ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ลั่นกลาง ก.ค.ได้ยลโฉมรัฐบาลใหม่ – มติ ครม.อุดหนุนบริการสาธารณะ “รถเมล์-รถไฟ” 5,013 ล้านบาท

นายกฯ ลั่นกลาง ก.ค.ได้ยลโฉมรัฐบาลใหม่ – มติ ครม.อุดหนุนบริการสาธารณะ “รถเมล์-รถไฟ” 5,013 ล้านบาท

2 กรกฎาคม 2019


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่มาภาพ : www.thailand.go.th

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน

โต้ตั้ง รบ.ช้า ยันทำตามกรอบเวลา กลาง ก.ค.ได้ยลโฉม

พล.อ. ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการร่วมประชุมกับคณะทำงาน คสช.ในวันนี้ว่า เป็นการทบทวน สรุปถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และดำเนินการเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อยุติ เพื่อส่งต่อให้กับรัฐบาลต่อไปดำเนินการต่อ ซึ่งเป็นกลไกปกติ โดย คสช.จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่าจะถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณของ ครม.ชุดใหม่ในกลางเดือนนี้ ซึ่งเป็นไปตามไทม์ไลน์ทุกประการ

ต่อคำถามปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า เกิดจากปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้น พล.อ. ประยุทธ์ ถามกลับว่า ช้าอย่างไรตนก็ไม่เข้าใจ เพราะหากนับตามวันเวลาก็อยู่ตามกรอบของการดำเนินการตามกฎหมายทุกประการ และที่ผ่านมาก็มีพระราชพิธีที่สำคัญ ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่ได้ผิดเพี้ยนจากกรอบเวลาเดิมที่ตั้งไว้เดือนกรกฎาคมเลย ขออย่าไปบิดเบือนกันตรงนี้ และขอให้เข้าใจว่าเราก็ต้องแก้ปัญหาของเราให้ได้

สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล ขณะนี้รายชื่อคณะรัฐมนตรียังดำเนินการอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบทางเอกสารและหน่วยงานภายนอก เมื่อตรวจสอบแล้วต้องให้การรับรอง และให้เวลาผู้ที่มีรายชื่อในการแก้ไขปัญหาของตนเองตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเรื่องหุ้นหรือเรื่องอื่นๆ ก่อนที่จะยื่นถวายรายชื่อเพื่อทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม และขอพระราชทานวันเวลาในการถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ขออย่ากังวล

เมื่อถามว่า ยึดหลักอะไรในการวางตัว ครม. พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องมีธรรมาภิบาล ซึ่งทุกคนมีประสบการณ์ในการทำงานทางการเมืองมาแล้วหลายท่าน ฉะนั้น ตนหวังอย่างยิ่งว่า ประสบการณ์ที่ทุกท่านมีอยู่แล้ว จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น แก้ปัญหาเดิมๆ ในเรื่องความไม่เชื่อมั่น ความไม่ไว้วางใจได้ นั่นคือโอกาสที่ตนให้กับทุกคน ถ้าเราไม่ให้โอกาสตรงนี้เลย ทุกคนก็มาไม่ได้หมด ถูกหรือไม่ และทุกคนก็รู้ว่าที่ผ่านมา เราทำอะไรถูกอะไรดีหรือไม่ดีบ้าง วันนี้ตนให้โอกาสทุกคน เข้าใจหรือไม่ เพราะทุกคนได้คะแนนเสียงจากประชาชนทั้งหมด

“แต่ผมขอโอกาสของผมในการเป็นนายกรัฐมนตรีในการที่จะจัดสรรให้เหมาะสม นั่นคือหน้าที่ของผม โอเคหรือไม่ วันนี้ก็ต้องขอบคุณที่ทุกคนสนับสนุนผมมากพอสมควร ซึ่งขอให้เชื่อว่าด้วยกลไกประชาธิปไตยผมคาดว่าจะทำงานได้สำเร็จ วันนี้ไม่ว่าคำสั่ง ตามมาตรา 44 หรืออะไรต่างๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการปฏิรูป เนื่องจากติดปัญหาที่กฎหมายไม่มี ไม่พร้อม หลายอย่างจึงต้องปลดล็อกเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แล้ววันหน้าจะแก้ไขอะไรอันไหนที่เห็นว่าไม่เหมาะสมไม่ดีก็ไปแก้กันในสภา อย่ามาย้อนกลับไปมาอย่างที่พูดกันอยู่วันนี้เลย ผมก็หวังดีกับทุกคน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ขอจบขัดแย้ง พปชร. ยังอุบนั่งควบ รมต.กลาโหม

