ThaiPublica > เกาะกระแส > บันทึกปรากฏการณ์ – สีสันทางการเมือง กับเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

บันทึกปรากฏการณ์ – สีสันทางการเมือง กับเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

24 มีนาคม 2019


ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึงขณะนี้ คนไทยทั้งประเทศตื่นตัวออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 24 มีนาคม กันอย่างคึกคัก หากย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์สำคัญๆ และสีสันทางการเมืองในรอบหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ละเหตุการณ์ล้วนถูกกล่าวขานและเป็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเข้มข้นทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการการเมืองไทยและประเทศไทย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

  • เลือกตั้ง 2562 : สำรวจข้อมูลผู้สมัคร ส.ส. 81 พรรค “เหล้าใหม่” หรือ “เหล้าเก่า” ในขวดใหม่ !!
  • กกต.ประกาศผู้เลือกตั้งล่วงหน้า กทม.มากที่สุด หน่วยรร.บางกะปิ 6 หมื่นคน น้อยที่สุดหน่วยรพ.ทหารผ่านศึก36คน
  • ข่าวทั้งหมด เส้นทางเลือกตั้ง 2562
  • ในหลวง ร.10 โปรดเกล้าฯ อัญเชิญพระบรมราโชวาทในหลวง ร.9 “ส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมือง”

    เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2562  โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เผยแพร่ประกาศสำนักพระราชวัง ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เลขาธิการพระราชวังอัญเชิญพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานไว้ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันพฤหัสบดี ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒ ความหนึ่งตอนว่า

    “ขอให้ทราบถึงสิ่งสำคัญในการปกครองไว้ว่าในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี  ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”

    ทั้งนี้ ทรงมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนในชาติ ตลอดจนข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของประเทศชาติและบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน ได้ทบทวนและตระหนักถึงพระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานไว้ ด้วยทรงมีความห่วงใยในความมั่นคงของประเทศชาติ ความรู้สึกและความสุขของประชาชน จึงได้พระราชทานเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและเป็นการเตือนสติ ให้น้อมนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความสมัครสมานสามัคคี ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง และความสุขของประชาชน เป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงรักและห่วงใยในชาติบ้านเมืองและประชาชนมาโดยตลอด

    จึงประกาศมาให้ทราบ

    “ปรากฏการณ์ 8 กุมภาฯ”

    เช้าวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค ต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  เหตุการณ์นี้ได้สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองและเป็นกระแสข่าวไปทั่วโลก เกิดแฮชแท็ก #ทรงพระสเลนเดอร์ ท่ามกลางความรู้สึกที่แตกต่างหลากหลายในสังคมไทยตลอดทั้งวัน

    …บ้างก็รู้สึกดีใจ พร้อมส่งเสียงทรงพระเจริญ  เห็นหนทางไปสู่ความปรองดองสงบสุขของบ้านเมือง …บ้างก็ประหลาดใจ แต่ไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอะไรมากนัก …บ้างระบุว่าขอให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป …บ้างก็เห็นว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวยุติลงในช่วงค่ำวันเดียวกัน เมื่อมีพระราชโองการในหลวงรัชกาลที่ 10 ระบุตอนหนึ่งว่า  “..พระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

    7 มีนาคม “ยุบพรรคไทยรักษาชาติ”

    หลังเหตุการณ์วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ส่งผลให้พรรคไทยรักษาชาติเผชิญวิบากกรรมทั้งทางการเมืองและทางกฎหมาย  แม้พรรคจะออกแถลงน้อมรับพระราชโองการในวันที่ 9 กุมภาพันธ์  แต่ 2 วันต่อมา ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ยื่นหนังสือต่อ กกต. ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ

    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/TSNParty/photos/pcb.393049888178686/393047998178875/?type=3&theater

    ถัดมาวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เลขาธิการ กกต. นำคำร้องยุบพรรคไทยรักษาชาติยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องยุบพรรคไทยรักษาชาติ หลังจากนั้นวันที่ 20 กุมภาพันธ์  พรรคไทยรักษาชาติส่งคำชี้แจงข้อกล่าวหา

    ต่อมา วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ไต่สวนเพิ่มเติม พร้อมกำหนดวันวินิฉัยยุบพรรค 7 มีนาคม จนกระทั่งบ่ายวันที่ 7 มีนาคม 2562  ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ยุบพรรคไทยรักษาชาติ พร้อมตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี เหตุนำสมาชิกพระราชวงศ์ชั้นสูงมายุ่งเกี่ยวทางการเมือง เข้าลักษณะอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข … ปิดฉากพรรคไทยรักษาชาติอย่างเป็นทางการ

    ซึ่งหากดูจากรายชื่อกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกตัดสิทธิ 10 ปี  ต้องบอกว่าล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ลูกหลานนักการเมืองแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค, ฤภพ ชินวัตร รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 (ลูกชายพายัพ ชินวัตร), มิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรค (ลูกชายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคเพื่อชาติ), ต้น ณ ระนอง รองเลขาธิการพรรค (ลูกชายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย), ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค (ลูกสาวเยาวเรศ ชินวัตร)

    กระแส #ฟ้ารักพ่อของธนาธร และพรรคอนาคตใหม่

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ #ฟ้ารักพ่อ  ทำให้กระแส “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคอนาคตใหม่ จุดติดในสังคมการเมืองไทย  นับตั้งแต่เปิดตัวพรรคไปเมื่อ 15 มีนาคม 2561 ปีที่แล้ว

    ภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ถูกมองว่ายึดมั่นในหลักการ มุ่งมั่น จริงจัง มีอุดมการณ์ ส่งผลให้ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ค่อยๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่ทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าต่างก็ให้ความสนใจและจับตามองในการเลือกตั้งครั้งนี้

    อย่างไรก็ดี มีกระแสโจมตีธนาธรในด้านลบอยู่เป็นระยะๆ แต่ธนาธรโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์อุดมการณ์และเจตนารมณ์ในการทำงานการเมืองของพวกเรา-พรรคอนาคตใหม่ ส่วนการป้ายสีสาดโคลนนั้นถึงจะเปรอะเปื้อนบ้างก็ไม่เป็นไร แค่ล้างตัวจากคราบโคลนที่ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วเดินหน้าต่อ เราเหลือเวลาไม่มาก เอามาสร้างอนาคตที่ดีกว่าของคนอีกล้านๆ คนให้เป็นจริงดีกว่าครับ”

    รศ. ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก วิเคราะห์ผ่านไทยพับลิก้าว่า การสื่อสารทางการเมืองธนาธรมีความคงเส้นคงวา มีจุดยืนชัดเจนในการต่อต้านทหาร ปรารถนาดีต่อคนที่เดือดร้อน เป็นภาพของคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจจริง

    “แม้จะดูดุดัน ฮาร์ดคอร์ไปบ้าง แต่ในทางการตลาดถ้าคุณไม่แตกต่างอย่างชัดเจน คุณก็ต้องไปเป็นเบอร์สอง แต่ถ้าคุณต้องการให้คนจดจำ คุณต้องแตกต่างอย่างชัดเจน ถ้าแนวทางธนาธรมาแบบประนีประนอม รักพี่เสียดายน้อง ไม่แตกหักกับใคร ก็ไม่แตกต่างจากพรรคที่อยู่ในตลาดการเมือง 30-40 พรรค”

    ที่มาภาพ: พรรคอนาคตใหม่

    “แต่ธนาธรเขาชัดเจน จึงเป็นจุดขายของเขา คือความแตกต่างอย่างสุดขั้ว แต่ถ้าได้เข้าไปในสภา ก็อาจจะไปประนีประนอมหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ ณ ตอนนี้แตกต่างแล้วชัดเจน ซึ่งจะได้มวลชนจำนวนหนึ่งที่เขาเอาด้วย แต่ก็จะเสียมวลชนประเภทกลางๆ และกลุ่มอนุรักษ์ไป”

    “ไม่นับรวมการสื่อสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก พรรคอนาคตใหม่สามารถสร้างไวรัลขึ้นมาทุกวันได้เก่งมาก เป็นเพราะเขาโพซิชันนิงกับคนรุ่นใหม่ แล้วคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าใช่ รู้สึกว่าเป็นสินค้าของเขา พอใช่ก็ซื้อ แล้วคนรุ่นใหม่ไม่อยู่เฉย ซื้อแล้วยังบอกต่อ แชร์ต่อจนกลายเป็นไวรัลขึ้นมา” ดร.นันทนากล่าว

    “จินนี่” ลูกแม่หน่อย-สุดารัตน์ “พรรคเพื่อเธอ”

    นอกจากปรากฏการณ์ #ฟ้ารักพ่อ ของธนาธรแล้ว อีกปรากฏการณ์ที่กลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียคือกระแส “จินนี่ พรรคเพื่อเธอ” หรือ น้องจินนี่-ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย นั่นเอง

    ภาพลักษณ์ของน้องจินนี่ในลุคของเด็กสาวเด็กยุคใหม่  ใส่แว่น สดใส เดินช่วยคุณแม่หน่อยสุดารัตน์ หาเสียงในย่านประตูน้ำหรือที่สยาม ช่วยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ออย่างออกไปเลือกตั้ง แถมยังช่วยส่งเสริมกระแสทางการเมืองของคุณหญิงสุดารัตน์ไปในตัว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

    คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงย่านสยามสแควร์พร้อมกับบุตรสาว “น้องจินนี่” น.ส.ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ และครอบครัว, ที่มาภาพ: พรรคเพื่อไทย

    ปัจจุบันจินนี่เป็นนิสิตชั้นปีที่ 2 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นคณะและสถาบันเดียวกับที่คุณหญิงสุดารัตน์สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี จินนี่-ยศสุดา ให้สัมภาษณ์กับ “วอยซ์ ออนไลน์” ว่าตัวเองจะลงพื้นที่หาเสียงร่วมกับมารดาแล้วแต่โอกาส โดยมาให้กำลังใจด้วย

    เมื่อถามถึงกระแสในโซเชียลมีเดียที่โพสต์เป็นปรากฏการณ์ จินนี่ พรรคเพื่อเธอ เป็นห่วงกระแสเหล่านี้หรือไม่ น.ส.ยศสุดา บอกอย่างอารมณ์ดีว่า “ก็เห็นค่ะ ก็งงๆ เหมือนกันค่ะ คุณแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

    คนแห่ใช้สิทธิ “เลือกตั้งล่วงหน้า” และสารพันปัญหาของ กกต.

    การเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา มีผู้ออกไปใช้สิทธิจำนวนมาก กกต. สรุปว่ามีจำนวนผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งนอกเขตและนอกราชอาณาจักรรวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านคน คิดเป็น 86.98% หลายแห่งประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เกินกว่า 90% แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวในการออกไปใช้สิทธิครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด

    ในวันเลือกตั้งล่วงหน้า เราได้เห็นบรรยากาศคนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอลงคะแนน เห็นภาพคนวิ่งเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งให้ทันเส้นตายก่อน 5 โมงเย็น เห็นคนดังออกมาใช้สิทธิกันอย่างคับคั่ง อย่างไรก็ดี ก็พบปัญหาที่เกิดขึ้นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแจกบัตรเลือกตั้งผิดเขต, ปัญหาไม่มีข้อมูลผู้สมัคร, ปัญหาต่อคิวยาวนาน, ปัญหาบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าที่คัดแยกโดยไปรษณีย์ไทยถูกส่งไปผิดเขต

