ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “อนค.ขับ 4 ส.ส.พ้นพรรค-ดอดร่วมปาร์ตี้พรรคร่วมรัฐบาล” และ “สาวยุคหินตาสีฟ้า เจ้าของดีเอ็นเอมนุษย์ในหมากฝรั่งอายุหกพันปี”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “อนค.ขับ 4 ส.ส.พ้นพรรค-ดอดร่วมปาร์ตี้พรรคร่วมรัฐบาล” และ “สาวยุคหินตาสีฟ้า เจ้าของดีเอ็นเอมนุษย์ในหมากฝรั่งอายุหกพันปี”

21 ธันวาคม 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 14-20 ธ.ค. 2562

  • อนค.ขับ 4 ส.ส.พ้นพรรค ‘ศรีนวล’-ดอดร่วมปาร์ตี้พรรคร่วมรัฐบาล
  • สรรพสามิตโต้ ผ้าอนามัยเสีย VAT เหมือนสินค้าอื่น — ดีอีสั่งแจ้งความข่าวปลอม
  • งานวิจัยใหม่ชี้ PM2.5 มีผลทำให้เป็นโรคซึมเศร้า-จบชีวิตตัวเอง
  • อุดช่องโหว่ เตรียมเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้าออนไลน์ 7%
  • สาวยุคหินตาสีฟ้า เจ้าของดีเอ็นเอมนุษย์ในหมากฝรั่งอายุหกพันปี

อนค.ขับ 4 ส.ส.พ้นพรรค “ศรีนวล” – ดอดร่วมปาร์ตี้พรรคร่วมรัฐบาล

วันที่ 16 ธ.ค. 2562 ที่ประชุมสามัญพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้มีมติขับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 4 คนออกจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยเว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า ส.ส.ทั้ง 4 คน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่โหวตสวนทางกับมติพรรคในการลงมติครั้งสำคัญของที่ประชุมสภา ได้แก่ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนกรมทหารราบ 1-ราบ 11 ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วาระที่ 1 รวมถึงการอยู่ร่วมเป็นองค์ประชุมให้กับรัฐบาลในญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบตามมาตรา 44

อนึ่ง ส.ส.ทั้ง 4 คนดังกล่าว ได้แก่

  • น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เขต 8 จ.เชียงใหม่
  • นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.เขต 2 จันทบุรี
  • พ.ต.ท. ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.เขต 1 จันทบุรี
  • น.ส. กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.เขต 7 จ.ชลบุรี

โดยที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่มีการออกเสียงลงมติอนุมัติ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.)โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 ในขณะที่เสียงไม่อนุมัติทั้ง 70 เสียงล้วนมาจาก อนค. แต่ น.ส. กวินนาถ, นายจารึก และ พ.ต.ท. ฐนภัทร กิตติวงศา กลับออกเสียงอนุมัติ ส่วน น.ส.ศรีนวลนั้นงดออกเสียง

ต่อมา ในการลงมิตเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในหลักการของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วาระที่ 1 ที่เห็นชอบไปด้วยคะแนน 251 ต่อ 0 งดออกเสียง 234 ไม่ลงคะแนนเสียง 1 จากองค์ประชุม 486 เสียง น.ส.กวินนาถได้ลงมติเห็นชอบ ขณะที่ น.ส.ศรีนวล, นายจารึก และ พ.ต.ท. ฐนภัทร งดออกเสียง (มี ส.ส. อนค. อีก 4 คน งดออกเสียงในกรณีนี้)

และล่าสุด น.ส.กวินนาถเป็น 1 ในสมาชิกพรรคฝ่ายค้านที่อยู่เป็นองค์ประชุมให้รัฐบาลในญัตติที่ฝ่ายค้านเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) เพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ และคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 แต่ลงมติเห็นชอบสนับสนุนให้ตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบตามมาตรา 44 ขณะที่นายจารึก และ พ.ต.ท.ฐนภัทร งดออกเสียง

นอกจากนี้ เว็บไซตบีบีซีไทยยังรายงาน ด้วยว่าน.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษก อนค. ยืนยันว่า การขับ ส.ส.ทั้ง 4 คนพ้นพรรค เป็นไปตามข้อบังคับพรรค ไม่ใช่การตัดสินของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยมีการตั้งคณะกรรมการวินัยขึ้นมาตรวจสอบกรณีโหวตสวนมติพรรค การนำความลับของที่ประชุมไปเปิดเผย และการให้สัมภาษณ์ที่ทำให้เพื่อนสมาชิกและพรรคเสื่อมชื่อเสียง พฤติกรรมเหล่านี้นำไปสู่การภาคทัณฑ์ในครั้งแรก แต่ก็ยังมีการกระทำผิดซ้ำ จึงต้องมีมาตรการเพิ่มขึ้นและนำมาสู่การขับออกจากพรรค