สำหรับประเด็นของความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า การแก้ปัญหาในพรรคนั้นมีความคืบหน้า เป็นไปตามที่มีทางพรรคมีการแถลง ซึ่งประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติในทุกพรรคการเมือง รวมถึงพลังประชารัฐเป็นพรรคใหม่  ตนขอขอบคุณทุกคน ขอทุกคนอย่าโกรธแค้นกันไปเลย และประชาชนก็ต้องไม่คล้อยตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าประชาชนคนไทยและนักการเมืองเข้าใจ

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวย้ำอีกครั้งว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายใน และในฐานะที่ตนเป็นผู้ที่ถูกเสนอและเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ให้แนวทางไปว่า ควรหากฎระเบียบต่างๆ ภายในพรรคให้เรียบร้อยว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นเดิมอีกในอนาคต วันนี้อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน เป็นธรรมดา อะไรที่มีการเปลี่ยนแปลงบางทีก็มีปัญหา

“การที่จะเอาหลายๆ พรรคมารวมกันเพื่อขับเคลื่อนไปด้วยกันก็ต้องมีปัญหา มีความขัดแย้งกันภายในอยู่บ้าง แต่เมื่อสื่อให้ความสนใจจึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ วันนี้เข้าใจกันแล้วก็จบ เพราะฉะนั้นจบได้แล้ว ผมก็ลืมไปแล้ว ผมหวังอยากให้พรรค พปชร.เป็นพรรคหนึ่งที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นในการทำงานเพื่อชาติและประชาชนต่อไปในอนาคตด้วย และเราจะเดินหน้าไปด้วยกลไกของทั้งการเมือง รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และระเบียบของพรรค ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในการทำงานเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อไปในอนาคต ก็หวังว่าจะร่วมมือกันเป็นอย่างดี” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า ครม.ยังไม่ทันตั้งเสร็จ แต่ในพรรคพลังประชารัฐมีความขัดแย้งกันมาก จะส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลในวันข้างหน้าหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า การตั้ง ครม.ในส่วนของตนจบแล้ว ในส่วนของ พปชร.ก็จบแล้ว พร้อมปฏิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบ และไม่มีเรื่องเสียงปริ่มน้ำ

เมื่อถามว่า วางกฎระเบียบในพรรคอย่างไร พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องดูว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป กลุ่มต่างๆ พวกนี้ควรจะมีหรือไม่ ควรจะเป็นพรรคการเมือง เป็นมติของพรรคหรือไม่

เมื่อถามว่า แสดงว่าวันนี้นายกฯ สามารถควบคุมคนในพรรคได้แล้วใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า ตนไม่ได้ควบคุม เพียงแต่ทำความเข้าใจกัน คุยกันรู้เรื่อง เพราะเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด

เมื่อถามว่าที่นายกฯ บอกว่าจบแล้ว หมายความว่าตำแหน่งเป็นไปตามที่แต่ละพรรคเสนอมาตั้งแต่แรกหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ถามกลับว่า ตอนไหน อย่างไรก็ตามก็เป็นเรื่องของตน เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีไม่ใช่หรือ ในการที่นายกฯ จะปรับให้เหมาะสมซึ่งทุกคนก็ยอมรับแล้วก็จบ

เมื่อถามว่า มีโอกาสหรือความจำเป็นต้องมีตำแหน่งบริหารในพรรคหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนยังไม่เห็นมีความจำเป็นตอนนี้ ซึ่งต้องดูว่าควรจะมีแค่ไหน หรือไม่มี ยังไม่รู้

เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่าปัญหาความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอีกครั้งตอนปรับ ครม. พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าเกิดขึ้นก็แก้กันต่อไป ปัญหาเขามีไว้ให้แก้ เข้าใจหรือไม่

เมื่อถามว่า มองว่านักการเมืองเขี้ยวลากดินเกินไปหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ เดินออกจากโพเดียมแถลงข่าวพร้อมกล่าวว่า ไม่หรอก เมื่อถามต่อไปว่า นายกฯ จะควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุสั้นๆ ว่า ขอให้คอยและใจเย็นๆ และเมื่อถามว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะอยู่ใน ครม.ใหม่ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายเพียงสั้นๆ ก่อนเดินออกไปว่า ใจเย็นๆ

ยันไม่มีปฏิวัติซ้อน ขอทุกฝ่ายร่วมมือปฏิรูปประเทศ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่ผู้สื่อข่าวขอให้อธิบายคำพูดของนายกฯ ที่ระบุว่า ไม่อยากใช้วิธีการแก้ปัญหาเดิมๆ ซึ่งมีการตีความว่าอาจมีการรัฐประหารขึ้นมาอีก ว่า ไม่อยากให้ตีความลึกซึ้งไปขนาดนั้น เพราะทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าปัญหานั้นเริ่มมาจากอะไร พอมีปัญหาขึ้นมาก็มีการเดินขบวน แล้วก็มีการขยายความไปจนรุนแรงมากขึ้น จนต้องมีการบังคับใช้กฎหมายมากยิ่งขึ้น ทุกคนก็ไม่มีความสุข คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็เดือดร้อนไปด้วย ตนขอพูดแค่นี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

“เรื่องของการปฏิวัติ รัฐประหารซ้อนก็ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แม้ผมจะเคยเป็นผู้กระทำมาตนก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก และในเวลานั้นผมก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ฉะนั้นเราควรกลับมาสู่การแก้ปัญหาที่ถูกวิธีดีกว่า 5 ปีที่ผ่านมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน บางอย่างก็ดี บางอย่างยังไม่เรียบร้อย แต่เราหยุดแค่นี้ไม่ได้ ไหนๆ เราก็ทำมาถึงวันนี้แล้วทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน เอกชน และภาคประชาสังคม เราต้องปฏิรูปทุกอย่างไปด้วยกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่งหน่วยงานเกี่ยวข้อง เยี่ยม “จ่านิว” ช่วยค่ารักษาพยาบาล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าการคลี่คลายคดี นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว ถูกดักทำร้ายที่ขณะนี้รัฐบาลตกเป็นจำเลยว่า ตนได้มีการกำชับหน่วยงาน เมื่อเช้าตนก็ได้พูดเรื่องนี้ในที่ประชุม คสช. และได้สั่งการกับผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปด้วย ให้ติดตามดูแลในเรื่องเหล่านี้ให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับกรณีอื่นๆ รัฐจะต้องดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะใครก็ตาม พร้อมกล่าวยินดีที่จ่านิวได้ทุนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ

“ก็ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเยี่ยมเยียน ดูแลความต้องการของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาพยาบาลต่างๆ ก็ขอให้ดูแลให้ดีที่สุด เพราะว่าผมก็ไม่ใช่ศัตรูของเขา วันนี้ก็มีผลกระทบมากในสังคมของเราอยู่แล้ว ฉะนั้นการทำร้ายซึ่งกันและกันไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

หวั่นฝนทิ้งช่วง ขอประชาชนช่วยกันเก็บน้ำ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักในช่วงนี้ในบางพื้นที่บางจังหวัด ซึ่งได้สั่งการหน่วยที่รับผิดชอบไปดูแลแล้ว ขณะเดียวกันตนรู้สึกเป็นห่วง เนื่องจากการประเมินล่วงหน้าเรื่องฝนตกทิ้งช่วงอาจมีผลกระทบต่อเกษตรผู้เพาะปลูกข้าว หรือพืชอื่นๆ ในช่วงฤดูฝนขอให้ทุกคนพยายามช่วยกันกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด

ส่วนราชการจะดูแลเรื่องของน้ำในเขื่อน อ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก พร้อมขอความร่วมมือประชาชนและท้องถิ่นในการช่วยดูเรื่องการระบายน้ำลงสู่แหล่งกักเก็บตามธรรมชาติ โดยการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น ทำทางน้ำเพื่อให้น้ำไหลลงไปยังแหล่งเก็บธรรมชาติเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้บ้างในช่วงฝนทิ้งช่วง ขอให้ทุกคนช่วยกัน เพราะหากปล่อยเป็นภาระรัฐบาลทั้งหมดก็จะเป็นไปได้ยาก

เผย 10 เดือนลดขยะพลาสติกได้ 2,700 ตัน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเนื่องในวันปลอดถุงพลาสติกว่า ตนได้เห็นผ่านโทรทัศน์ ที่ผู้ประกอบการหลายแห่ง ที่ห้างร้านได้นำใบตองมาห่อผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรแทนการใช้พลาสติก ซึ่งตนขอชื่นชม และเชิญชวนทุกห้างร้านให้ช่วยกันนำเรื่องนี้ไปขับเคลื่อน คงไม่ใช่เฉพาะวันที่ 3 กรกฎาคม 2562 นี้เท่านั้น เพราะมีการทำมาต่อเนื่องอยู่แล้ว และรัฐบาลก็มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ รวมทั้งมาตรการรณรงค์ต่างๆ โครงการทำความดีด้วยหัวใจ ลด ละ งดใช้ถุงพลาสติก ภาคเอกชนและภาครัฐก็ร่วมมือกัน รัฐบาลก็อำนวยความสะดวกให้

“10 เดือนที่ผ่านมาเราสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกไปได้ถึง 2,700 ตัน หรือ 1.5 พันล้านใบ นี่เป็นตัวเลขของเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งต้องดำเนินการต่อไป เราไม่ได้หยุดแค่นั้น เรามีโรดแมปการจัดการขยะพลาสติก 2561-2573 มีเป้าหมายลด ละ เลิกใช้พลาสติก และหันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

โดยในปี 2565 จะเลิกใช้พลาสติก 4 ชนิด ได้แก่ พลาสติกถุงหิ้วที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องโฟมใส่อาหาร หลอดพลาสติก รวมถึงแก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง รัฐบาลก็พยายามผลักดัน วันนี้หน่วยราชการต่างๆ ได้รณรงค์ไม่ใช้ถุงพลาสติกแล้ว จึงขอความร่วมมือจากภาคเอกชน และประชาชนต่อไป ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน ขอให้ปฏิเสธการรับถุงพลาสติกตามร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าพยายามขยับมาตรการจากลด เป็นงด ตามแผนที่วางไว้ ให้เร็วกว่าปี 2565 แต่ก็ต้องอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชนด้วย

มติ ครม.มีดังนี้

พล.ต. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : www.thailand.go.th

อุดหนุนบริการสาธารณะ “รถเมล์-รถไฟ” 5,013 ล้านบาท

พล.ต. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติวงเงินขอรับชดเชยการอุดหนุนบริการสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประจำปีงบประมาณ 2563 โดย ขสมก.ได้ขอรับอุดหนุน 4,976 ล้านบาท แต่กระทรวงการคลังโดยคณะกรรมการฯ อนุมัติเพียง 1,775 ล้านบาท

โดยปรับลดวงเงินส่วนของรายได้และต้นทุนของรถเมล์โดยสารแบบปรับอากาศออก เนื่องจากไม่ได้เข้าข่ายการให้บริการสาธารณะและไม่มีหลักฐานว่า ขสมก.ถูกควบคุมราคาการให้บริการ นอกจากนี้ ยังปรับลดวงเงินที่ขออุดหนุนในส่วนของเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ รวมไปถึงราคาเชื้อเพลิงที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามภาวะเศรษฐกิจ ด้าน รฟท.ขออุดหนุนมา 7,076 ล้านบาท แต่กระทรวงการคลังโดยคณะกรรมการฯ อนุมัติเพียง 3,238 ล้านบาท โดยลดวงเงินขออุดหนุนในส่วนของค่าโครงสร้างพื้นฐาน ค่าเสื่อม และดอกเบี้ยจ่าย เนื่องจากรัฐบาลได้รับภาระการลงทุนโครงการบางส่วนที่เกี่ยวข้องไปแล้ว รวมไปถึงลดในส่วนของบำเหน็จบำนาญของพนักงาน เพราะเป็นส่วนของพนักงานที่เกษียณอายุไปแล้ว

ปรับรายการสินค้าควบคุม ยกเลิก “นมข้น – ครีมเทียม”

พล.ต. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม.มีมติปรับปรุงรายการสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ โดยในปี 2562 กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศรายการสินค้าควบคุมไว้ 52 ประเภทสินค้าและบริการ แบ่งเป็นสินค้า 46 รายการและบริการ 6 รายการ แต่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าปัจจุบันด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปและต้องปรับปรุงรายการสินค้าควบคุมให้สอดคล้องกัน โดยแบ่งเป็นการเพิ่ม 1 รายการ ยกเลิก 1 รายการ และปรับปรุง 1 รายการ

