ThaiPublica > เกาะกระแส > ธ.ก.ส. ชู “สินเชื่อ New Gen รักบ้านเกิด” 1.5 แสนล้าน รับมือ New Normal

ธ.ก.ส. ชู “สินเชื่อ New Gen รักบ้านเกิด” 1.5 แสนล้าน รับมือ New Normal

13 พฤษภาคม 2020


ธ.ก.ส. ชงคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ขอใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก 5.5 หมื่นล้านบาท ผสมสินเชื่อ New Gen รักบ้านเกิด วงเงิน 1 แสนล้านบาท ลุยปล่อยกู้สร้างงาน-อาชีพในชนบท รองรับแรงงานกลับบ้านเกิด

หลังจากที่ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 1 ล้านบาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2563 เป็นต้นมา ตามกรอบของกฎหมายได้แบ่งการใช้จ่ายเงินกู้ออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและเกษตรกร และด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 วงเงิน 600,000 ล้านบาท และ 2. ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับพื้นที่วงเงิน 400,000 ล้านบาท

  • รัฐเยียวยาโควิด-19 เฟส 3 ใช้เงินกู้-ซอฟต์โลน อุ้ม 1.9 ล้านล้าน
  • โดยภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินเป็นลำดับแรกคือ การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก โดยการจ่ายเงินเยียวยาคนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เข้าไปหล่อเลี้ยงกลุ่มอาชีพอิสระ 16 ล้านคน และเกษตรกรอีก 10 ล้านคน โดยใช้แหล่งเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินฯ ประมาณ 390,000 ล้านบาท คู่ขนานไปกับภารกิจที่ 2 เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในระดับพื้นที่วงเงิน 400,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับพื้นที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ยกระดับการค้า การผลิต การตลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ นำไปสู่พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

    นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

    ล่าสุด ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เตรียมทำเรื่องเสนอต่อ “คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้” ที่มีเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ เป็นประธานคณะกรรมการ ขอใช้เงิน พ.ร.ก.กู้เงินฯ จำนวน 55,000 ล้านบาท จัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก” เพื่อนำเงินทุนปลอดดอกเบี้ยมาร่วมสมทบกับ “สินเชื่อ New Gen รักบ้านเกิด” ของ ธ.ก.ส. โดยนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่าหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงจนนำไปสู่ความปกติรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า “New Normal” คาดว่าจะมีแรงงานจำนวนมากเดินทางกลับที่บ้านเกิด ทาง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จึงสั่งการให้ ธ.ก.ส. จัดหามาตรการสินเชื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว โดยให้เน้นความสำคัญในเรื่องการสร้างงาน สร้างรายได้ และปฏิรูปภาคการเกษตรให้กับคนในชนบท เป็นหลักการสำคัญ

    ต่อมา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ธ.ก.ส. ได้นำเสนอโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากและแก้ปัญหาภัยแล้งต่อที่ประชุมบอร์ด ธ.ก.ส. ที่มี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ รับทราบหลักการในเบื้องต้น โดย ธ.ก.ส. จะทำเรื่องขอใช้เงินกู้วงเงิน 55,000 ล้านบาท เสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาอนุมัติ จัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก” เพื่อนำเงินมาสมทบกับ “โครงการสินเชื่อ New Gen รักบ้านเกิด” วงเงิน 100,000 ล้านบาท ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ “ซอฟต์โลน” ให้กับเกษตรกร 3 ระดับ คือ กลุ่มแรก ปล่อยกู้เป็นรายบุคคล รายละ 30,000-50,000 ส่วนนี้ไม่ได้ใช้เงินกู้ หรือ งบประมาณจากรัฐบาลมาสนับสนุน โดย ธ.ก.ส. จะเชิญชวนเกษตรกรหรือลูกหลานเกษตรกรที่เดินทางกลับบ้านเกิดเข้าร่วมโครงการ 459 ที่สาขาของ ธ.ก.ส. เรียนรู้หลักสูตรต่างๆ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือ ฝึกอบรมอาชีพแบบง่ายๆ มีให้เลือกหลายหลักสูตร เช่น ปลูกผัก เลี้ยงกบ เลี้ยงปลาในบ่อซีเมนต์