    นอกจากนี้ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. แถลงว่า กกต. ยังได้รับรายงานว่าอาจมีการกระทำทุจริตเลือกตั้งในพื้นที่ จ.สมุทรสาครและอุทัยธานี โดยพบว่ามีผู้นำบัตรเลือกตั้งไปทั้งเล่ม นำไปทำเครื่องหมายเลือกผู้สมัครพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แต่ในเบื้องต้นได้สั่งทำลายเรียบร้อยแล้ว และส่งบัตรเลือกตั้งใหม่แทนบัตรที่ทำลาย พร้อมกับแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องถิ่น และพบการทำเอกสารปลอมเกี่ยวกับข้อมูลเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งที่ 2 จ.กาฬสินธุ์

    ส่วนกรณีการแจกบัตรเลือกตั้งผิดเขต ได้รับการรายงานมาจากหลายจังหวัด โดยได้มีการแก้ไขให้คณะกรรมการประจำสถานที่เลือกตั้งจ่ายบัตรที่ถูกต้องให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใหม่ แต่กรณีที่มีการลงคะแนนและนำบัตรใส่ในหีบไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ก็ได้ให้คณะกรรมการประจำหน่วยบันทึกเหตุการณ์ไว้ใน รวมไปถึงกรณีของ Smart Vote ที่ไม่สามารถใช้งานได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเกิดจากระบบเซิร์ฟเวอร์ขัดข้องโดยทางผู้พัฒนาแอปพลิเคชันจะปรับปรุงไม่ให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในวันที่ 24 มีนาคมนี้

    การเลือกตั้งล่วงหน้าของไทย 17 มีนาคม 2562 ที่มาภาพ: https:// www.matichon.co.th/news-monitor/news_ 1410724

    ล่าสุด กรณีบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าที่คัดแยกโดยไปรษณีย์ไทยถูกจัดส่งไปผิดเขตนั้น บริษัทไปรษณีย์ไทยชี้แจงว่าจะเร่งดำเนินการส่งต่อไปยังปลายทางที่ถูกต้องทันที และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าที่คัดแยกไปปลายทางในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอีกครั้ง ก่อนจะส่งต่อไปยังเขตเลือกตั้งทั้งหมดต่อไป

    “โซเชียลมีเดีย” Fake News และบทบาทสื่อ

    การเลือกตั้งครั้งนี้ สื่อโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมากที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศไทย ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวสารและความคิดเห็นต่างๆ ผ่านผู้คนบนโลกออนไลน์และสำนักข่าวต่างๆมากมาย เป็นปรากฏการณ์การเลือกตั้งที่คนมีข้อมูลในการตัดสินใจจำนวนมาก  มีข้อมูลมาให้ตัดสินใจตลอดเวลา

    แต่อีกด้านหนึ่งก็เกิดข้อเสียจำนวนไม่น้อย เนื่องจากมีการปล่อยข่าวเท็จ ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน fake news หรือ disinformation สาดโคนกันเต็มสื่อโซเชียล  ยิ่งเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง ยิ่งมีการโจมตีทำลายกันทางการเมืองในโลกออนไลน์อย่างน่ากลัว มีการใช้คำหยาบคายด่าทอรุนแรง เป็นภัยต่อคนที่ไม่รู้เท่าทันสื่อ

    4 องค์กรสื่อ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ระบุว่า สังคมในปัจจุบันเป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ดังนั้นสื่อมวลชนต้องใช้เสรีภาพบนความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องพร้อมให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข่าวตามหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และพร้อมน้อมรับคำแนะนำ การวิพากษ์วิจารณ์ และการถูกตรวจสอบจากสังคมที่มีความเข้มข้นมากขึ้น

    นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังต้องคำนึงถึงมาตรฐานวิชาชีพที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับจริยธรรมของสภาวิชาชีพต่างๆ ทั้งที่มีอยู่เดิม และที่เพิ่มเติมตามสถานการณ์ปัจจุบันโดยสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือสื่อออนไลน์ ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ กลั่นกรองข้อมูล ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปลอม ก่อนการนำเสนอ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในระดับสากล

    ที่มาภาพ: พรรคอนาคตใหม่

    จนกลายเป็นอีกภารกิจหลักขององค์กรสื่อและสื่อมวลชนทุกแขนงในการสกัดกั้นข่าวลือ ข่าวลวง ไม่ให้แพร่กระจายออกไปในวงกว้าง โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพื่อไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และนำเสนอข่าวสารอย่างถูกต้องเป็นที่น่าเชื่อถือของสังคมต่อไป

    อยู่ๆ #ลุงมิ่ง ก็มา

    ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง อยู่ๆ ก็มีแฮชแท็ก #ลุงมิ่ง  #ลุงมิ่งใจดี ซึ่งหมายถึง “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ เป็นเทรนด์ติดอยู่ในทวิตเตอร์ ทั้งนี้กระแสดังกล่าวเริ่มเกิดขึ้นจากการที่มิ่งขวัญไปดีเบตผ่านสื่อทีวีช่องหนึ่ง แต่ได้เวลาในการพูดไม่เป็นไปตามที่พิธีกรรายการให้คำสัญญาไว้ อธิบายนโยบายได้นิดเดียว ทั้งๆ ที่อุตส่าห์เตรียมแผ่นป้ายมาพรีเซนต์นโยบายที่เกี่ยวกับราคาน้ำมันให้คนฟังทางบ้านเข้าใจง่าย

    หลังจากนั้นในทวิตเตอร์ นอกจากจะก่นด่ารายการและพิธีกรแล้ว ยังพูดถึงมิ่งขวัญเยอะมาก ว่าสงสารลุง ขำลุง เอ็นดูลุง และเห็นด้วยกับนโยบายที่เน้นพูดเรื่องปากท้องประชาชน วิธีแก้เศรษฐกิจตกต่ำแบบจับต้องได้  มิ่งขวัญกล่าวในรายการวันนั้นว่า “..มีแต่คนพูดว่าจะเอาไม่เอา คสช. แต่ยังไม่มีใครพูดในสิ่งประชาชนอยากฟัง คือจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร เพราะประชาชนไม่มีจะกินแล้ว”

    หลังจากเหตุการณ์นั้นและการร่วมดีเบตอีกหลายๆ ครั้ง ก็เลยเริ่มมีแฮชแท็ก #ลุงมิ่ง  #ลุงมิ่งใจดี ในทวิตเตอร์ คนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนไม่น้อย ก็คอยตามฟังดีเบตที่มิ่งขวัญไปร่วมด้วย รอฟังนโยบายว่ามีแนวทางอะไรมาแก้ไขปัญหาประเทศอีก

    อีกนโยบายที่มิ่งขวัญพูดแล้วคนฮือฮาเห็นด้วยก็คือ การพูดถึงนโยบายของบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะเพิ่มค่าแรงและเพิ่มฐานเงินเดือนว่า “ไม่โอเคเลย …เพราะนั่นจะทำให้ก๋วยเตี๋ยวชามนึงราคาขึ้นเป็นสี่ห้าร้อย แล้ววันนึงเราก็จะไม่ต่างจากเวเนซุเอลาในที่สุด”

    นักสังเกตการณ์การเมืองรุ่นใหม่หลายคนมองว่า คนเริ่มให้ความสนใจมิ่งขวัญมากขึ้น เพราะพูดได้ตรงประเด็น แม้จะเนิบช้าไปบ้าง แต่ก็เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างวิธีแก้ปัญหาที่ฟังขึ้น จับต้องได้จริง แล้วตั้งแต่มิ่งขวัญออกมาพูดหรือดีเบต หลายๆ พรรคที่พูดภาษาการเมืองอยู่ดีๆ ก็กลายมาพูดเรื่องปากท้องประชาชน แนวทางเดียวกับมิ่งขวัญเฉยเลย