จากกรณีดังกล่าว วันที่ 17 ธ.ค. 2562 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงาน ว่า น.ส.ศรีนวลเปิดเผยว่า ไม่รู้สึกตกใจกับมติดังกล่าว เพราะที่ผ่านมารู้สึกอึดอัดกับการทำงานภายในพรรค เมื่อพรรคมีมติดังกล่าวก็รู้สึกขอบคุณพรรคอนาคตใหม่ที่ให้อิสรภาพ ทำให้รู้สึกสบายใจในการทำงานทั้ง 2 ฝ่าย และขณะนี้ยังไม่ได้รับมีการติดต่อจากพรรคการเมืองใดให้ไปร่วมสังกัดเพราะยังมีเวลา ส่วนที่มีข่าวว่าจะไปร่วมสังกัดกับพรรคภูมิใจไทยนั้น ยังไม่ตัดสินใจ แต่ก็เป็นในตัวเลือกที่กำลังพิจารณาอยู่

อย่างไรก็ดี วันที่ 20 ธ.ค. 2562 เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS รายงาน ว่าในงานเลี้ยงสัมมนา ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ที่สโมสรราชพฤกษ์คลับ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2562 ที่มีหัวหน้าพรรครวมทั้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเข้าร่วม ภายใต้ใช้ชื่องาน “รวมพลังสร้างชาติ” ที่นอกจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเดินทางมาร่วมงาน ก็ยังมีการแนะนำ น.ส.ศรีนวลซึ่งโผล่มาร่วมงานด้วย โดย น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าไปจับมือทักทาย น.ส.ศรีนวล

สรรพสามิตโต้ ผ้าอนามัยเสีย VAT เหมือนสินค้าอื่น — ดีอีสั่งแจ้งความข่าวปลอม

เว็บไซต์เดลินิวส์รายงาน เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง แถลงผ่านไลน์กลุ่มผู้สื่อข่าวพรรคเพื่อชาติ กรณีที่ระบุว่า ครม.ให้ขึ้นภาษีผ้าอนามัยร้อยละ 40 และไม่มีการควบคุมราคา ว่า “ประเด็นผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจากมติ ครม. วันที่ 17 เม.ย. 2561 ตนดูตามเอกสารจากเว็บ https://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER7/DRAWER100/GENERAL/DATA0000/00000302.PDF ซึ่งสรุปสาระสำคัญของการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2561 หมวดกฏหมาย ข้อ 4 ระบุว่า … ร่างกฏกระทรวงกำหนดผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ….

เครื่องสำอางจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ดังนั้นผ้าอนามัยแบบสอดจึงถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งในความคิดของตนผ้าอนามัยทุกชนิดไม่ควรถูกกำหนดให้เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตของสตรีทั้งโลก ดิฉันจึงออกมาตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นข่าวในวันนี้ เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ และเพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าอนามัยชนิดอื่นๆ ถูกกำหนดเป็นเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่จะสร้างภาระให้กับสตรีไทยทั้งประเทศ

แม้จะมีการชี้แจงว่า ผ้าอนามัย ถูกระบุใน พ.ร.ก ว่าเป็นสินค้าควบคุม เเต่การที่ระบุว่าผ้าอนามัยเเบบสอดก็ยังไม่ถูกปลดออกจากสินค้าประเภทเครื่องสำอางซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย อีกทั้ง พ.ร.ก ดังกล่าว ยังมีผลบังคับใช้เพียง 1 ปี เท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วควรทำให้เป็นสินค้าควบคุมถาวร “ดิฉันให้ข้อมูลข่าวประเด็นนี้ในฐานะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ก็อยากจะถามแทนสตรีทั้งประเทศเพื่อให้ได้คำชี้แจงจากทางรัฐบาลว่าทำไมถึงได้มีมติ ครม.อนุมัติ เรื่องแบบนี้ ซึ่งถือเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นสำหรับสตรี”

