ThaiPublica > เกาะกระแส > “เซ็นทรัล รีเทล” เคาะ IPO 40 – 43 บาท/หุ้น มูลค่า 7.4-7.9 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย

“เซ็นทรัล รีเทล” เคาะ IPO 40 – 43 บาท/หุ้น มูลค่า 7.4-7.9 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย

23 มกราคม 2020


“เซ็นทรัล รีเทล” เคาะราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 40 – 43 บาทต่อหุ้น มูลค่าเสนอขาย 7.4-7.9 หมื่นล้านบาท IPO ที่มีมูลค่าการระดมทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย และ IPO บริษัทค้าปลีกที่มีการเสนอขายสูงที่สุดทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2550 นักลงทุนสถาบัน Cornerstone สนใจจองซื้อกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าเสนอขาย IPO

บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ “เซ็นทรัล รีเทล” หรือ “CRC” เดินหน้าแผนการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 1,860.1 ล้านหุ้น (รวมกำหนดช่วงราคาเสนอขายที่ 40 – 43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม ประมาณ 74,404 – 79,984 ล้านบาท นับเป็นการเสนอขายหุ้น IPO ที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ จำนวนรวม 11 ราย ซึ่งนักลงทุนสถาบันดังกล่าวลงนามในสัญญาลงทุนในหุ้นกับ CRC เพื่อเป็น Cornerstone Investors คิดเป็นจำนวนหุ้นรวม 560.6 ล้านหุ้น หรือกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนหุ้นที่จะเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้ (ไม่รวมหุ้นเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ ROBINS และหุ้นส่วนเกิน) พร้อมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้น CRC ได้ในระหว่างวันที่ 29 – 31 มกราคม และวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC)

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดเผยว่า หุ้น CRC ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศรวม 11 ราย สนใจเข้าร่วมลงทุนเป็น Cornerstone Investors ของ CRC โดยมีมูลค่าของการเสนอขายหุ้น IPO รวมกว่า 24,000 ล้านบาทเมื่อคิดจากราคาเสนอขายสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย หรือกว่าร้อยละ 60% ของจำนวนหุ้น IPO ในครั้งนี้ และถือว่าเป็นหุ้น IPO ที่มี Cornerstone Investors ขอจองซื้อก่อนในมูลค่าสูงที่สุดในตลาดทุนไทยเท่าที่เคยมีมา

ทั้งนี้ Cornerstone Investors ของ CRC ประกอบด้วยนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศที่มีชื่อเสียง เช่น กองทุนต่าง ๆ ภายใต้คำแนะนำของ Capital Research Management Company, GIC Private Limited, Kaizen I Ltd. Kaizen II Ltd. Kaizen III Ltd. และ Baldr King Fund Inc., Avanda Investment Management และ Tudor Systematic Tactical Trading L.P. รวมถึงนักลงทุนสถาบันชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ บลจ. ไทยพาณิชย์ บลจ. บัวหลวง บลจ. กสิกรไทย บลจ. อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) บลจ. ทิสโก้ และ บลจ. ธนชาต

นอกจากมูลค่าเสนอขายหุ้น IPO ของ CRC จะมีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ยังนับได้ว่าเป็นการเสนอขายหุ้น IPO ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่าสูงที่สุดทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของ CRC ในฐานะบริษัทค้าปลีกไทยที่สามารถสร้างสถิติการระดมทุนได้ในระดับโลก และเมื่อนับมูลค่าตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแคปของหุ้น CRC ที่ช่วงราคาเสนอขายดังกล่าว หุ้น CRC มีโอกาสที่จะได้จัดอยู่ในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดเสริมในการพิจารณาลงทุนสำหรับนักลงทุน นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและความสามารถในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของ CRC พร้อมทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าตลาดรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่นอกจากจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนให้คึกคักยิ่งขึ้น ยังจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจากแผนการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนเพิ่มเติมอีกด้วย

ในการเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ CRC มีวัตถุประสงค์การใช้เงินทุนเพื่อการขยายสาขาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงการปรับปรุงสาขาต่าง ๆ อาทิ 1. การขยายสาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ 2. การขยายสาขาของไทวัสดุ 3. การขยายสาขาของบิ๊กซี/GO! ในประเทศเวียดนาม 4. การปรับปรุงสาขาต่าง ๆ ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ และเพื่อการชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เพื่อโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมุ่งขยายความสำเร็จในระดับโลกอย่างมั่นคงในระยะยาว

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2561 CRC มีรายได้รวม 206,575 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 8.3 (2559 – 2561) และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานต่อเนื่อง 11,105 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 CRC มีรายได้รวม 159,506 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 6,298 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 4.1 จากรายได้รวมในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานต่อเนื่อง 5,860 ล้านบาท

ขณะนี้ CRC มีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดด้วยรูปแบบธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่นที่รวบรวมแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำหลากหลายประเภท (Multi-category) ใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มฟู้ด ในหลากหลายรูปแบบและช่องทาง (Multi-format) ที่ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ (Multi-market) โดยมีแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต Central Marketing Group เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท และโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย รวมถึง บิ๊กซี/GO! เหงียนคิม และลานชี มาร์ท ในประเทศเวียดนาม ตลอดจนรีนาเชนเต ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี

นอกจากความแข็งแกร่งของ CRC จากการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกหลากหลายรูปแบบและช่องทางในหลายประเทศแล้ว CRC ยังเป็นผู้นำในการให้บริการผ่าน Customer-Centric Omni-channel แพลตฟอร์มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสามารถใช้ประสิทธิภาพจากเครือข่ายร้านค้าที่ครอบคลุมควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อและแตกต่างสำหรับลูกค้า พร้อมมุ่งสู่ทศวรรษแห่งการต่อยอดการเติบโตของ CRC”

ด้านกลยุทธ์การดำเนินงาน CRC อาศัย 6 กลยุทธ์หลักในการเพิ่มขีดความสามารถและขยายธุรกิจของกลุ่ม CRCประกอบด้วย (1) การต่อยอดความเป็นผู้นำผ่านการเติบโตด้วยตนเอง (Organic Growth) และการรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการ (Inorganic Growth) ในประเทศไทย (2) การใช้ประโยชน์จากธุรกิจบิ๊กซีเพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจของกลุ่ม CRC ในประเทศเวียดนาม (3) การใช้ประโยชน์จากรีนาเชนเตเพื่อผนึกกำลังทางธุรกิจและแสวงหาโอกาส

นายญนน์ โภคทรัพย์

ในการเติบโตทางธุรกิจในประเทศอิตาลีและในทวีปยุโรป (4) การใช้แพลตฟอร์ม Omni-channel เพื่อสร้างประสบการณ์ที่พิเศษให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง (5) การใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อสร้างความภักดีของลูกค้าและเพิ่มยอดขาย และ (6) การแสวงหาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กลยุทธ์เพื่อต่อยอดการเติบโตดังกล่าวจะดำเนินการโดยทีมงานที่พร้อมด้วยความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหารมืออาชีพและครอบครัวจิราธิวัฒน์อย่างลงตัว พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่ดี ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน