ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” เชื่อวุฒิภาวะ ส.ส.-ส.ว. โหวตนายกฯ ดักคอ อย่าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ – มติ ครม.ไฟเขียวคลังเสริมสภาพคล่อง ขสมก. 1.1 หมื่นล้าน

“บิ๊กตู่” เชื่อวุฒิภาวะ ส.ส.-ส.ว. โหวตนายกฯ ดักคอ อย่าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ – มติ ครม.ไฟเขียวคลังเสริมสภาพคล่อง ขสมก. 1.1 หมื่นล้าน

4 มิถุนายน 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

อวยพร “วันฮารีรายอ” ขอพี่น้องมุสลิมไทยประสบความสำเร็จ

พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวอวยพรเนื่องในวันฮารีรายอ ซึ่งตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ว่า ในนามของรัฐบาลขอส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องชาวไทยมุสลิม เนื่องในวันฮารีรายอ ขอให้ทุกท่านมีความสุข ประสบในสิ่งที่ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง จิตใจเบิกบาน รวมทั้งขอให้ชาวไทยมุสลิมที่ประกอบกิจกรรมทั้งหลาย ประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวังทุกประการ

ยืนยันใช้วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่ปฏิเสธการไปแสดงวิสัยทัศน์ในวันเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องดังกล่าวได้ตอบไปแล้ว ที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่โดยพยายามทำให้ดีที่สุด พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ มากมาย ซึ่งวิสัยทัศน์ของตนคือมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน ภายในหลักการสามัญคือการมองอนาคตไปข้างหน้า ได้มีแผนปฏิบัติราชการมาโดยตลอด และวันนี้ได้วางยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทไว้อีก ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ เพิ่มความเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งกายภาพและในส่วนของดิจิทัล ต้องปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกในวันนี้ด้วย

ยังหวังรัฐบาลเสียงข้างมาก – ยันเคารพเสียง ปชช. วอนทุกฝ่ายร่วมมือกัน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่มีการมองกันว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยังไม่ตอบรับร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะให้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปก่อน ว่า อย่าเพิ่งไปมองว่าอะไรจะเกิดขึ้นเลย เพราะวันนี้ยังไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น ต้องรอดูหลังวันที่ 7 มิถุนายน 2562 ซึ่งจะเป็นวันโหวตเลือกนายกฯ ไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นวิถีทางทางการเมืองทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว การจัดตั้งรัฐบาลจะโดยเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อยก็ไม่รู้ แต่ทุกคนก็มุ่งหวังว่าจะให้เกิดเสียงข้างมาก ส่วนจะมากหรือน้อยเพียงใดก็ให้เคารพเสียงของประชาชนที่เลือกมาทั้งหมด

ต่อคำถามหลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องตั้งรัฐบาลทันทีเลยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า คำตอบทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าทุกคนอยากจะให้ตั้งรัฐบาลให้เร็ว เพราะฉะนั้นทุกคนที่อยู่ในกลไกการจัดตั้ง ครม.ก็ต้องหาทางออกให้ได้เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ

“ไม่ใช่รัฐบาลของพรรคใดพรรคหนึ่ง เป็นรัฐบาลของประชาชน เป็นรัฐบาลของประเทศ เพราะฉะนั้นจึงต้องหาทางออกกันให้ได้ ทุกคนต่างก็มุ่งหวังเข้ามาทำงานการเมือง เพื่อประชาชนด้วยกันทั้งสิ้น และประชาชนก็ยังรอความหวังจากรัฐบาลนี้อยู่” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าคิดว่าเมื่อตั้งรัฐบาลเสร็จแล้วสถานการณ์ทางการเมืองจะสงบเรียบร้อยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ตนไม่อยากให้มองเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองอย่างเดียว ต้องมองเรื่องของการมีเสถียรภาพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมสิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้ รวมถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย จะไปมองเรื่องการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ การเมืองเป็นแต่เพียงกลไกหนึ่ง ในการทำหน้าที่เพื่อประชาชนทุกหมู่ทุกฝ่าย เราทุกอาชีพทุกรายได้เพราะถือเป็นคนไทยทั้งประเทศ 70 ล้านคน

“เราเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชนโดยประชาชนทั้งสิ้นภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข นายกฯ ทำคนเดียวไม่ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ คนใดก็ตาม ทุกคนต้องร่วมมือกัน แบ่งแยกกันไม่ได้ ทั้งนักการเมืองข้าราชการ เอกชน และประชาชนทุกคน ต้องมีส่วนร่วมทั้งหมด เพื่อทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

เชื่อวุฒิภาวะ ส.ส.-ส.ว. โหวตนายกฯ ดักคอ อย่าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า หลายคนอยากจะถามว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรจะเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้มองในทางที่ดี อย่าไปมองในทางที่ไม่ดี ตนเชื่อในวุฒิภาวะของบรรดา ส.ส. และ ส.ว. สมาชิกผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย รวมถึงขีดความสามารถ ประสบการณ์ของประธานรัฐสภาทั้งสองท่าน น่าจะทำให้การประชุมในวาระการเลือกนายกฯ ดำเนินการต่อไปได้ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

“ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัว ก็อยากให้พูดกันเฉพาะวาระที่กำหนดไว้ในการประชุม ไม่ใช่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันนั้นไว้โอกาสต่อไปแล้วกัน ไม่ใช่เวลาในขณะนี้ ผมคิดว่าวันนี้คนไทยทุกคน มุ่งหวัง คาดหวัง และรอเฝ้าฟังการประชุมร่วมรัฐสภาของพวกเราในวันพรุ่งนี้ ผมอยากให้ทุกคนได้มั่นใจในบรรดานักการเมือง ส.ส. ต่างๆ ที่ได้คัดเลือกจากประชาชนเข้ามาทำหน้าที่ผู้ทรงเกียรติ และทุกคนทราบดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในระยะเวลากว่า 10 ปี”

“ทุกคนต้องนำมาเป็นบทเรียนว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดขึ้นอีก ทำอย่างไรให้ประชาชนไม่เบื่อหน่าย ทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่น ทำอย่างไรสิ่งที่ได้หาเสียงไว้ทำตามขั้นตอนตามความเหมาะสม ตามสถานการณ์ ซึ่งทุกอย่างไม่มีอะไรจะได้โดยเร็วทั้งหมดเพราะทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงภาระงบประมาณของรัฐด้วย ถ้ายังเป็นแบบเดิมๆ ประเทศไทยจะเสียโอกาสอีกมากมาย เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจโลกยังมีปัญหา” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า หลายคนบอกว่าอยากให้มีการปฏิรูป ซึ่งการเมืองเราเริ่มต้นมาระยะหนึ่งแล้ว จากนี้เป็นการปฏิรูปการเมืองในระบบรัฐสภา โดยสมาชิกภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ต้องช่วยให้การปฏิรูปการเมืองของเราเดินหน้าไปด้วยดีไม่กลับไปสู่ปัญหาเดิมๆ อีก

“ดังนั้น เราควรเริ่มจากการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แสดงให้ประชาชนมั่นใจว่าเขาเลือกมาแล้วไม่ผิด โอเคนะ ไม่ใช่ของพรรคใดพรรคหนึ่งหรอก” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า สรุปว่าไม่อยากให้มีการอภิปรายใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ที่เดินยิ้มออกจากโพเดียม เมื่อได้ยินคำถามถึงกับหุบยิ้มทันที

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

ไฟเขียวคลังเสริมสภาพคล่อง ขสมก. 11,319 ล้านบาท

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังกู้เงินเสริมสภาพคล่องให้กับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) วงเงิน 11,319 ล้านบาท เพื่อใช้หมุนเวียนการชำระค่าเชื้อเพลิง ค่าเหมาซ่อม และเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากมีปัญหาขาดทุนกว่าแสนล้านบาทในปัจจุบัน

โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน เพื่อให้ ขสมก. มีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอต่อการให้บริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งการกู้เงินของ ขสมก.ในครั้งนี้ จะทำให้สามารถประหยัดค่าดอกเบี้ยค้างชำระได้ประมาณ 5.317-5.572% หรือประมาณเดือนละ 21.286 ล้านบาท หรือปีละ 255.433 ล้านบาท

