ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : ศาล รธน. ยุบพรรค ‘ไทยรักษาชาติ’ ตัดสิทธิ กก.บห. 10 ปี และ “ราชวงศ์อังกฤษเผยแพร่กฎการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียทางการของสมาชิกราชวงศ์

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : ศาล รธน. ยุบพรรค ‘ไทยรักษาชาติ’ ตัดสิทธิ กก.บห. 10 ปี และ “ราชวงศ์อังกฤษเผยแพร่กฎการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียทางการของสมาชิกราชวงศ์

9 มีนาคม 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 มี.ค. 2562

  • ศาล รธน. ยุบพรรค “ไทยรักษาชาติ” ตัดสิทธิ กก.บห. 10 ปี
  • ผบ. พล.ร.2รอ. ฟ้อง “เสรีพิศุทธ” หมิ่นเกียรติทหาร
  • ครม. ผ่อนผันปูนซิเมนต์ไทย ทำเหมืองในเขตป่าสงวน
  • ศาลปกครองยกฟ้อง กทม. ไม่ต้องชดเชยผู้พิการกรณีติดตั้งลิฟต์บีทีเอสไม่ครบ – ขสมก. ยกเลิกเครื่องอ่าน E-ticket หันใช้ EDC รองรับบัตรคนจน
  • ราชวงศ์อังกฤษเผยแพร่กฎการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียทางการของสมาชิกราชวงศ์ อาจซ่อน-ลบ-บล็อก หรือดำเนินคดีกับข้อความไม่เหมาะสม
  • ศาล รธน. ยุบพรรค “ไทยรักษาชาติ” ตัดสิทธิ กก.บห. 10 ปี

    วันที่ 7 มี.ค. 2561 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ และมีมติ 6 ต่อ 3 เสียงในเรื่องกาตัดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งอ ณ วันที่ 8 ก.พ. 2562 โดย 6 เสียงเห็นควรให้ตัดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 10 ปี ขณะที่อีก 3 เสียงเห็นควรให้ตัดสิทธิดังกล่าวตลอดชีพ ดังนั้นจึงยึดตามมติเสียงส่วนใหญ่คือ 10 ปี นอกจากนี้ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ห้ามไม่ให้ผู้เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดงตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีก ภายใน 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค

    การตัดสินยุบพรรคดังกล่าว สืบเนื่องจากกรณีที่พรรคไทยรักษาชาติ ได้มีการเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในบัญชีนายกรัฐมนตรีพรรคไทยรักษาชาติ (แคนดิเดตนายกฯ) ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2562 เป็นเหตุให้ กกต. ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคไทยรักษาชาติ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวอาจถือว่าเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรค 2 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

    ใจความโดยสรุปของการพิจารณาความผิดตามมาตราดังกล่าวจนนำมาสู่การตัดสินยุบพรรคก็คือ การกระทำของพรรคไทยรักษาชาติในการที่เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯ นั้น เป็นการนำเอาพระบรมวงศานุวงศ์มาทรงเกี่ยวข้องกับการเมือง อันเป็นตำแหน่งซึ่งอยู่ในวงที่จะต้องถูกตำหนิติเตียนได้ เป็นการทำลายความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเจ้านายและราษฎร ทั้งเป็นการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยด้วยการนำเอาพระบรมวงศานุวงศ์เขามามีอำนาจหน้าที่ทางการเมือง ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สถาบันพระมหากษัตริย์อันหมายรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ต้องทรงอยู่เหนือการเมือง

    ตามมาตรา 92 วรรค 2 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 แม้นิยามศัพท์ไม่ได้ระบุคำว่า “ปฏิปักษ์” ไว้ แต่เป็นภาษาไทยที่รับรู้ว่า “ปฏิปักษ์” ไม่ถึงขนาดตั้งตนเป็นศัตรู แต่เป็นการกระทำขัดขวาง สกัดกั้นไม่ให้เจริญ หรือเซาะกร่อน บ่อนทำลายทำให้เสื่อมโทรมลง ดังนั้น การกระทำของพรรคไทยรักษาชาติจึงเป็นการกระทำที่ทำให้วิญญูชนรู้สึกว่า ทำให้สถาบันถูกนำมาใช้ให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียสถานะของการดำรงการเป็นกลางทางการเมือง เข้าลักษณะอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

    และดังนั้นจึงนำมาซึ่งมติยุบพรรคไทยรักษาชาติดังกล่าว

    รายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกตัดสิทธิ 10 ปี

    1. ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค

    2. นายฤภพ ชินวัตร รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 (ลูกชายนายพายัพ ชินวัตร)

    3. น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร รองหัวหน้าพรรคคนที่ 2

    4. นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 3

    5. นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล รองหัวหน้าพรรคคนที่ 4

    6. นายมิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรค (ลูกนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคเพื่อชาติ)

    7. นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ รองเลขาธิการพรรคคนที่ 3

    8. นายต้น ณ ระนอง รองเลขาธิการพรรค (ลูกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย)

    9. นายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองเลขาธิการพรรค

    10. นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย กรรมการบริหารพรรค

    11. น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค (ลูกสาวนางเยาวเรศ ชินวัตร)