ต่อกรณีดังกล่าว วันที่ 16 ธ.ค. 2562 เฟซบุ๊กแฟนเพจ WORKPOINTS NEWS รายงานว่า นายวิวัฒน์ เขาสกุล โฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีข่าวปรากฏว่า ปัจจุบันรัฐบาลเก็บภาษีผ้าอนามัยสูง ทำให้ผ้าอนามัยมีราคาแพงนั้น

กรมสรรพสามิต ขอเรียนชี้แจงว่า ไม่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต “ผ้าอนามัย” แต่อย่างใด ผ้าอนามัยไม่เป็นสินค้าที่อยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพราะไม่ถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ปัจจุบันถูกเรียกเก็บเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ vat เท่านั้น

ตามหลักการภาษีสรรพสามิต จะเรียกเก็บเฉพาะสินค้าหรือบริการที่บริโภคแล้วส่งผลต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดี และสินค้าฟุ่มเฟือยหรือเกินความจำเป็นต่อการดำรงชีพ หรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐใช้ในการจำกัดการบริโภคสินค้าหรือบริการบางประเภทเท่านั้น ซึ่งผ้าอนามัยถือเป็นสินค้าจำเป็นจึงไม่เข้าข่ายสินค้าฟุ่มเฟือย

และทำให้เกิดผลสืบเนื่องมาคือ วันที่ 17 ธ.ค. 2562 เฟซบุ๊กแฟนเพจของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอี ได้โพสต์ข้อความ ว่าข่าวปลอมการปรับขึ้นภาษีผ้าอนามัย 40% ที่โฆษกพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง อ้างว่าเป็นมติของคณะรัฐมนตรี จนมีการเผยแพร่และวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง ตอนนี้ตนได้สั่งให้แจ้งความดำเนินคดี ฐานนำเข้าข่าวอันเป็นเท็จแล้ว

“ผมได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตำรวจ เร่งตรวจสอบต้นทางของข่าว หากพบว่ามีเจตนาในการสร้างข่าวเท็จ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือบุคคลใด ก็จะต้องดำเนินคดีและขอศาลออกหมายจับตามกฎหมายทันที”

งานวิจัยใหม่ชี้ PM2.5 มีผลทำให้เป็นโรคซึมเศร้า-จบชีวิตตัวเอง

ที่มาภาพ: https://www.theguardian.com/environment/2019/dec/18/depression-and-suicide-linked-to-air-pollution-in-new-global-study?CMP=fb_gu&utm_medium=Social&utm_source=Facebook#Echobox=1576679614

วันที่ 20 ธ.ค. 2562 เว็บไซต์ไทยพับลิก้ารายงานผลการศึกษาชิ้นใหม่พบฝุ่นพิษทางอากาศ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าและการจบชีวิตตัวเองลง การลดมลพิษลงมาที่ระดับมาตรฐานของอียูจะมีผลอย่างมาก โดยสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้าถึง 15% ข้อมูลจาก WHO พบว่ามีคนเป็นโรคนี้ถึง 264 ล้านคนทั่วโลก

รายงานผลการศึกษาล่าสุดพบว่า คนที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางมลพิษทางอากาศที่มีเต็มไปด้วย PM2.5 มีอัตราการเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายสูงขึ้น

อาการซึมเศร้าเป็นโรคที่พบกันทั่วไปทั้งโลก โดยองค์กรอนามัยโลกหรือ World Health Organization ระบุว่า ทั่วโลกมีผู้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าราว 264 ล้านคน

อาการซึมเศร้านั้นแตกต่างจากความผันผวนทางอารมณ์ตามปกติ และการตอบสนองทางอารมณ์ในระยะสั้นต่อความท้าทายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเป็นระยะยาวและมีความรุนแรงปานกลางหรือรุนแรง ภาวะซึมเศร้าอาจกลายเป็นภาวะสุขภาพที่ร้ายแรง ทำให้ผู้ที่มีอาการทรมานอย่างมากและไม่สามารถทำงานได้ดี และในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด อาจจะนำไปสู่การปลิดชีวิตตัวเอง

แต่ละปีผู้ที่มีอาการซึมเศร้าฆ่าตัวตายราว 800,000 คน

สาเหตุของโรคซึมเศร้ามาจากแรงปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของปัจจัยทางสังคมจิตวิทยาและชีวภาพ บางคนอาจจะประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิต เช่น การว่างงาน การเจ็บป่วยทางจิต ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความเครียดและความผิดปกติมากขึ้น

