ThaiPublica > คนในข่าว > “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” กสิกรไทยลุยจับมือผู้ประกอบการ ผนึกช่วย “พนักงาน” รอวันฟื้นใหม่

“เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” กสิกรไทยลุยจับมือผู้ประกอบการ ผนึกช่วย “พนักงาน” รอวันฟื้นใหม่

19 เมษายน 2020


“ที่ประเทศไทยยังดีอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะประเทศนี้ยังมีการ “ให้” กันอยู่..คนที่มีกำลังทรัพย์ กำลังปัญญา ต้องช่วยคนที่อยู่ระดับล่าง ๆ ให้มากที่สุด..คนที่มี ต้องให้คนที่ไม่มี”

“ผมยังจำพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวที่อยู่บนฟ้าเคยรับสั่งได้” นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus) ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในการแถลงข่าว โครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ”

พร้อมย้ำว่า “ในวิกฤติที่เป็นความหายนะทั่วหน้า ระหว่างที่จะกลับไปสู่ปกติ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประคองคนที่อยู่ในระดับล่างที่สุด”

นายบัณฑูรได้ชวนนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี และนายประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการบริหาร โรงแรมในเครือกะตะกรุ๊ป ซึ่งเป็น 2 เครือโรงแรมใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยมายาวนาน มาร่วมโครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” ช่วยเหลือพนักงานที่มีรายได้น้อย ให้มีงานทำ และลดภาระหนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ในภาวะวิกฤติ

“เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” เป็นโครงการที่มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือพนักงานที่มีรายได้น้อยให้สามารถอยู่รอดได้ ในสถานการณ์ตอนนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารและธุรกิจ ด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยให้มีกำลังจ้างพนักงานให้มีงานทำต่อเนื่อง มีรายได้ พร้อมช่วยลดภาระหนี้ต่าง ๆ”

โดยนำร่องด้วยโรงแรมในเครือกะตะธานี และเครือกะตะกรุ๊ป ในฐานะ “เถ้าแก่” และธนาคารกสิกรไทยในฐานะ “เจ้าหนี้”

การแถลงข่าวเปิด โครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” นายบัณฑูรกล่าวว่า จากโรคระบาดเล็กๆ ในที่สุดกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ เป็นโจทย์ที่หนีไม่พ้นทุกประเทศต้องเผชิญกับผลกระทบต่อประชาชน นอกเหนือจากด้านสุขภาพแล้ว ธุรกิจที่ต้องหยุดนิ่งมีผลกระทบทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ภาคการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญมา เมื่อมีโรคระบาด ลูกค้าไม่สามารถเดินทางได้ รายได้ก็สูญในทันที

วิกฤติครั้งนี้เมื่อ รายได้ธุรกิจท่องเที่ยวไม่เกิดขึ้น คนที่ได้รับผลกระทบตามปกติของระบบทุนนิยมคือ คนที่อยู่ล่างสุดของเศรษฐกิจคือคนที่มีรายได้ 10,000-15,000 บาทที่มีปัญหา ตามปกติเมื่อไม่มีรายได้เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ลดค่าใช้จ่าย เมื่อไม่มีรายได้ วิธีที่สะดวกที่สุดคือลดพนักงาน เพราะไม่สามารถจ่ายได้ เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ธุรกิจเล็กล้มทั้งเจ้าของและล้มทั้งพนักงาน แต่ธุรกิจใหญ่บางรายเจ้าของธุรกิจยังมีกำลังอยู่

“ในกรณี ทั้งคุณสมบัติและคุณประมุขพิสิฐ ได้สะสมทุนไว้ขั้นหนึ่งแล้ว ประสบความสำเร็จในชีวิตของการทำธุรกิจ จึงนำมาซึ่งโครงการในวันนี้ ที่คิดกันว่าถ้าเราจะช่วยในการที่ให้ประเทศ และประชาชนฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ คนกลุ่มแรกที่ต้องช่วยคือ คนกลุ่มที่ตก งานทันที ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายไว้แล้วและประเมินว่ามี 10 ล้านคน เป็นคนที่อยู่ในระดับล่างของระบบเศรษฐกิจ ถ้าคนเหล่านี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือจะะต้องตกงานทันที รายได้หายทันทีจะไม่มีกิน” นายบัณฑูรกล่าว