อนึ่งยอดหนี้ปัจจุบันของ ขสมก. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีหนี้สินค้างชำระรวม 115,075.08 ล้านบาท แบ่งเป็น หนี้พันธบัตรเงินกู้พร้อมดอกเบี้ย 62,577.65 ล้านบาท, หนี้เงินกู้ระยะยาวพร้อมดอกเบี้ย 44,253.13 ล้านบาท, หนี้ค่าเชื้อเพลิง 138.17 ล้านบาท, หนี้ค่าเหมาซ่อม 242.89 ล้านบาท, ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงาน 1,510.18 ล้านบาท, หนี้กองทุนบำเหน็จพนักงาน 4,538.31 ล้านบาท และหนี้อื่นๆ 1,814.76 ล้านบาท

เห็นชอบลดหย่อนภาษีได้ 25% ส่งเสริมใช้พลาสติกย่อยสลาย

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพ) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

ลดปริมาณการใช้พลาสติกที่จะกลายเป็นขยะตกค้าง โดยกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำรายจ่ายจากการซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพที่ได้รับใบรับรองผลิตภัณฑ์จากกระทรวงอุตสาหกรรมมาหักเป็นรายจ่ายได้อีกเป็นจำนวนร้อยละ 25 สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 – 31 ธันวาคม 2564

“มาตรการลดหย่อนภาษีนี้เท่ากับนิติบุคคลที่ซื้อพลาสติกที่ย่อยสลายได้เท่ากับ 100 บาทจะได้ลดภาษี 125 บาท” นายณัฐพรกล่าว

การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1,300 ล้านบาท แต่จะช่วยส่งเสริมการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ช่วยลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ และช่วยลดปริมาณขยะและสิ่งตกค้างที่ไม่ย่อยสลาย ส่งผลดีในเรื่องการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศและลดงบประมาณของภาครัฐในการกำจัดขยะตกค้างและการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ เป็นทางเลือกของการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ทดแทนพลาสติกที่สลายตัวไม่ได้ทางชีวภาพ ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub of ASEAN

ต่ออายุ “มาตรการพี่ช่วยน้อง” ส่งเสริม SMEs ถึง 31 ธ.ค. 63

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. [ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง)] โดยมีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs “พี่ช่วยน้อง” ออกไปอีก 2 ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563

เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบการ SMEs ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการส่งเสริมการดำเนินกิจการต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งกระทรวงการคลังประเมินแล้วคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละ 100 ล้านบาท แต่มาตรการดังกล่าวจะเป็นการเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ SMEs อย่างต่อเนื่อง” นายณัฐพรกล่าว

อนึ่ง มาตรการพี่ช่วยน้องคงหลักเกณฑ์เดิมคือ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้กับบริษัทเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ที่มีสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินเกิน 200 ล้านบาท และจ้างงานเกินกว่า 200 คน และมีค่าใช้จ่ายไปช่วยเหลือการดำเนินธุรกิจของบริษัทขนาดเล็กที่มีสินทรัพย์ถาวรรวมที่ดินไม่เกิน 200 และจ้างงานไม่เกิน 200 คน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา ต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิจะได้รับการยกเว้นภาษี คาดว่า มาตรากรนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 100 ล้านบาท

อนุมัติเว้นภาษีดอกเบี้ย-รางวัลสลาก ธอส.

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการระดมทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ) เพื่อส่งเสริมภารกิจของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในการสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และการระดมเงินโดยการออกผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์ และเงินฝากประเภทออมทรัพย์ เพื่อนำมาใช้ในโครงการสินเชื่อต่างๆ ของธนาคาร และตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งเพื่อสร้างความเป็นธรรมในด้านภาระภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์ และเงินฝากประเภทออมทรัพย์ในลักษณะเดียวกันของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐอื่น (ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่ได้รับยกเว้นภาษีสำหรับดอกเบี้ย)

โดยกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยและรางวัลสลากออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ แต่ไม่รวมถึงดอกเบี้ยซึ่งผู้รับมิใช่ผู้ทรงคนแรก ทั้งนี้ สำหรับสลากออมทรัพย์ที่ออกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป และกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทั้งนี้ สำหรับดอกเบี้ยที่คำนวณตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ธอส. ได้กำหนดเป้าหมายการให้สินเชื่อในปี 2562 ประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อยและปานกลาง โดยทุนดังกล่าวมีที่มาจาการรับฝากเงิน กู้ยืมเงิน และออกพันธบัตร รวมทั้งการออกจำหน่ายสลากออมทรัพย์

นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคม 2562 ธอส. มีโครงการออกจำหน่ายสลากออมทรัพย์วงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท อายุสลาก 36 เดือน (3 ปี) แต่เนื่องจากปัจจุบันสลากผู้ซื้อสลากของ ธอส. ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากดอกเบี้ยที่ได้รับ ซึ่งไม่จูงใจและเป็นอุปสรรคในการระดมทุนของ ธอส.

