ThaiPublica > เกาะกระแส > ธปท.สั่งแบงก์ปรับปรุงค่าธรรมเนียมเอทีเอ็ม-ดบ.ผิดนัด ขอแบงก์รัฐผ่อนปรนปรับโครงสร้างหนี้ SME 2 ปี

ธปท.สั่งแบงก์ปรับปรุงค่าธรรมเนียมเอทีเอ็ม-ดบ.ผิดนัด ขอแบงก์รัฐผ่อนปรนปรับโครงสร้างหนี้ SME 2 ปี

7 มกราคม 2020


ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

ธปท.สั่งสถาบันการเงินให้ปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อลดภาระประชาชน-SMEs พร้อมขอความร่วมมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจผ่อนปรนเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจSMEs ให้มีผลตั้งแต่ 1ม.ค.2563-31 ธ.ค.2564

ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า วันนี้ ธปท.ได้สั่งการให้ ธนาคารพาณิชย์ปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใน 3 เรื่อง เพื่อลดภาระของประชาชนและ SME และปรับปรุงให้การดำเนินการเรื่องนี้เป็นธรรมและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น

1)ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (prepayment) สำหรับสินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด ซึ่งเดิมผู้ประกอบการบางรายคิดค่าปรับจากฐานวงเงินสินเชื่อทั้งก้อน เกณฑ์ใหม่ให้คิดค่าปรับบนยอดเงินต้นคงเหลือ รวมทั้ง ให้กำหนดช่วงระยะเวลาที่จะยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับการไถ่ถอน ความสำคัญของเรื่องนี้คือ ค่าปรับที่ไม่สูงจะช่วยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ประกอบการที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดและช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบ รวมทั้งทำให้ตลาด refinancing เกิดขึ้นในประเทศไทย

2)ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด เดิมการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะคิดบนฐานของเงินต้นคงเหลือ เกณฑ์ใหม่ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนค่างวด (installment) ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้นของค่างวดนั้น ทั้งนี้ หากผู้ให้บริการมีลูกหนี้เดิมที่อยู่ระหว่างการเรียกเก็บดอกเบี้ยตามวิธีเดิม ขอให้ผู้ให้บริการพิจารณาปรับลดหรือยกเว้นดอกเบี้ยตามสมควร

นอกจากนี้ให้ สถาบันการเงินกำหนดช่วงระยะเวลาการผ่อนผันไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (grace period) ในกรณีที่ลูกหนี้อาจมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และให้แจงรายละเอียดของยอดหนี้ค้างชำระ เช่น ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ค่าธรรมเนียมทวงถามหนี้ ให้ลูกหนี้ทราบอย่างชัดเจน

การปรับปรุงในครั้งนี้นอกจากจะทำให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว จะช่วยลดโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ (affordability risk)

3)ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร เดิมไม่มีการคืนส่วนต่างหรือคืนเมื่อร้องขอเท่านั้น เกณฑ์ใหม่ให้คืนค่าธรรมเนียมรายปีตามสัดส่วนระยะเวลาคงเหลือของบัตรแก่ผู้ใช้บริการโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้บริการร้องขอ และกรณีต้องออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน เดิมจะเรียกเก็บทุกกรณี เกณฑ์ใหม่ให้ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน แต่หากกรณีที่ออกบัตรหรือรหัสทดแทนมีต้นทุนสูงอาจพิจารณาจัดเก็บได้ตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ธปท.ขอให้ผู้ให้บริการนำหลักการคิดดอกเบี้ยและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใน 4 เรื่องดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ ด้วย

  • ต้องสะท้อนต้นทุนจริงจากการให้บริการ
  • ต้องไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้บริการจนเกินสมควรและคำนึงถึงความสามารถในการชำระของผู้ใช้บริการ
  • ต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน
  • ต้องเปิดเผยอัตราค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน
  • นอกจากนี้ ธปท. จะจัดให้มีการเปรียบเทียบข้อมูลอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของผู้ให้บริการแต่ละรายเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้บริการและเพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เหมาะสมมากขึ้นด้วย รวมทั้งต้องการที่จะเห็นธนาคารพาณิชย์ดำเนินการทั้ง 3 เรื่องโดยเร็ว โดยเฉพาะด้านค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตที่สามารถเริ่มได้ทันที

    การปรับปรุงในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการต่อระบบการเงินของไทยและสนับสนุนให้ผู้ให้บริการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

    ขอสถาบันการเงินเฉพาะกิจผ่อนปรนปรับโครงสร้างหนี้

    ธนาคารแห่งประเทศไทยยังได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการเร่งการติดตามดูแลลูกหนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและสภาพคล่องแก่ลูกหนี้ดังกล่าวโดยเร็ว ตั้งแต่เริ่มมีสัญญานของการมีปัญหาในการชำระหนี้ เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เช่น ให้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม ลดหรือยกเว้นดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้

    สืบเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และในระะยะต่อไปยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเป็นการชั่วคราว โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)

    เพื่อส่งเสริมให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจติดตามลูกหนี้อย่างใกล้ชิดและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างทันท่วงที ธปท.จึงมีแนวทางสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563-31 ธันวาคม 2564 ดังนี้

    1) ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีนโยบายการให้ความช่วยเหลือและแนวทางการพิจารณาลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการชะลอการลดหรือยกเลิกวงเงินลูกหนี้ที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเคยให้ไว้เดิม

    2) ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจถือว่าการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้จัดอยู่ในชั้นปกติ และลูกหนี้ที่จัดอยู่ในชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเชิงป้องกัน และไม่ถือว่าเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา รวมถึงไม่เข้าลักษณะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในข้อมูลเครดิตตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลด้านเครดิตกำหนด

    3) กรณีสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการพิจารณาให้สินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียนแก่ลูกหนี้เพิ่มเติม เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ลูกหนี้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถจัดชั้นสินเชื่อดังกล่าวเป็นรายบัญชีได้หากพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้มีกระแสเงินสดรองรับการชำระหนี้

    4) สำหรับการจัดชั้นและการกันเงินสำรอง ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เว้นแต่กรณีลูกหนี้จัดชั้นปกติและลูกหนี้ที่จัดอยู่ในชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือควรระวังเป็นพิเศษ ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สามารถจัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันที หากได้วิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้แล้ว เห็นว่าลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ โดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

    นอกจากนี้ธปท.ยังขอให้รายงานเป้าหมายในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และยอดสินเชื่อคงค้างของลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นรายเดือนภายใน 21 วันนับจากวันสิ้นเดือน เพื่อประโยชน์ในการติดตามสถานการณ์การให้ความช่วยเหลือ เริ่มตั้งแต่งวดสิ้นเดือนมกราคม 2563 ถึงเดือนธันวาคม 2564

    ธปท.หวังว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ในระยะที่ลูกหนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งจะช่วยเป็นกันชนต่อแรงกดดันจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก และส่งผลให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพสามาถพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างทันท่วงที