นายบัณฑูรกล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมทั้งสองแห่ง แทนที่จะไปตามครรลองธุรกิจตามปกติ คือ ปลดพนักงานจะได้ไม่เป็นภาระ ก็ไม่ทำ แต่ตั้งโจทย์ว่าจะเก็บพนักงานไว้ ตั้งใจว่าช่วยพนักงานที่มีรายได้สัก 10,000 บาทต่อเดือน จะได้เงินไปหล่อเลี้ยงชีวิตของเขา
โดยแบ่งภาระกันคนละครึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหนี้คือ ธนาคารกสิกรไทยซึ่งตามสัญญาเงินกู้ปกติจะได้รับดอกเบี้ย ก็ตัดลดดอกเบี้ยให้เถ้าแก่ไปเลย 5,000 บาท แล้วเถ้าแก่เอาเงินส่วนนี้ไปจ่ายพนักงาน ซึ่งเมื่อรวมกับอีกครึ่งที่เถ้าแก่ต้องจ่ายอยู่แล้ว ก็จะทำให้พนักงานได้รับเงินเท่าเดิม ดังนั้นก็เท่ากับว่าใน 10,000 บาท เจ้าหนี้กับเถ้าแก่ร่วมกันคนละครึ่งรักษาชีวิตพนักงานไว้ได้หนึ่งคน

“ผมต้องขอบคุณ สองนายหัวใหญ่ในภูเก็ตที่บุกเบิกธุรกิจด้านนี้ในภูเก็ต รู้จักกันมากว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจด้านท่องเที่ยวใหม่ๆในภูเก็ต จนเป็นเถ้าแก่ใหญ่ในวงการ แต่ละฝ่ายก็ทำตามกำลัง ทำตามกำลังที่เราจะทำได้” นายบัณฑูรกล่าวและว่า วิธีการนี้ไม่มีอะไรยาก ธุรกิจใหญ่ที่ยังมีกำลัง ร่วมกับเจ้าหนี้ซึ่งจะเรียกเก็บดอกเบี้ยกับเจ้าของ ต่างฝ่ายต่างยกเลิกรายได้นี้ และยกไปให้กับพนักงานที่อยู่ล่างสุด”

“สำหรับโครงการนี้ เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ เกิดขึ้นได้ เพราะมีองค์ประกอบที่สามารถทำได้คือ หนึ่ง มีเถ้าแก่ใจดี มีคุณธรรม ที่ผมไปชักชวนมา แล้วสองมีเจ้าหนี้มีกำลัง มีทุนที่จะตัดกำไรส่วนหนึ่งไปเลย”

นายบัณฑูรกล่าวต่อว่า “ทั้งคุณสมบัติและคุณประมุขพิสิฐ เป็นองค์ประกอบที่จะทำอย่างนี้ได้ ธนาคารกสิกรไทยมีกำลังขั้นหนึ่ง แทงสูญในรายได้ที่พึงจะได้ไปเลย เถ้าแก่ก็แทงสูญในส่วนทุนของตัวเองไป เพื่อรักษาคนระดับล่างที่สุดของระบบเศรษฐกิจให้มีชีวิตรอดได้อีกหนึ่งคน”

นายบัณฑูรกล่าวว่า โครงการนี้โปร่งใสชัดเจน เพราะบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้ใช้ระบบจ่ายเงินเดือนพนักงานผ่านแบงก์ ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าพนักงานยังอยู่และได้เงินเท่าเดิม

ในจังหวัดภูเก็ตมีผู้ประกอบการ 127 รายที่สามารถเข้าร่วมโครงการ ซึ่งธนาคารใช้งบประมาณช่วยเหลือ 100 ล้านบาท ตั้งเป้าช่วยพนักงาน 3,000 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน และเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ โดยตั้งเป้าใช้งบทั้งโครงการราว 500 ล้านบาท ช่วยพนักงาน 15,000 คน

“สำหรับจังหวัดภูเก็ต ผมประเมินแล้วว่ามีลูกค้าลักษณะนี้ประมาณ 100 รายที่จะคุยได้ ผมกะว่าของทั้งภูเก็ต จะช่วยพนักงานได้ประมาณ 3,000 คน เป็นเวลา 6 เดือน เพราะสถานการณ์จะยืดยาวไม่ฟื้นเร็ว ภาคท่องเที่ยวว่าจะเริ่มใหม่อย่างน้อย 6 เดือน ในส่วนของธนาคาร 3,000 คน คนละ 5,000 บาท เวลา 6 เดือน ก็เป็นเงินราว 100 ล้านบาท เถ้าแก่ที่เราจะไปชวนมา ก็จะใช้เงินประมาณนั้นเหมือนกัน แต่ต้องประเมินได้ว่าเงินนั้นไปถึงพนักงานจริง” นายบัณฑูรกล่าว