“ประเมินว่า รัฐจะต้องสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,005 ล้านบาท จากการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสลากออมทรัพย์ในปี 2565 เป็นจำนวน 126 ล้านบาท และสูญเสียรายได้ระหว่างทางจากการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยของรางวัลสลาก (รางวัลละ 9 ล้านบาท) ในปี 2562 เป็นเงิน 750,000 บาท ในปี 2563-2564 ปีละ 3 ล้านบาท และปี 2565 อีก 2.25 ล้านบาท นอกจากนี้รัฐจะสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ในปี 2562 จำนวน145 ล้านบาท และในปีต่อๆ ไป จำนวน 290 ล้านบาท” นายณัฐพรกล่าว

อนุมัติ 2,630 ล้านบาท สร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 5

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติ การจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาล แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) และเห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินการโครงการก่อสร้างสะพานดังกล่าว ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 2,630 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ

โดยวงเงินดังกล่าวแบ่งเป็นวงเงินค่าก่อสร้าง 2,533 ล้านบาท และค่าควบคุมงาน 77 ล้านบาท ทั้งนี้ไม่รวมวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ 400 ล้านบาท ส่วนค่างานก่อสร้างที่ฝั่ง สปป.ลาวต้องรับผิดชอบเป็นเงินทั้งสิ้น 1,300 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งโครงการ 3,930 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้

  • งานถนนและด่านพรมแดนฝั่งไทย แบ่งเป็น ค่างานก่อสร้าง 1,766 ล้านบาท และค่างานควบคุมอีก 53 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,766 ล้านบาท
  • งานสะพานข้ามแม่น้ำโขงฝั่งไทย (รวมงานปรับปรุงสี่แยก ทล. 212 และลานเอนกประสงค์ใต้สะพาน) แบ่งเป็น ค่างานก่อสร้าง 787 ล้านบาท และค่างานควบคุมอีก 24 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 811 ล้านบาท
  • งานสะพานข้ามแม่น้ำโขง ฝั่ง สปป.ลาว แบ่งเป็น ค่างานก่อสร้าง 476 ล้านบาท และค่างานควบคุม 14 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 490 ล้านบาท (ฝั่ง สปป.ลาวเป็นผู้รับผิดชอบ)
  • งานถนนและด่านพรมแดน ฝั่ง สปป.ลาว แบ่งเป็น ค่างานก่อสร้าง 780 ล้านบาท และค่างานควบคุมอีก 30 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 810 ล้านบาท (ฝั่ง สปป.ลาวเป็นผู้รับผิดชอบ)

อนึ่งสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 นี้ มีการออกแบบโดยใช้แคนมาเป็นต้นแบบของเสาหลักสะพาน มีความยาวรวม 1,350 เมตร ระยะทางรวมทั้งโครงการเมื่อรวมกับถนนเชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงในแต่ละประเทศแล้วมีระยะทางทั้งสิ้น 16.340 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการเชื่อมโยง ไทย ลาว และเวียดนาม สามารถเชื่อมต่อระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตะวันออก-ตะวันตก ไปสู่ท่าเรือน้ำลึกที่เมืองดานัง ในเวียดนาม และเชื่อมต่อถนนมิตรภาพไปยังท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังของไทยได้

“โดยคาดการมูลค่าผลตอบแทนสุทธิ 418.7 ล้านบาท ค่า IRR อยู่ที่ 14.40% โครงการนี้มีระยะเวลาโครงการทั้งสิ้น 3 ปี โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ทั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่ายได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลการก่อสร้างดังกล่าวด้วย” นายณัฐพรกล่าว

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2562เพิ่มเติม