
การทำธุรกิจในยุคโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากความ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือ technology disruption แต่สำหรับธุรกิจค้าปลีกแล้ว customer disruption หรือผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป คือปัจจัยสำคัญหลักที่กำหนดภูมิทัศน์ธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลก
วันนี้ (31 กรกฎาคม 2562) บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (เซ็นทรัล รีเทล) ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจด้วยการรวมธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล ในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานและบริหารของเซ็นทรัล รีเทล เตรียมพร้อมเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ในการแถลงข่าว นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล ได้ฉายภาพรวมธุรกิจค้าปลีกว่า “ภูมิทัศน์ธุรกิจค้าปลีกส่วนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกคือ customer disruption ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป วิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ผนวกกับโครงสร้างประชากร ที่มีทั้งคนรุ่นใหม่ กลุ่มผู้สูงวัย ที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน”
พฤติกรรมในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคปัจจุบันมีหลากหลาย บางส่วนอาจจะซื้อสินค้าแบบออฟไลน์ บางส่วนซื้อสินค้าออนไลน์ ขณะที่บางส่วนสำรวจสินค้าบนระบบออนไลน์ แต่มาซื้อสินค้าในระบบออฟไลน์ก็มี ผู้บริโภคไม่ได้มองที่สินค้าอีกต่อไป แต่ส่วนหนึ่งตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์มากขึ้น การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย (omnichannel) จึงมีความสำคัญ
“ปรากฏการณ์ customer disruption เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลก แต่บางประเทศอาจจะข้ามผ่านรุ่นไปเลยก็ได้ เช่น เมียนมา ที่มีระบบ 4G หรือ 5G ดังนั้น รูปแบบการการทำธุรกิจในแต่ละประเทศก็จะไม่แตกต่างกัน เพียงแค่ดำเนินการให้สอดคล้องกับจังหวะที่เหมาะสม” นายญนน์กล่าว
นายญนน์กล่าวอีกว่า การทำธุรกิจปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเข้าไปมี physical presence หรือที่ตั้งถาวรในประเทศเป้าหมาย แต่สามารถทำธุรกิจในรูปแบบพันธมิตร ปัจจุบันระบบออนไลน์เชื่อมต่อกันทั่วโลก ดังนั้น physical presence ก็ไม่จำเป็นต้องมีในทุกประเทศที่ต้องการเข้าไป เพราะสามารถเชื่อมกับลูกค้าทั่วโลกผ่านระบบออนไลน์ได้
นอกจากนี้ การทำธุรกิจค้าปลีกจะคำนึงถึงเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP growth ของประเทศใดประเทศหนึ่งประเทศเดียวไม่ได้อีกต่อไป เพราะโลกมีการเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ได้ทำธุรกิจในประเทศไทยประเทศเดียวเนื่องจากลูกค้ามีอยู่ทั่วโลก อีกทั้งต้องมีความสามารถในระดับโลก
“ปัจจุบันนี้เราไม่สามารถมอง GDP ประเทศใดประเทศหนึ่งประเทศเดียวแล้ว ลูกค้ามีอยู่ทั่วโลก เป็น global scale ปีนี้ประเทศไทยอาจจะโต 3.5% เวียดนาม GDP โตมหาศาล ในจีนก็โตน้อยลง อเมริกาก็โต ผมว่าไม่ได้เชื่อมเฉพาะ GDP ของประเทศเดียวอีกต่อไปแล้ว เป็นเรื่องของ global scale เพราะเราไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะในประเทศไทย” นายญนน์กล่าว
วัฒนธรรมอยากเปลี่ยนสร้างค้าปลีกยุคใหม่
นายญนน์กล่าวอีกว่า การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องมีพันธมิตร และการหาพันธมิตรทางธุรกิจไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะธุรกิจในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับภูมิภาคและทั่วโลก การหาพันธมิตรทั่วโลกก็จะมีเป้าหมายไปที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะทุกอย่างชัดเจน มีความโปร่งใส ซึ่งความโปร่งใสและยุติธรรมเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจทุกอย่างในปัจจุบัน
นายญนน์กล่าวว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มเซ็นทรัลที่ต้องการเปลี่ยนจากธุรกิจครอบครัวเป็นบริษัทมหาชน เพราะมีผลบวกต่อการดึงดูดพันธมิตร เนื่องจากการทำธุรกิจปัจจุบันไม่สามารถทำคนเดียวได้ ที่สำคัญ ดึงดูดพันธมิตรต่างประเทศก็ต้องอยู่ในตลาด และการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯก็มีช่องทางในการระดมทุน
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลได้ดำเนินการใน 3 ด้าน คือ ปรับโครงสร้างธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจ รวมทั้งการขยายธุรกิจรูปแบบใหม่จากการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับเซ็นทรัล รีเทล ในการเตรียมพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์
“หากโลกไม่เปลี่ยนเร็วขนาดนี้ และ customer disruption ไม่เกิด การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลจะง่ายกว่านี้” นายญนน์กล่าว
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ไม่ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้ถูกต้องตามกติกาที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำ คือ หนึ่ง ปรับโครงสร้างธุรกิจให้ถูกต้อง สอง หาจุดเสริมหรือแก้ไข สร้างธุรกิจให้แข็งแรงและขยายธุรกิจปัจจุบันให้แข็งแรงที่สุด สาม มองโอกาสทางธุรกิจสร้างธุรกิจใหม่เพื่อรับอนาคต เพราะผู้บริโภคเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน
“ผมมั่นใจว่าทั้ง physical platform และ digital platform ของเซ็นทรัล รีเทล ทำให้เกิด customer-centric omnichannel platform ที่สมบูรณ์แบบ และความสำเร็จของกลุ่มเซ็นทรัลในช่วง 72 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องเดียว คือ ความอยากจะเปลี่ยน เราเป็นผู้นำ trendsetter ทุกครั้ง เราไม่ได้ถูกให้เปลี่ยนหรือต้องเปลี่ยน แต่เราอยากเปลี่ยน เรามีวัฒนธรรมอยากเปลี่ยน ความอยากเปลี่ยนนี้ต่างจากถูกให้เปลี่ยน”
นอกจากนี้การที่มีโมเดลการดำเนินธุรกิจครอบคลุม 3 กลุ่มหลัก คือ แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ ฟู้ด (multi-category) ในหลากหลายรูปแบบ (multi-format) ทั้งในและต่างประเทศ (multi-market) เป็น diversified portfolio ทำให้มีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวเข้ากับทุกสภาวะได้ และธุรกิจไม่ซบเซา
รากฐานอันแข็งแกร่งของ เซ็นทรัล รีเทล นำไปสู่ความพร้อมในการต่อยอดและยกระดับศักยภาพการแข่งขันและเติบโตครั้งใหม่ ที่เรียกว่า Central Retail Economy อันประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) Business Highlights ความโดดเด่นในฐานะผู้นำตลาดค้าปลีก 2) Thriving Ecosystem ระบบนิเวศที่เชื่อมโยงแต่ละโมเดลทางธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันจนนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ 3) Clear Positioning to Win กลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
“นี่คือจุดแข็งและกลยุทธ์การเติบโตของเซ็นทรัล รีเทล ที่เราจะมุ่งไปข้างหน้าสู่ New Central New Retail เพื่อการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดค้าปลีกระดับภูมิภาคและก้าวต่อไปสู่การเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกระดับโลก” นายญนน์กล่าว

นำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้ง
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ตลอด 72 ปีที่ผ่านมา เซ็นทรัลเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เริ่มต้นจากปี 1947 ที่ได้ขยายงานจากห้องแถวเดียวที่ถนนเจริญกรุง พัฒนาไปสู่ห้างสรรพสินค้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาค ด้วยการเปิดห้างเซ็นทรัลที่วังบูรพา และในปี 1982 ได้เปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว รวมทั้งได้ขยายสาขาไปทั่วประเทศจนปัจจุบันมีสาขาเกือบทุกจังหวัด
ใน 10 ปีที่ผ่านมาได้ก้าวสู่บริษัทระดับโลก โดยปี 2011 ได้ขยายห้างสรรพสินค้าที่อิตาลี ซึ่งขยายตัวต่อเนื่อง ในปี 2015 ได้เข้าไปในเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตสูง มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันเป็นธุรกิจค้าปลีกใหญ่อันดับสองของเวียดนามมีสาขาเกือบทั้งประเทศ
“เรามุ่งมั่นในการนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งใหม่ๆ ที่สามารถครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค ในฐานะผู้นำตลาดค้าปลีกและเทรนด์เซ็ตเตอร์ โดยเป็นผู้ริเริ่มการทำห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของไทย ไปจนถึงการทำธุรกิจค้าปลีกแบบ multi-format ผ่านการเปิดร้านค้าเฉพาะทางและธุรกิจค้าปลีกหลายรูปแบบ และปัจจุบันได้ต่อยอดจากช่องทางออฟไลน์สู่ omnichannel เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม” นายทศกล่าว
เมืองขยายตัว-กำลังซื้อหนุน

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้เซ็นทรัลรีเทลประสบความสำเร็จมีด้วยกัน 3 ด้าน คือ หนึ่ง เศรษฐกิจมหภาค โดยรวมเติบโตค่อนข้างดี ซึ่งบ่งชี้จากหลายตัวชี้วัด ได้แก่ 1) GDP per capita เพิ่มขึ้นสะท้อนกำลังซื้อขยายตัว และในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเติบโตค่อนข้างดี ขณะที่ความเจริญของเมืองมีอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย จากอัตราส่วน 46% ปีที่ผ่านมาเป็น 53% ในอีก 5 ปีข้างหน้า 2) โครงสร้างประชากร โดยรวมประชากรวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปีลงมายังมีสัดส่วนเกือบ 40% ทำให้เศรษฐกิจเติบโต และการอุปโภคบริโภคของไทยก็มีสัดส่วนสูงใน GDP บางครั้งเกินครึ่ง และยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป และ 3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเข้ามาไทยทั้งหมดมากกว่า 37 ล้านคนแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 52 ล้านคนในปี 2023 อีกทั้งกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต ก็ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของเมืองที่นักท่องเที่ยวจัดไว้ในรายการเมืองที่ต้องการจะเยือน
สอง การบริหารงานจากธุรกิจครอบครัวสู่การขับเคลื่อนร่วมกับทีมผู้บริหารมืออาชีพ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งมากด้วยความสามารถและประสบการณ์ในการทำธุรกิจค้าปลีก การมีผู้บริหารมืออาชีพ
สาม การเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในเรื่องของธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึงยังห่วงใยและพร้อมเติบโตไปกับทุกสังคมที่เข้าไปดำเนินงาน ผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งช่วยสร้างมูลค่า สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชนพร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัล รีเทล ครอบคลุม 51 จังหวัดทั่วประเทศไทยด้วยเครือข่ายห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ รวม 1,979 แห่ง มีห้างสรรพสินค้า 9 แห่งใน 8 เมืองยุทธศาสตร์ของอิตาลี รวมทั้งมีไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายสินค้าเฉพาะทางรวม 125 แห่ง ใน 37 เมืองในเวียดนาม (ข้อมูลจำนวนร้านค้า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562) มีฐานข้อมูลลูกค้ากว่า 27 ล้านรายทั่วโลก ในปีที่ผ่านมารายได้รวม (total gross revenue) 240,297 ล้านบาท