รายการที่ปรับปรุง ได้แก่ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ โดยปรับเพิ่มต้นพันธุ์และท่อนพันธุ์เข้ามา เนื่องจากโรคไวรัสใบด่าง หากเกิดขึ้นจะที่กระทบอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศ โดยอาจจะทำลายผลผลิตมันสำปะหลังของประเทศถึง 80-100% รวมทั้งการใช้ยาฆ่าแมลงพาหะของโรคจะต้องพักดิน ซึ่งทำให้สูญเสียโอกาสในการเพาะปลูกและสร้างภาระต้นทุนเกษตรกร ขณะที่ด้านอุตสาหกรรมต่อเนื่องอาจจะได้รับผลกระทบจนกระทบต่อควาสามารถในการแข่งขันและสูญเสียส่วนแบ่งตลาดกับคู่ค้าสำคัญ จึงเห็นสมควรให้ปรับปรุงรายการดังกล่าวมาอยู่ในกลุ่มสินค้าควบคุมด้วย

รายการที่ปรับเพิ่มเข้ามา ได้แก่ หอมหัวใหญ่ เนื่องจากมีราคาตกต่ำในช่วงผลผลิตออกมาจำนวนมากในช่วงต้นฤดูกาลมาโดยตลอด รวมทั้งมีการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามีการนำเข้า 89,205 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 144% และมีปัญหาลักลอบนำเข้า จึงเห็นควรกำหนดให้เพิ่มในรายการสินค้าควบคุม เพื่อกำกับและดูแลสินค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกร มีให้เกิดผลกระทบต่อราคาหอมหัวใหญ่ที่เกษตรกรขายได้

สุดท้ายรายการที่ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน เนื่องจากความนิยมในการบริโภคลดลง ในขณะที่ตลาดมีผู้ประกอบการรายใหญ่จำนวนหลายรายและมีการแข่งขันสูง อีกทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาไม่มีการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าสูงขึ้นและไม่มีเรื่องร้องเรียนเรื่องราคาจำหน่ายสูงเกินควร และมีการใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบทดแทนที่ต้องนำเข้าอย่างไขมันเนย จึงเห็นควรให้ยกเลิกจากรายการสินค้าควบคุม

เห็นชอบจ้างที่ปรึกษารถไฟไทยจีนระยะ 2 – 751.6 ล้านบาท

พล.ต. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ระยะที่ 2 (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย)ระยะเวลาดำเนินการ 19 เดือนในวงเงิน 751,624,800 บาท ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้

1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 112,743,700 บาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สำหรับส่วนที่เหลือจำนวน 638,881,100 บาท อนุมัติให้ รฟท. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 ตามแผนการเบิกจ่ายต่อไป โดยให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณประจำปีให้ รฟท.ตามขั้นตอนต่อไป

2. อนุมัติให้ รฟท.ได้รับการยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่องการปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) สำหรับการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาในครั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสัดส่วนการได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรกที่กำหนดไว้ว่าต้องได้รับการจัดสรรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นงบประมาณทั้งสิ้น สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ กค.ได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 แล้วโดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป

ไฟเขียว ทอท.เยียวยาเหตุปิดสุวรรณภูมิ ปี’53 แก้สัญญาร่วมทุนเอกชน 4 ราย

พล.ต.อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนตามนัยมาตรา 64 และมาตรา 68 (3) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวม 4 สัญญา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันนำไปสู่การปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจนเกิดผลกระทบต่อเนื่องระหว่างเดือนเมษายน-ธันวาคม 2553 เป็น เวลา 9 เดือน

โดยสัญญาร่วมลงทุนที่มีการปรับแก้ไขนั้นเป็นร่างสัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.กับเอกชน ได้แก่ 1. โครงการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับบริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด 2. โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับบริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด 3. โครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับบริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด และ 4. โครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับบริษัท แอลเอสจี สกายเชฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีมาตรการช่วยเหลือ 3 มาตรการดังนี้