แต่รายงานผลการศึกษาข้อมูลทั่วโลกล่าสุดของ อิโซเบล เบรทเวต จาก University College London (UCL) หัวหน้าคณะวิจัยพบว่า คนที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางมลพิษทางอากาศมีอัตราการเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายสูงขึ้น

“เราพบว่ามลพิษทางอากาศอาจจะมีผลอันตรายอย่างมากต่อสุขภาพจิตของคน ซึ่งการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ทำให้อากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวันสะอาดขึ้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ” อิโซเบล เบรทเวต กล่าว

อนุภาคมลพิษที่รายงานวิเคราะห์ คือ มลพิษจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลของรถยนต์ จากที่อยู่อาศัยและภาคอุตสาหกรรม นักวิจัยระบุว่า ข้อมูลใหม่ที่พบยิ่งทำให้ต้องมีการเรียกร้องอย่างเข้มแข็งให้จัดการแก้ไขปัญหา ในสิ่งที่ WHO จัดว่า “อากาศพิษ” เป็นภัยเงียบที่ร้ายแรงด้านสาธารณสุขที่ต้องจัดการเร่งด่วน

รายงานเสนอแนะว่า การลดมลพิษทางอากาศทั่วโลกมาอยู่ ณ ระดับที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ตามกฎหมาย อาจจะช่วยป้องกันไม่ให้คนหลายล้านคนเป็นโรคซึมเศร้า จากสมมติฐานที่ว่าการสัมผัสหรืออยู่ภายใต้มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคซึมเศร้า

การลดมลพิษลงมาที่ระดับมาตรฐานของอียูจะมีผลอย่างมาก โดยสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้าถึง 15% จากสมมติฐานที่ว่าเป็นสาเหตุที่เกี่ยวข้องกัน เพราะโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่พบกันมากและกำลังเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจาก WHO พบว่ามีคนเป็นโรคนี้ถึง 264 ล้านคนทั่วโลก

“เรารู้ว่าอนุภาคมลพิษทางอากาศที่เล็กที่สุด สามารถที่จะเข้าไปสู่สมองของคนได้จากกระแสเลือดและจากทางจมูก และมลพิษทางอากาศนั้นมีผลเกี่ยวข้องกับการอักเสบของสมอง ทำลายเยื่อประสาท และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน และมีผลต่อสุขภาพจิตที่ย่ำแย่”

โจเซฟ เฮส์ หนึ่งในคณะวิจัยจาก UCL กล่าวว่า จากข้อมูลที่พบบ่งชี้อย่างมากว่า มลพิษทางอากาศเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิตอย่างรุนแรง

งานวิจัยนี้ซึ่งได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Health Perspectives นั้นได้มีหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดในการเลือกและรวบรวมงานวิจัยจาก 16 ประเทศและได้มีการเผยแพร่จนถึงปี 2017 มาศึกษา ซึ่งพบสถิติที่ชัดเจนถึงความเกี่ยวข้องของมลพิษทางอากาศกับโรคซึมเศร้าและการจบชีวิตตัวเอง อีกทั้งรายงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งรวมถึงการศึกษาที่เชื่อมโยงอากาศพิษกับอัตราการเสียชีวิตที่สูงของคนซึ่งมีอาการผิดปกติทางจิตและเพิ่มความเสี่ยงของการซึมเศร้าในกลุ่มวัยรุ่นถึง 4 เท่า

รายงานวิจัยชิ้นอื่นบ่งชี้ว่า มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุที่ทำให้สติปัญญาของคนลดลงอย่างมาก และเกี่ยวพันกับวิกลจริต การศึกษาแบบครอบคลุมทั่วโลกในต้นปี 2019 ได้ข้อสรุปว่า มลพิษทางอากาศอาจจะทำลายอวัยวะและเซลล์ในร่างกายมนุษย์

ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ในการวิจัยใหม่นี้เชื่อมโยงการซึมเศร้ากับฝุ่นพิษที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตรหรือเทียบเท่า 0.00025 มิลลิเมตร หรือที่รู้จักกันในชื่อ PM2.5 คนที่ต้องหายใจ PM2.5 เข้าไปในปริมาณ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อปีหรือมากกว่านี้ มีความเสี่ยงสูงขึ้น 10% ที่จะมีอาการซึมเศร้า ระดับ PM2.5 ในกรุงนิวเดลี อินเดีย สูงถึง 114 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ที่ออตตาวา แคนาดา มีเพียง 6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ในอังกฤษค่าเฉลี่ย PM2.5 ในเมืองอยู่ที่ 13 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