    กลุ่มที่ 2 สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำแก่กลุ่มเกษตรกร หรือวิสาหกิจชุมชนที่มีความเข้มแข็ง เพื่อใช้เป็นแกนนำในการจ้างแรงงานที่เดินทางกลับบ้านเกิดเข้าไปทำงาน หรือ ว่าจ้างให้ผลิตสินค้า โดย ธ.ก.ส. จะให้การสนับสนุนเงินทุน ยกตัวอย่าง กลุ่มเกษตรกรหรือวิสาหกิจชุมชน ต้องการ 100,000 บาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนจ่ายค่าจ้างแรงงาน หรือซื้อปัจจัยการผลิต ธ.ก.ส. ก็จะจัดวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 50,000 บาท สมทบกับเงินกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอีก 50,000 บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เกษตรกรได้รับสนับสนุนเงินกู้ในต้นทุนที่ต่ำมากๆ แต่ถ้าวิสาหกิจชุมชนต้องการลงทุนสร้างห้องเย็น 1 ล้านบาท ธ.ก.ส. ก็จะเข้าไปช่วยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 500,000 บาท สมทบกับเงินกองทุนฯ อีก 500,000 บาท เป็นต้น

    “ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ทำงานร่วมกันในเครือข่ายเกษตรกรหลายแห่ง เช่น เครือข่ายสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทย จัดทำแพลตฟอร์มสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกัน ทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และเครือข่ายระดับจังหวัด ซึ่งเราเตรียมแผนงานไว้เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะนำมาขยายผลต่อยอดให้เกิดความยั่งยืนต่อไป” นายอภิรมย์กล่าว

    กลุ่มที่ 3 สถาบันเกษตรกร เครือข่ายของเกษตรกรระดับจังหวัด และสหกรณ์การเกษตร กลุ่มนี้ ธ.ก.ส. ปล่อยกู้ไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายกิจการ เช่น ลงทุนซื้อรถไถ โดรนเพื่อการเกษตร เครื่องสีและอบข้าว โดยแหล่งเงินที่นำมาใช้ในการปล่อยอยู่ภายใต้หลักการเดียวกัน คือใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากไม่เกิน 50% ของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติ ที่เหลือใช้วงเงินสินเชื่อปกติของ ธ.ก.ส.

    “ตามแผนงานที่กำหนดไว้จะมีการนำเสนอรายละเอียดของโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากและแก้ปัญหาภัยแล้งให้ที่ประชุมบอร์ด ธ.ก.ส. พิจารณาอนุมัติภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จากนั้น ธ.ก.ส. ก็ต้องทำเรื่องเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้อนุมัติ และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายน 2563” นายอภิรมย์กล่าว

    นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์

    ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมส่งเสริมสหกรณ์ร่วมกับ ธ.ก.ส. เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรประมาณ 2 โครงการ คือ โครงการยกระดับการแปรรูปสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร กับ โครงการพาลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน ผ่านเครือข่ายสหกรณ์การเกษตรที่เข้มแข็งประมาณ 1,000 แห่งจากทั้งหมด 3,000 แห่ง ขณะนี้มีสหกรณ์การเกษตรประมาณ 300 แห่ง เริ่มส่งลูกหลานของสมาชิกสหกรณ์การเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่มีที่ดินทำกิน เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรบ่มเพาะอาชีพกับ ธ.ก.ส. แล้ว

    “เดิมทีคนกลุ่มนี้ไม่กล้าตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาประกอบอาชีพเกษตรกร เพราะไม่แน่ใจว่าจะไปรอดหรือไม่ แต่เมื่อจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตอนนี้มีลูกหลานเกษตรจำนวนมากตัดสินใจกลับมาทำงานบ้านเกิด และก็มีลูกหลานเกษตรกรที่ผ่านการฝึกอบรมอาชีพจาก ธ.ก.ส. แล้วเกิดความมั่นใจ พร้อมที่จะเริ่มต้นการใช้ชีวิตใหม่ ทาง ธ.ก.ส. ก็จะให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพ” นายพิเชษฐ์กล่าว