“ผมตั้งงบเอาไว้ 500 ล้านบาท ถ้าทำทั่วประเทศก็น่าจะรักษาชีวิตพนักงานได้ 15,000 คน เงิน 500 ล้านบาทนี้ตัดออกมาจากรายได้ของธนาคาร นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีรูปแบบความช่วยเหลืออื่นๆที่ระบบธนาคารพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือต่อไป” นายบัณฑูรกล่าว

ธนาคารพาณิชย์ทุนแกร่งรับแรงกระแทกได้

นายบัณฑูรกล่าวต่อว่า วิกฤติเศรษฐกิจในที่สุดก็ลงที่ระบบธนาคาร แต่ธนาคารได้ตุนเงินทุนไว้อย่างแข็งแกร่งในช่วงกว่า 25 ปีที่ผ่านมา ในรอบนี้จึงสามารถรับแรงกระแทกได้ ตัวเลขกำไรอย่าไปคาดหวังมาก

สำหรับโครงการที่ทำ 500 ล้านบาท ถือว่าเป็นส่วนเล็ก ยังมีโครงการใหญ่ที่รัฐบาลให้ปล่อยกู้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็กเอสเอ็มอี ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ โดยมีนโยบายว่า ถ้าเสียหายรัฐรับ 70% ธนาคารพาณิชย์รับ 30% จากเหตุการณ์ที่เคยเห็นมาในภาวะอย่างนี้ หนี้เสียจะมีจำนวนไม่น้อย เพราะการค้าขายยังไม่เกิด เงินกู้ที่ได้ไปก็ไม่ได้ใช้ในการผลิต แต่เอาไปเลี้ยงชีวิตของคนที่อยู่ในธุรกิจ เป็นเรื่องสำคัญ

อย่างไรก็ตามวิกฤติจะนานแค่ไหน มี 2-3 ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง หนึ่งคือ ต้องสกัดการแพร่ระบาดของโรคได้ ไม่มีการระบาดเพิ่ม มียากิน ทางการแพทย์คงหาคำตอบได้ และต้องใช้เวลากว่าการค้าขายจะกลับมา ที่สำคัญกว่านั้น การฟื้นแบบเร็ว แบบ 20 กว่าปีที่ผ่านมานั้นไม่ง่าย เพราะมีความยากในการแข่งขัน

ดังนั้นองค์ความรู้ใหม่ในการทำมาหากินที่ประเทศไทยต้องให้ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ ทำแบบเดิมไม่พอกิน ฟื้นเร็วหรือช้าอยู่ที่โรคถูกสกัด และต้องมีความสามารถในการทำธุรกิจที่ก้าวหน้าไปกว่าเดิม ถึงจะดึงความมั่งคั่งกลับคืนมาได้

กะตะธานีเผยพนักงานเตรียมแผนรับมือสู้

นายสมบัติกล่าวว่า โครงการนี้เกิดขึ้นเพราะแบงก์เองก็มีความคิดที่จะช่วยลูกค้า ลูกค้าเองก็มีความคิด มีความพร้อมที่จะต้องช่วยตัวเองก่อน วิกฤติเที่ยวนี้ถือว่ายาก เพราะเป็นโรคระบาดทั่วโลก ไม่เหมือนสึนามิที่สามารถฟื้นฟูโดยเร็ว และจากการพูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการ ก่อนหน้านี้อยู่ในช่วงสับสน รอดูว่ารัฐบาลจะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไร และดูตัวเองว่ามีเงินทุนไว้สู้วิกฤติไว้มากน้อยแค่ไหน

สำหรับเครือกะตะธานี มีโรงแรม ที่ภูเก็ต พังงา เชียงราย มีพนักงานรวม 1,800 คน ในการบริหารจัดการได้ยึด กะตะธานีโมเดล รูปแบบการบริหารจัดการของตัวเองที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน มีปรัชญาการจัดการ สร้างคน มีการเตรียมพร้อม ทำให้ทุกคนร่วมคิดร่วมทำร่วมกันออกแบบ โปร่งใส ทำให้องค์กรมีความพร้อม เพราะโมเดลเน้นเชิงป้องกันไม่ใช่แก้ปัญหา ถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้ปัญหาในระบบ ต้องมีสถิติข้อมูลมาแก้ปัญหา กะตะธานีพร้อมแม้มีโควิด เพราะพนักงานทุกคนพร้อม

“ผมถามเขาว่าจะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าสถานการณ์ลากยาว พนักงานเตรียมแผนทันที บอกว่าเราจะให้พนักงานเราอยู่ได้ หนึ่ง อยู่ด้วยการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ สอง ป้องกันแขกไม่ให้ติดเชื้อด้วย มีแผนป้องกันให้พร้อม ผมเลยสบายใจและได้ประกาศกับพนักงานทุกคนของเครือกะตะธานี เมื่อวันที่ 21 มีนาคมว่าจะไม่ลดพนักงาน รายได้ เงินเดือน สวัสดิการเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมตัดสินใจตอนนั้น เพราะทุกคนพร้อมสู้ และมีแผน เพราะแขกของเราในโรงแรมไม่อยากกลับ เราจึงเตรียมแผน วันนี้กะตะธานีจึงประกาศเราอยู่ได้ทุกคนอยู่ได้ไม่ตกงาน เท่ากับว่า เราคือเขา เขาคือเรา ถ้าจะตกงานต้องตกงานด้วยกัน” นายสมบัติกล่าว

“ผมต้องขอบคุณบัณฑูร ผมเรียนรู้จากคุณบัณฑูร เมื่อ 30 ปีก่อนเป็นคนจุดประกายการปฏิรูปธนาคารเพื่อนำพากสิกรไทยไปสู่ธนาคารที่ทันสมัย ผมจึงประกาศต่อหน้าพนักงาน ว่าเรามาสร้างปรัชญาการบริหาร ในชื่อ กะตะธานีโมเดลขึ้นมา ใช้เวลากว่า 20 ปี ผมใช้แนวทางคุณบัณฑูรในการสร้างความมั่นคง ยั่งยืนในกับธุรกิจ ทำให้องค์กรเป็นองค์กรที่มีความสุข พวกเราที่อยู่ในธุรกิจมีความเจริญก้าวหน้าไปด้วยกันเป็นนครอบครัวเดียวกัน”

นายสมบัติกล่าวต่อว่า“วันนี้เราได้เอาโมเดลกะตะธานีไปใส่พนักงานทุกคน ในโมเดล มี 3 เรื่องหลัก จริยธรรม ปัญญา สปิริต สอนให้คนอย่ามองแต่ตัวเรา แยกแยะส่วนตนและส่วนรวมให้ชัดเจน มองประเทศชาตินอกจากองค์กร สูงสุดของคน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทุกอย่างต้องบ่มเพาะเพื่อให้องค์กรเราเข้มแข็งได้ วันนี้กะตะธานีเข้มแข็ง ทุกคน และจะต่อสู้ต่อไป ข้างหน้าคงไม่ยาก และเราพร้อม”

นายสมบัติกล่าวว่า การที่คุณบัณฑูรยื่นมือมาช่วยเหลือเป็นการเตือนว่าเราเองต้องตระหนัก ต้องออกแรงพอสมควร เพราะวิกฤติเที่ยวนี้ไม่ใช่สั้น แต่ยาว จะนั่งรอเจ้าหนี้ใจดีอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดแผนข้างหน้า

สำหรับวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้สถานการณ์จะลากยาวไม่ใช่ 3-6 เดือน เพราะกระทบชีวิตและวิถีชีวิตคนทั่วโลก กว่าจะฟื้นฟูไม่ใช่ 3 เดือน คนไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน อีกทั้งโรคโควิดโรคติดต่อทางลมหายใจ ถ้าจะมีการหยุด ต้องมีวัคซีน และมียารักษาโรค ในช่วง 3-6 เดือนจะมีเพียง antibody เท่านั้นสำหรับคนติดเชื้อแล้ว ดูแล้วน่าจะกินเวลา 18 เดือน ซึ่งในช่วง 18 เดือนนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีแขกมาพักเลย ในช่วง 3 เดือนแรกไม่มีแขกเลย ในช่วง 6 เดือนเริ่มมีบ้าง แต่ปีหน้าต้องทำใจไม่มีกำไร ธุรกิจที่บริหารได้เสมอตัวถือว่าเก่งมาก

นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ยังวิตก สับสน การเยียวยาจากรัฐบาลออกมาแล้ว ก็ควรตั้งหลักตั้งสติ หาความรู้ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นเพื่อตั้งหลัก เดินหน้าต่อในอนาคตได้ รวมทั้งต่อสู้รวมตัวเพื่อการท่องเที่ยวที่ยังยืน

กะตะกรุ๊ปชี้พนักงานคือทรัพย์สินมีคุณค่า

ด้านนายประมุขพิสิฐกล่าวว่า วิกฤติครั้งนี้ค่อนข้างหนัก กะตะกรุ๊ปก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2523 ปีนี้ย่างเข้าสู่ปีที่ 41 ตลอดระยะเวลา 30 ปีนี้ได้มีการขยายโรงแรมมาต่อเนื่อง ได้ประสบปัญหา วิกฤติทั้งในและต่างประเทศ เช่น โรคซาร์ส ไข้หวัดนก ตึกเวิลด์เทรดถล่ม สึนามิ ซึ่งช่วงสึนามิที่เกิดขึ้นในปี 2547 เป็นภัยธรรมชาติ เมื่อเทียบกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกรุนแรงกว่าไทยมาก ดังนั้นสึนามิที่เกิดขึ้นในไทยถูกมองว่า เป็นมุมเล็กๆของโลก ชีวิตและทรัพย์สินเสียหาย ไม่ใช่โรคติดต่อ ประเทศไทยช่วงนีั้นฟื้นตัวเร็วมาก นักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาไทยจึงกลับมาหลายรอบเพราะบอกว่าประเทศไทยต้องการเพื่อนจึงเดินทางมาหาเพื่อน การเดินทางเป็นไปตามปกติ เนื่องจากประเทศอื่นไม่เสียหาย ใช้เวลา 2-3 เดือน ก็กลับมาเป็นปกติ

“แต่วิกฤติครั้งนี้ใหญ่มาก เพราะเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ประเทศที่เกิดโรคโควิด เป็นลูกค้าประจำของเครือกะตะกรุ๊ป ทั้งฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ ออสเตรีย ยุโรปทั้งแถบ ลูกค้าประจำที่กลับมาหลายรอบ ผู้บริหารของกะตะกรุ๊ปจึงได้หารือกัน และคาดว่าสถานการณ์นี้ใช้เวลานานพอควรอย่างน้อย 1.5-2 ปี ช่วงนั้นเราค่อนข้างเครียดว่าจะจัดการกับกระแสเงินกับพนักงานอย่างไร หลักคุณธรรมของกะตะกรุ๊ป คือ ไม่ปล่อยให้ลูกน้องอยู่ข้างหลัง เราไปไหนก็ไปด้วยกัน เราลำบากก็ลำบากด้วยกัน เรามีความสุขเสพสุขด้วยกัน”นายประมุขพิสิฐกล่าว

นายประมุขพิสิฐกล่าวต่อว่า “คุณบัณฑูรเป็นผู้เสนอมา ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงติดต่อกับผมบอกว่า สิ่งที่สำคัญที่คุณบัณฑูรเป็นห่วงมาก คือ พนักงาน พอพูดถึงพนักงานผมมีความมั่นใจว่า คุณบัณฑูร เป็นคนที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง ไม่มีธนาคารไหนที่จะพูดถึงพนักงานระดับล่าง เป็นสิ่งทำให้ผมโล่งอก ถ้าธนาคารไม่เข้ามาช่วยเหลือส่วนหนึ่ง ถ้าสถานการณ์ยืดยาวไปมีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน ในช่วง 1-1.5 ปีเราต้องพยายามรักษาพนักงานให้เดือดร้อนน้อยที่สุด”นายประมุขพิสิฐกล่าว

“สิ่งที่คุณบัณฑูรได้ทำขึ้นมาเป็นการลบล้างอมตะวาจาตัั้งแต่หลายสิบปีที่แล้วว่า ธนาคารจะยื่นร่มให้เมื่อแดดออก แต่เมื่อฝนมาธนาคารจะชักร่มกลับ”

