่าไรนัก สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือลดคนงาน คนก็จะตกงาน โครงการนี้มีดอกเบี้ย 0% เพื่อรักษาคนงานของเอสเอ็มอี ให้มีเงินทุนในการจ้างพนักงานให้มีรายได้และอยู่รอด เงินกู้ที่เอาไปนี้ต้องเอาไปจ่ายเงินเดือนคนงาน”นายบัณฑูรกล่าว

โครงการ “สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี” เป็นการเชิญลูกค้าเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีการใช้บริการกับธนาคารมานานหลายปีเข้าร่วมโครงการเท่านั้น ซึ่งเจ้าของธุรกิจต้องเป็นคนดี เป็นนักสู้ที่พยายามต่อสู้เพื่อนำพาธุรกิจและพนักงานรอดไปด้วยกัน การช่วยเหลือภายใต้โครงการนี้ ธนาคารจะช่วยจ่ายค่าจ้างพนักงานทุกคนให้บางส่วน ธุรกิจต้องดำเนินต่อไปได้ และสามารถดูแลค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในส่วนอื่น ๆ ได้เอง โดยไม่หยุดหรือปิดกิจการ ธนาคารสนับสนุนเงินกู้เพื่อจ้างพนักงาน อัตราดอกเบี้ย 0% ฟรีค่าธรรมเนียมทุกประเภท ไม่ต้องมีหลักประกัน ระยะเวลากู้ 10 ปี และไม่ต้องผ่อนชำระคืนเงินกู้ 1 ปี เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็กมีเงินทุนในการจ้างพนักงานให้พวกเขามีรายได้และอยู่รอด

“โครงการนี้ให้เวลาไม่ต้องชำระหนี้ 1 ปี ดอกเบี้ย 0% ตลอดไป ถ้าไม่มีก็ให้เวลา 10 ปี ถ้าไม่มีเลยก็ให้เขาเลี้ยงชีวิตต่อไปได้ แต่ถ้ามีก็เอามาคืน เป็นการซื้อเวลาให้กับคนที่มีศักยภาพ หากไม่ช่วยก็จะล้มไป เพราะระบบเศรษฐกิจต้องมีธุรกิจเล็กๆ “ นายบัณฑูรกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายบัณฑูรได้ชวนนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี และนายประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการบริหาร โรงแรมในเครือกะตะกรุ๊ป ซึ่งเป็น 2 เครือโรงแรมใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยมายาวนาน มาร่วมโครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” ช่วยเหลือพนักงานที่มีรายได้น้อย ให้มีงานทำ และลดภาระหนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ในภาวะวิกฤติ

“เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” กสิกรไทยลุยจับมือผู้ประกอบการ ผนึกช่วย “พนักงาน” รอวันฟื้นใหม่

โครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” ซึ่งมีจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่องยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ได้รับการตอบรับที่ดี มีความคืบหน้าในการรักษาการจ้างพนักงานได้กว่า 2,000 คน จากที่ตั้งเป้าไว้ 3,000 คน คิดเป็นเกือบ 70% ของเป้า และธนาคารยังช่วยลดดอกเบี้ยบนเงินกู้เดิมที่ผู้ประกอบการมีกับธนาคาร คิดเป็นมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท

นายบัณฑูรกล่าวว่า เพื่อความถูกต้องและการประเมินสถานการณ์ของธนาคาร ธนาคารต้องตั้งสำรองสำหรับเงินกู้โครงการสินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี ทั้งจำนวน เพราะเป็นโจทย์หนัก และไม่ใช่ว่าทุกๆสินเชื่อจะได้เงินคืน ในสถานการณ์อย่างนี้ทุกคนแบกความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีก ผู้ประกอบการก็แบกความเสี่ยงสูงขึ้น ธนาคารพาณิชย์ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น

“ถ้าคิดแบบเดิมก็จะไม่มีใครกล้าปล่อย เพราะสถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ในยามนี้ต้องถือว่าเป็นยามไม่ปกติ เหมือนเป็นศึกสงครามทั้งประเทศ ทุกคนต้องทำในลักษณะอีกแบบหนึ่ง ใช้กติกาแบบเดิมไม่ได้ ที่จริงระบบสถาบันการเงินยังมีกำลังที่จะช่วยได้ ต่อให้เสี่ยงก็ต้องพยายาม แต่แน่นอนว่าอัตราความเสียหายจะสูงขึ้น แต่ต่อให้ปีนี้ทั้งปีกำไรของสถาบันการเงินทั้งหมดเป็นศูนย์ ทั้งจากการรองรับหนี้เสียของเก่าและของใหม่ด้วย สถาบันการเงินก็รับได้ เพราะทุนยังอยู่” นายบัณฑูรกล่าว

พร้อมย้ำว่า”ภายใต้ในภาวะที่เปรียบเสมือนศึกสงคราม อันนี้คือส่วนหนึ่งของความยั่งยืน ระยะสั้นไม่ฟื้นจะมีระยะยาวได้อย่างไร ความยั่งยืนหมายความว่า อดผลประโยชน์เฉพาะหน้า เพื่อมีอนาคตที่ดีกว่า แลกประโยชน์เฉพาะหน้าเพื่อให้ประเทศไปได้ และไปเอาผลประโยชน์ระยะยาว”นายบัณฑูรกล่าว