    ในขณะที่ OAC Digital Agency วิเคราะห์ว่า ภาพลักษณ์ที่ฉลาด สุขุม ใจดี บวกกับนโยบายเศรษฐกิจที่ซื้อใจคนทุกกลุ่มอายุ เป็นกลยุทธ์หลักของคุณมิ่งขวัญ ที่ทำให้คนไทยต้องหวั่นไหวอีกครั้งในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก “มิ่งขวัญ” มาก่อน

    ”พล.อ. ประยุทธ์” ปราศรัยใหญ่ สื่อสารความในใจ

    ช่วงค่ำของวันที่ 22 มีนาคม หลายพรรคการเมืองจัดปราศรัยใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ได้ปรากฏตัวที่สนามเทพหัสดิน พร้อมทักทายพี่น้องประชาชนตลอดสองฝั่ง มีประชาชนตะโกนเชียร์ลุงตู่ สู้ๆ รักลุงตู่ พร้อมทั้งมอบดอกไม้ให้กำลังใจจำนวนมาก

    นอกจากนี้ ยังมีการเปิดวิดิโอประมวลภาพ พล.อ. ประยุทธ์ ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งดำรงตำแหน่งประกอบเพลงหยุดตรงนี้ที่เธอ ก่อนที่ พล.อ. ประยุทธ์ จะจับไมค์ร่วมร้องเพลงดังกล่าว และปราศรัยกับประชาชนบางช่วงบางตอนว่า “..ผมสัญญาว่าจะนำพาทั้ง 77 จังหวัดเดินไปข้างหน้าให้มีอนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ผมมาวันนี้มาเพื่อขอบคุณคนไทยทุกคนขอบคุณคนไทยทั้งประเทศในความร่วมมือที่ให้มากับผมมา 5 ปี ผมรู้ว่าทุกคนเหนื่อย บางครั้งผมก็เหนื่อย แต่ผมเหนื่อยไม่ได้ถ้าผมเหนื่อยผมท้อแล้วพวกเราจะไม่ยิ่งกว่าผมเหรอ ดังนั้นผมจะทำต่อไปให้ดีที่สุด”

    วลีเด็ดที่ พล.อ. ประยุทธ์ ขึ้นเวทีทิ้งทวนช่วงโค้งสุดท้ายก็คือ “…ผมจะยอมตายเพื่อผืนแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่ให้ผมเกิดให้ผมกิน ให้ผมหลับนอน ให้ผมมีอาชีพ ผมจะรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้กับลูกหลานของเราในอนาคต ใครจะไปกับผมหรือเปล่า ประเทศไทยจะต้องไม่ล้มอีกต่อไป จะไม่นั่งรอใครอีกต่อไป”

    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ที่สนามกีฬาเทพหัสดิน ในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง ที่มาภาพ: พรรคพลังประชารัฐ

    “เราจะเดินไปข้างหน้าเราจะยืนขึ้นจับมือกันไป จับมือกันเดินไปข้างหน้า ขอบคุณอีกครั้ง ขอบคุณในกำลังใจ ทุกกำลังใจ เราคงได้ร่วมทำเพื่อประวัติศาสตร์ไทย พาประเทศไปในสิ่งที่ดีกว่าอะไรที่ไม่ดีจำไว้ ถือเป็นบทเรียนอย่าให้ใครมาบอกว่าลืมอันนั้น จำอันนี้ หรือให้ไปทำอันนั้น มันไม่มีอนาคตทั้งสิ้น” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

    จากการสอบถามทั้งคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ หรือแม้แต่คนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ หลายคนบอกว่า รู้สึกสนุกกับการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งใหญ่รอบนี้ เนื่องจากมีโซเชียมีเดีย มีข้อมูล มีเครื่องมือในการตรวจสอบ นี่คือการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ และจะออกไปกำหนดอนาคตประเทศชาติ ผ่านการเลือกตั้ง 24 มีนาฯ