
วิจัยกรุงศรีได้วิเคราะห์อนาคตของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในหัวข้อ “ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน” ทำการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่ออุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงวางแผนกลยุทธ์ใหม่เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจใน landscape ใหม่ได้
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเติบโตอย่างเข็มแข็ง และเมื่อมองไปข้างหน้า อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงได้รับปัจจัยบวก จากทั้งอุปสงค์ที่ขยายตัวและความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ (Feedstock advantage) วิจัยกรุงศรีคาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโลกในช่วงสามปีข้างหน้า (2019-21) มีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ย 4.2% ต่อปี ทำให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมสามารถรักษาระดับรายได้ที่อยู่ในระดับสูงไว้ได้ แม้ว่าอาจจะเผชิญมาร์จิ้นที่แคบลง ซึ่งมุมมองเชิงบวกดังกล่าวอาจทำให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมละเลยที่จะปรับตัวให้เข้ากับ Landscape ใหม่ของอุตสาหกรรรมปิโตรเคมี ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมพลาดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวลาอันใกล้
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังเปลี่ยนไปจากรูปแบบธุรกิจดั้งเดิมที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและการขยายตัวของความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ไปเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรม โดยวิจัยกรุงศรีประเมินว่า การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีสาเหตุจากทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกอุตสาหกรรม
โดยปัจจัยภายในอุตสาหกรรมมาจากประสิทธิภาพของรูปแบบธุรกิจเก่าที่ลดลง (Inefficiency of old business model) เห็นได้จาก มาร์จิ้นของธุรกิจที่มีแนวโน้มลดลง การถดถอยของประสิทธิภาพของรูปแบบธุรกิจในแบบดั้งเดิมเกิดจากความได้เปรียบด้านวัตถุดิบเริ่มหมดไปและอุปสงค์ที่เริ่มอิ่มตัว ทำให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจำเป็นต้องหารูปแบบการทำกำไรแบบใหม่ ขณะที่ปัจจัยภายนอกอุตสาหกรรมมาจากการปรับเปลี่ยนแนวคิดในระบบเศรษฐกิจจากแบบเส้นตรงไปสู่แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้หลายอุตสาหกรรมเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่แนวคิดนี้
แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ทรัพยากร ห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการบริโภคในแบบใหม่ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดดั้งเดิมในระบบเศรษฐกิจเส้นตรง (Linear economy) มีจุดประสงค์เพื่อลดส่วนรั่วไหลและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบให้มากที่สุด จากตัวอย่างในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตามลักษณะการผลิต-ใช้-ทิ้ง (make-use-dispose) ในแนวคิดเศรษฐกิจเส้นตรง ที่ทำให้เกิดส่วนรั่วไหลออกจากระบบเศรษฐกิจถึง 95% ของมูลค่าการใช้พลาสติกทั้งหมด
แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงมุ่งเน้นให้สามารถรักษามูลค่าของสินค้าและบริการให้อยู่ในระบบเศรษฐกิจนานขึ้นหรือทำให้ระบบเศรษฐกิจมีส่วนรั่วไหลลดลง โดยปกติมีขั้นตอนหลัก 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การทำให้ใช้ได้นานขึ้น (Longer use) การใช้ซ้ำ (Reuse) การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการนำพลังงานกลับมาใช้ (Energy recovery)
วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ปัจจัยที่นำไปสู่แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมี 4 ปัจจัย ได้แก่
-
1)มีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (Environmental awareness) นำไปสู่ความต้องการสินค้าที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือย่อยสลายได้ อีกทั้งยังทำให้สินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกลายมาเป็นที่นิยมด้วย
2)ให้ความสำคัญกับการเป็นเจ้าของลดลง (Less interest in ownership) จึงเกิดเป็นเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing economy) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความถี่ของการใช้สินค้า (Increasing frequency in product usage) ซึ่งคือการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรตามแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน
3)มีความรู้มากขึ้น (More educated) ทำให้ความคุ้มค่าและความคงทนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อสินค้า ดังนั้น ผู้ผลิตจึงต้องออกแบบและผลิตสินค้าที่มีความทนทานและแข็งแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องออกแบบให้สามารถซ่อมแซมและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่าย ต้นทุนต่ำ

นอกจากการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคแล้ว การตระหนักถึงความจำเป็นในการเข้าสู่แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนทั้งจากฝ่ายการเมืองและสังคมเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเร่งให้เกิดแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดขึ้นจริง เห็นได้จากมาตรการต่างๆ มากมายทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น ภาคเอกชนก็มีแนวโน้มเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ จากการสำรวจของ World Business Council for Sustainable Development ชี้ว่า 97% ของ CEO ของธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกประเมินว่า แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพของธุรกิจ นอกจากนี้ 86% ยังบอกว่า แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจะเป็นปัจจัยกำหนดความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต และจะเพิ่มการลงทุนตามแนวคิดนี้ในอนาคตอันใกล้ เห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้ซื้อ รวมถึงการตระหนักของเอกชน สังคมและภาครัฐเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดเศรษฐกิจเส้นตรงไปสู่แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
-
1) ภาคเอกชนเห็นว่ามาตรการทางภาษีและการคลังเป็นมาตรการที่สำคัญในเร่งให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาตรการที่มีความสำคัญรองลงมา คือ
2) การเพิ่มการศึกษา ความตระหนักและการรับรู้ข้อมูล
3) การสร้าง Platform เพื่อเพิ่มความร่วมมือ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลของหลายประเทศออกมาตรการและกฎหมาย ตัวอย่างเช่น ประเทศในยุโรปเริ่มมีกฎหมายลดภาษีเงินได้กับบริษัทที่ใช้วัสดุหมุนเวียนหรือมีการจัดการหลังการใช้ (After-use process)
ขณะที่ประเทศจีนออกประการว่าในปี 2025 อย่างน้อย 20% ของสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศต้องสามารถนำมารีไซเคิลได้ การออกมาตรการเหล่านี้ไม่เพียงมีผลในประเทศที่ออกมาตรการเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อทั้งห่วงโซ่การผลิตด้วย เช่น ผู้ผลิตที่เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบให้ผู้ผลิตในประเทศจีนก็ต้องเปลี่ยนไปส่งออกวัตถุดิบที่สามารถรีไซเคิลได้แทนมาตรการและกฎระเบียบ