นักวิจัยประเมินว่า การลดฝุ่น PM2.5 ลงมาที่ระดับ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามที่ WHO แนะนำก็จะลดอาการซึมเศร้าของคนเมืองลงได้ราว 2.5% ขณะที่ฝุ่นพิษซึ่งมีผลต่อการฆ่าตัวตายมีค่ามากกว่าขึ้นไปจนถึง PM10 โดยนักวิจัยพบว่า ในระยะสั้น การเพิ่มขึ้นของ PM10 ในปริมาณ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน 3 วันจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย 2%

นักวิทยาศาสตร์ให้ข้อมูลว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นแม้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่มีผลมากต่อคนจำนวนมาก เพราะมากกว่า 90% ของประชากรในโลกอาศัยอยู่ในเมืองที่มีระดับมลพิษทางอากาศสูงกว่าที่ WHO กำหนด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าวิตก

ผลการศึกษายังพบความเชื่อมโยงระหว่างกันสูง แต่พิสูจน์ว่าการเชื่อมโยงเชิงสาเหตุนั้นยาก เพราะการทดลองทางจริยธรรมจะต้องไม่ทำให้ผู้คนได้รับอันตราย การศึกษาได้นำหลายปัจจัยที่อาจจะมีผลต่อสุขภาพจิตเข้ามารวมในการวิเคราะห์ด้วย ทั้งที่ตั้งของที่พัก รายได้ การศึกษา การสูบบุหรี่ การจ้างงาน และการเป็นโรคเบาหวาน แต่ไม่สามารถแยกผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากเสียงรบกวน ซึ่งมักจะเกิดร่วมกับมลพิษและเป็นที่รู้ว่ามีผลกระทบทางจิต

“เราทุกคนต้องลงมือทำในสิ่งที่ทำได้เพื่อลดการสร้างมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การใช้จักรยาน และเราต้องคำนึงการปรับเปลี่ยนระบบ ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลต้องมีนโยบายที่จะลดระดับมลพิษโดยรวม แม้การเดิน การใช้จักรยานจะไม่ลดมลพิษลง แต่ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น”

  • ฝุ่นพิษ PM 2.5 จาก “ป้องกัน” สู่ “วาระแห่งชาติ” และแผนปฏิบัติการ 52 หน้า
  • ไอออนนิส บาโคลิส แห่งคิงส์คอลเลจ ซึ่งไม่ได้อยู่ในคณะวิจัยกล่าวว่า งานวิจัยนี้ครอบคลุมงานวิจัยที่ทำมาตลอด 40 ปี แม้งานวิจัยจะมาจากหลายแห่ง ทั้งจีน สหรัฐฯ เยอรมนี และมีความแตกต่างกันทั้งในแง่กลุ่มทดสอบ รูปแบบการศึกษา และวิธีวัดการซึมเศร้า แต่ให้ผลที่เหมือนกัน

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ค้นพบยังอยู่ในวงจำกัดและต้องมีการศึกษาต่อไปอีก โดยเฉพาะความเข้าใจถึงผลกระทบของการลดมลพิษต่อสุขภาพจิต ซึ่งจะทำให้มีข้อมูลมากขึ้นสำหรับผู้กำกับนโยบายที่จะต้องดำเนินการ

    อุดช่องโหว่ เตรียมเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้าออนไลน์ 7%

    นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร

    วันที่ 17 ธ.ค. 2562 เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS รายงาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า สศค. (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ได้เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ว่าควรต้องมีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องอะไรบ้าง กรมสรรพากร จะเป็นเพียงหน่วยงานปฏิบัติงานในฐานะหน่วยงานจัดเก็บ เมื่อได้รับนโยบายจาก สศค.มาแล้ว ก็จะให้ความเห็นว่าดำเนินการได้หรือไม่ได้ และมีข้อโต้แย้งในประเด็นใดบ้าง รวมทั้งในแผนการปฏิรูปดังกล่าว จะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ในภาพรวมอย่างไร ก็จะเสนอกลับไปที่ สศค. ก่อนจะดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการจัดเก็บภาษีในขั้นตอนต่อไป

    ทั้งนี้ การพิจารณาปฏิรูปโครงสร้างภาษีครั้งนี้ คลังจะให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) 7% ในสินค้าที่สั่งซื้อออนไลน์และส่งไปรษณีย์มาจากต่างประเทศทุกชนิดราคา พร้อมกับยกเลิกการยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้กับภาครัฐเพิ่มขึ้น ลดปัญหาการแจ้งสำแดงราคาต่ำเพื่อเลี่ยงภาษี รวมถึงสร้างความเป็นธรรมให้กับคนขายสินค้าเดียวกันที่อยู่ในประเทศ ซึ่งปัจจุบันต้องเสียภาษีแวท 7%

    พร้อมกันนี้ ทางเว็บไซต์ WORKPOINT NEWS ยังรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังด้วยว่า “ทุกวันนี้คนไทยหันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากจีน สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีมูลค่านับหมื่นนับแสนล้านบาท และบางส่วนมีพฤติกรรมการเลี่ยงภาษี โดยแจ้งราคานำเข้าเป็นสินค้าที่มูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ทั้งที่จริงสินค้าเหล่านี้ราคาสูงเกินไปมาก ซึ่งทำให้คนหันไปสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แทน และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ดี ดังนั้นการปฏิรูปโครงสร้างภาษีจะเข้าไปอุดช่องโหว่ตรงจุดนี้ โดยจะคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของสินค้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์เข้ามาทั้งหมด ส่วนอากรนำเข้าจากศุลกากรอาจมีการยกเว้นไว้อยู่”

    สาวยุคหินตาสีฟ้า เจ้าของดีเอ็นเอมนุษย์ในหมากฝรั่งอายุหกพันปี

    ภาพโดย: TOM BJÖRKLUND

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงาน ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก เผยโฉมหน้าของหญิงสาวยุคโบราณผู้หนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคหินใหม่ของภูมิภาคสแกนดิเนเวียเมื่อหลายพันปีก่อน โดยนักวิทยาศาสตร์ทราบถึงโครงสร้างใบหน้า ผิวพรรณ สีตา และสีผมของเธอได้ จากร่องรอยของดีเอ็นเอที่หลงเหลืออยู่ในเศษหมากฝรั่งที่เธอเคี้ยว ซึ่งมีอายุเก่าแก่เกือบหกพันปี

    ดร.เฮนส์ ชรูเดอร์ หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยระบุว่า นับเป็นครั้งแรกที่มีการสกัดเอาดีเอ็นเอของมนุษย์โบราณและถอดรหัสพันธุกรรมได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องใช้สารพันธุกรรมที่มาจากชิ้นส่วนกระดูก

    ทีมนักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อให้หญิงสาวยุคหินใหม่ผู้นี้ว่า “โลลา” เธอมีผิวคล้ำ ผมสีน้ำตาลเข้ม และมีดวงตาสีฟ้า

    ข้อมูลพันธุกรรมของโลลาบ่งชี้ว่า เธอมีเชื้อสายใกล้เคียงกับกลุ่มคนโบราณที่ล่าสัตว์และเก็บของป่าเลี้ยงชีวิตบนแผ่นดินใหญ่ของยุโรป มากกว่าพวกที่อยู่ทางตอนกลางของสแกนดิเนเวียในยุคนั้น โดยบรรพบุรุษของเธออาจอพยพขึ้นเหนือมาจากทางตะวันตกของยุโรป หลังธารน้ำแข็งที่ปกคลุมแผ่นดินหดหายไป

    ส่วน “หมากฝรั่ง” ที่โลลาเคี้ยวและทิ้งร่องรอยดีเอ็นเอของเธอเอาไว้นั้น ที่จริงคือน้ำมันดินที่ได้จากต้นเบิร์ช (Birch pitch)โดยเศษหมากฝรั่งโบราณอายุ 5,700 ปีนี้ ถูกพบที่เมือง Syltholm บนเกาะ Lolland ทางตอนใต้ของเดนมาร์ก

    รอยฟันที่ประทับอยู่ แสดงว่ามีการขบเคี้ยวหมากฝรั่งชิ้นนี้ ซึ่งอาจจะเป็นการเคี้ยวเพื่อให้อ่อนตัวลงและนำไปใช้งาน เช่นใช้ติดประกอบเครื่องไม้เครื่องมือยุคหินต่างๆ หรืออาจจะเคี้ยวเพื่อเป็นยารักษาโรคหรือแก้ปวดฟัน