  • มาตรการที่ 1 เลื่อนการเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำของปีสัญญาที่ 2 ไปเป็นอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำในปีสัญญาที่ 4 และปีสัญญาที่ 5
  • มาตรการที่ 2 ยกเว้นค่าตอบแทนขั้นต่ำ 9 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน-ธันวาคม 2553 (กรณีค่าตอบแทนที่คำนวณจากอัตราร้อยละสูงกว่าอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำให้เรียกเก็บเงินค่าตอบแทนในอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำ)
  • มาตรการที่ 3 เลื่อนการเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำของปีสัญญาที่ 3 ไปเป็นอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำในปีสัญญาที่ 6 และตั้งแต่ปีสัญญาที่ 4 เป็นต้นไปให้เลื่อนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำที่กำหนดไว้เป็นลักษณะเดียวกันกับการเลื่อนอัตราร้อยละและอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำของปีสัญญาที่ 3 เป็นปีสัญญาที่ 6 จนครบกำหนดอายุสัญญา 20 ปี

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมมีความเห็นว่า การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้เอกชนที่ร่วมลงทุนได้รับความช่วยเหลือที่เท่าเทียมกันทุกราย เนื่องจากที่ผ่านมาการบินไทยซึ่งเป็นผู้ประกอบการในโครงการลักษณะเดียวกันได้รับความช่วยเหลือไปแล้วส่งผลให้มึต้นทุนการดำเนินงานที่ต่างกัน ด้านกระทรวงการคลังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การชดเชยครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ ทอท. จึงเห็นควรให้ ทอท.ตรวจสอบมูลค่าความช่วยเหลืออย่างรอบครอบ

ขอบคุณทุกฝ่าย หนุนประชุม G20 ลุล่วง

พล.ต. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ดำเนินการอำนวยความสะดวกในการไปประชุมสุดยอดผู้นำประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั้ง 20 ชาติ (G20) ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ

โดยการประชุมดังกล่าวมีการพูดถึงเรื่องสังคมผู้สูงอายุการเปลี่ยนแปลงของประชากรในแต่ละประเทศ รวมถึงสิทธิของสตรีเป็นหลัก และปัญหาขยะทะเล ซึ่งประเทศไทยนายกฯพูดถึงเรื่องการเปิดเสรีทางการค้า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาเซป) และเสนอแนวคิดอินโดแปซิฟิกให้สมาชิกจี 20 ได้รับทราบแนวทางในฐานะที่เราเป็นประธานอาเซียนในปีนี้

นอกจากนี้ ไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม CLMVT Forum 2019 ภายใต้แนวคิดหลัก คือ “การผลักดันให้ CLMVT เป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่แห่งเอเชีย” เพื่อขับเคลื่อนการสร้างความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ทั้งภายใน CLMVT และภายนอก รวมทั้งเพื่อสร้างเครือข่ายของผู้นำทางธุรกิจ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งการประชุมดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

รับรองมติ UNSC เน้นไทยเฝ้าระวังเส้นทางการเงินก่อการร้าย

พล.ต. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council – UNSC) เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2462 (ค.ศ. 2019) และมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือข้อขัดข้อง หรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ

ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อการก่อการร้ายที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือเผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย หาสมาชิก ระดมทุนและวางแผนการก่อการร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยข้อมติฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้ไทยในฐานะรัฐสมาชิกจะต้องดำเนินการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ เช่น การกำหนดความผิดทางอาญาที่รุนแรงสำหรับการดำเนินคดีและลงโทษที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม เปิดเผยบัญชีการอายัดทรัพย์สินระดับชาติหรือระดับภูมิภาคต่อสาธารณะ ซึ่งไทยควรเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเพื่อการป้องปรามเกี่ยวกับการห้ามเดินทางเข้าหรือผ่านดินแดน และข่าวกรองทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมหรือความเคลื่อนไหวของเครือข่ายก่อการร้ายกับประเทศต้นทาง ประเทศถิ่นพำนัก หรือเจ้าของสัญชาติ ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทาง

“เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางการเงินและการเดินทางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีความเป็นไปได้ที่นักรบก่อการร้ายต่างชาติอาจเลือกเดินทางผ่านเข้าและออกจากไทย หรือใช้ไทยเป็นที่พักพิง รวมทั้งอาจดำเนินธุรกรรมการเงินในหรือผ่านประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการก่อการร้ายทั้งในภูมิภาคนี้และภูมิภาคอื่น” พล.ต. อธิสิทธิ์ กล่าว

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 เพิ่มเติม