นายประมุขพิสิฐกล่าวว่า การที่ต้องดูแลพนักงานเนื่องจากเป็นเชนท้องถิ่น มีการดูแลพนักงานเหมือนลูกหลาน ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติอะไรขึ้น มั่นใจว่าธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอยู่กับเวลา พนักงานทุกคนเป็นสินทรัพย์ที่ทรงคุณค่า ที่โรงแรมได้ทุ่มเทฝึกสอนมานาน และได้ทำงานกับโรงแรมมานาน ในช่วงวิกฤติการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพให้พนักงานอยู่ได้ เมื่อถึงเวลาเปิดโรงแรมในอีกหลายเดือนข้างหน้า ก็เรียกพนักงานกลับมา ทำงานต่ออย่างราบรื่นไม่ต้องฝึกใหม่ เนื่องจากรู้หน้าที่อยู่แล้ว

“การกลับมาครั้งนี้ เขาจะกลับมาด้วยความกระตือรือร้น ด้วยความซื่อสัตย์ มุ่งมั่น ทุ่มเท เพราะรู้แล้วช่วงวิกฤติเจ้านายยังโอบอุ้ม ไม่ให้เดือดร้อน ได้ใจเขา เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นความสามารถของเจ้าของธุรกิจไม่เท่ากัน แต่หากสามารถรักษาพนักงานไว้ได้ โดยให้ค่าครองชีพได้ระยะหนึ่ง ควรจะต้องทำ”นายประมุขพิสิฐกล่าว

นายประมุขพิสิฐกล่าวว่า ก่อนได้รับข้อเสนอจากธนาคารกสิกรไทย ผู้บริหารของเครือได้มีการวางแผน เตรียมกระแสเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อคุณบัณฑูรเสนอเข้าทำมาส่วนหนึ่งให้เครือมั่นคง แข็งแรงขึ้น ยืนได้นานขึ้น โรงแรมเครือกะตะกรุ๊ปมีพนักงานเกือบ 2,000 คน ทั้งโรงแรมเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เขาหลัก จ.พังงา กระบี่ ภูเก็ตรวมทั้งหมด 8 แห่ง เป็นภาระหนักอยู่เหมือนกัน แต่ค่อนข้างโชคดีเพราะพนักงานอยู่กันมายาวนาน พนักงานส่วนนี้เป็นองคาพยพที่เข้มแข็งช่วยเราได้

นายประมุขพิสิฐกล่าวเพิ่มเติมว่า กะตะกรุ๊ปได้สั่งปิดโรงแรมทั้งหมด เพราะอ่านสถานการณ์ออกว่า แม้จะมีแขกเหลือประมาณ 10-20% ก็ขาดทุนในปลายเดือนมีนาคมจึงได้แจ้งเอเย่นต์ ปิดโรงแรมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน และให้พนักงานระดับธรรมดากลับบ้าน และให้หัวหน้าแผนก 24 คนเฝ้าโรงแรมแต่ละแห่ง พนักงานระดับธรรมดา รายได้ไม่ได้ลดเหมือนเดิมทุกอย่าง ระดับสูงอาจจะกระทบบ้างเล็กน้อย

“เมื่อได้รับการเสนอจากคุณบัณฑูร ทำให้เรายิ่งมั่นใจหายเครียดขึ้นเยอะ เพราะเราไม่สามารถพูดได้ว่าอีกกี่เดือนสถานการณ์จะดีขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยวไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อยู่ที่ความมั่นใจ เราคุมได้ ก็มั่นใจว่าธุรกิจท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้น และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ภูเก็ตล้ม หากภูเก็ตมีปัญหา ประเทศก็จะมีปัญหา ภูเก็ตเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ เราต้องยอมรับว่าประเทศไทยอย่างอื่นสู้เขาไม่ได้ แต่การบริการเราเป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร ไม่มีใครจะไม่กลับมา ธุรกิจท่องเที่ยว ถ้ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์และดูแลจริง ยกเป็นวาระแห่งชาติ เชื่อว่าการท่องเที่ยวไทยไปได้อีกยาวไกล”

นายประมุขพิสิฐกล่าวว่า วิกฤติครั้งนี้เชื่อว่าทำให้ทกุคนทุกธุรกิจไตร่ตรอง ชะลอความมุ่งมั่นของตัวเอง หลังผ่านพ้นวิกฤติไปได้ คนจะปรับเปลี่ยนวิธีการคิด วิธีการใช้ชีวิต นึกถึงคำสอนของรัชกาลที่ 9 ที่ให้ใช้ชีวิตพอเพียง