    12. นายพงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ โฆษกพรรค

    13. นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ เหรัญญิกพรรค

    อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่นี่

    ผบ.พล.ร.2 รอ. ฟ้อง “เสรีพิศุทธ” หมิ่นเกียรติทหาร

    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/sereeruamthai/

    เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2562 พล.ต. ปิยะพงศ์ กลิ่นพันธ์ุ ผบ.พล.ร.2 รอ. กล่าวว่า จากภาพข่าวที่ปรากฏโดยมีการเผยแพร่คลิป พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ต่อว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ขณะลงพื้นที่หาเสียงในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี นั้น ในนามของกองทัพบก ขอเรียนให้สื่อมวลชนเข้าใจว่า กองทัพและกองทัพบกมีภารกิจหลายประการ ตั้งแต่การป้องกันประเทศ, การรักษาความมั่นคงภายใน, การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และการพัฒนาประเทศ

    สำหรับกำลังพลที่ปรากฏในภาพข่าวนั้น เป็นกำลังพลนายทหารสัญญาบัตร ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยเป็นเจ้าหน้าที่กองร้อยรักษาความสงบ มณฑลทหารบกที่ 12 ซึ่งปฏิบัติงานและปฏิบัติภารกิจตามคำสั่ง คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ทั้งนี้กองร้อยรักษาความสงบ มีภารกิจหลักที่ต้องดำเนินการจำนวน 7 กลุ่มงาน โดยกรอบการปฏิบัติงานหลัก คือ การรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของพี่น้องประชาชนรวมถึงที่สำคัญ คือการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งนี้การปฏิบัติภารกิจดังกล่าวเป็นไปตามกรอบที่กฎหมายกำหนด และได้มีการปฏิบัติมาแล้วเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี รวมถึงในระหว่างที่หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยลงพื้นที่หาเสียงนั้น เจ้าหน้าที่ดังกล่าวอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบที่กฎหมายกำหนด โดยปฏิบัติภารกิจในการสังเกตการณ์อำนวยความสะดวก และที่สำคัญคือการรักษาความปลอดภัย ให้กับประชาชนในพื้นที่

    ทั้งนี้การลงพื้นที่หาเสียงของผู้สมัครแต่ละครั้ง กองทัพบกโดยหน่วยทหาร ที่มีความรับผิดชอบอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ก็จะจัดเจ้าหน้าที่ลงปฏิบัติงานในลักษณะเช่นเดียวกัน อย่างเท่าเทียมกัน สำหรับผู้สมัครทุกคน และทุกพรรคโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากการลงพื้นที่หาเสียงแต่ละครั้ง มีประชาชนมาร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ จากผู้ไม่ประสงค์ดีได้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ ที่จัดลงอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัยนั้น มีจำนวนมากน้อยตามลักษณะของพื้นที่ จำนวนประชาชน ที่สำคัญแต่ละหน่วยได้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีวุฒิภาวะ ก่อนการลงปฏิบัติงานในทุกครั้งเช่นเดียวกับกำลังพลที่ถูกหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยต่อว่า ซึ่งเป็นนายทหารชั้นยศพันโท ที่มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และวุฒิภาวะที่เหมาะสม

    นอกจากนี้กำลังพลดังกล่าว มีการแสดงตัวตนอย่างชัดเจน ด้วยการแต่งกาย เครื่องแบบทหารโดยไม่มีอาวุธ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ลงปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ ประกอบกับมีกิริยาวาจาที่สุภาพเรียบร้อย มิได้ข่มขู่ คุกคาม รบกวนหรือขัดขวาง การลงพื้นที่หาเสียงดังกล่าวแต่อย่างใดทั้งสิ้น

    จากการกระทำของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ที่กระทำกิริยาและใช้คำพูดในลักษณะดูหมิ่นหยามเกียรติ และศักดิ์ศรีความเป็นทหาร หน่วยทหาร ตลอดจนผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร รวมถึงกล่าวดูถูกเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้เกิดความอับอาย เสมือนเป็นการบังคับ มิให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในกรอบที่กฎหมายกำหนด กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกับประชาชน เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาดูหมิ่น หยามเกียรติและศักดิ์ศรีของหน่วยงาน จึงได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กับเจ้าพนักงานตำรวจ ใน 2 ฐานความผิด คือ ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ และฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา ด้วยวิธีการเผยแพร่ ด้วยประการใดๆ ต่อสาธารณชน

    อนึ่ง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เป็นผู้ที่มีคุณวุฒิ และวัยวุฒิ รวมถึงเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในอนาคตหากท่านจะได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งสำคัญของบ้านเมือง ท่านควรที่น่าจะมีวิจารณญาณ มีวุฒิภาวะ มีกิริยามารยาท และการปฏิบัติที่ดีกว่านี้ กับข้าราชการด้วยกัน

    อย่างไรก็ตามกองทัพบกขอยืนยันว่า จะอยู่เคียงข้างกับพี่น้องประชาชนตลอดเวลา และในขณะเดียวกันก็จะปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของความเป็นกองทัพบก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับ กำลังพลของกองทัพบก พร้อมที่จะปกป้องครอบครัว กำลังพลกองทัพบก และแสดงให้ อดีตผู้บังคับบัญชา และอดีตกำลังพลของกองทัพบก เห็นถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร ที่ยังคงดำรงอยู่เคียงข้าง สถาบันหลักของประเทศ และพี่น้องประชาชน

    ครม. ผ่อนผันปูนซิเมนต์ไทย ทำเหมืองในเขตป่าสงวน

    วันที่ 6 มี.ค. 2562 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า มีมติอนุมัติผ่อนผันให้ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 ท้องที่ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก และตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี รวมเนื้อที่ 3,223 ไร่ 2 งาน 25 ตารางวา (พื้นที่ประทานบัตร 15 แปลง) เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 จำนวน 15 แปลง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ในท้องที่ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก และตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ที่รวม 3,311 ไร่ 2 งาน 67 ตารางวา ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2533, 21 ก.พ. 2538, 6 ก.พ. 2544 และ 4 ต.ค. 2559 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ

    เนื่องจากหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติสิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 2554 แต่อายุประทานบัตรเหมืองแร่ยังคงเหลืออยู่ถึงวันที่ 27 เม.ย. 2579 เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2533, 21 ก.พ. 2538, 6 ก.พ. 2544 และ 4 ต.ค. 2559 ที่กำหนดให้เสนอ ครม. 

    ทั้งนี้กรมทรัพยากรธรณีได้พิจารณาข้อมูลแหล่งแร่ในพื้นที่ดังกล่าวแล้วพบว่า บริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพและปริมาณสำรองที่สามารถทำเหมืองได้ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า ในช่วงการอนุญาตที่ผ่านมาผู้รับอนุญาตได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการอนุญาตถูกต้องครบถ้วนและได้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ (post evaluation) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว (และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติให้บริษัทฯ เฝ้าระวังด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน คนงาน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่อย่างเคร่งครัดด้วย) ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเห็นให้บริษัทฯ ได้รับการพิจารณาผ่อนผันให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เป็นการเฉพาะรายต่อไปได้จนสิ้นอายุประทานบัตร (27 เม.ย. 2579)

    ศาลปกครองยกฟ้อง กทม. ไม่ต้องชดเชยผู้พิการกรณีติดตั้งลิฟต์บีทีเอสไม่ครบ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS (http://bit.ly/2EWEvvK)

    เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS รายงานว่า วันที่ 4 มี.ค. 2562 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง กรุงเทพมหานคร ฐานละเมิดไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวก ในสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่กำหนดให้ กทม. ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในต้นปี 2559

    เหตุที่ยกฟ้องนั่น เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า ระหว่างการฟ้องดำเนินคดี กทม. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ติดปัญหาหลายประการ

    ด้านเครือข่ายคนพิการ ยืนยันว่า จะเดินหน้าอุทธรณ์ ตามกำหนดเวลา 30 วัน เนื่องจากเห็นว่า แม้ศาลจะมีคำพิพากษาว่า กทม.ไม่มีเจตนาและจงใจที่จะไม่ดำเนินการ แต่จากปัญหาที่ผ่านมา เครือข่ายฯ เห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่เรียกร้องมากว่า 20 ปี กทม.ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ จงใจละเลยต่อการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (http://bit.ly/2EWF096)

    เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า วันที่ 8 มี.ค. 2562 นายประยูร ช่วยแก้ว รักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า ขสมก. ได้ยกเลิกการใช้งานเครื่องอ่านบัตรโดยสารแบบ E-Ticket ที่ติดบนรถโดยสารแล้ว หลังจากไม่สามารถตรวจรับงานระบบดังกล่าวจากบริษัท ช ทวี ได้ เพราะอุปกรณ์ไม่เสถียร และไม่สามารถใช้งานได้ และเตรียมยกเลิกสัญญาเช่าอุปกรณ์

    นอกจากนี้ ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยนำเครื่อง EDC มาใช้รับชำระค่าโดยสารบนรถโดยสารของ ขสมก. ทุกคันตั้งแต่วันนี้  เพื่อรองรับการใช้สิทธิบริการรถโดยสารของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกรุ่น ที่ได้สิทธิในการใช้บริการรถ ขสมก. โดยพนักงานเก็บค่าโดยสารจะคอยให้คำแนะนำวิธีการใช้งานแก่ผู้ใช้บริการ และในอนาคต จะร่วมกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาเครื่อง EDC ให้รองรับการชำระค่าโดยสารผ่านระบบ QR Code และบัตร EMV ของธนาคารต่างๆ 

    สำหรับโครงการเครื่องอ่านบัตรค่าโดยสารรถประจำทางสาธารณะ (e-ticket) และเครื่องหยอดเหรียญเก็บค่าโดยสาร มีแผนจะติดตั้งบนรถโดยสาร 2,600 คัน รวมวงเงิน 1,665 ล้านบาท ก่อนจะมีการประกาศยกเลิก

    ราชวงศ์อังกฤษเผยแพร่กฎแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียทางการของสมาชิกราชวงศ์

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า ราชวงศ์อังกฤษได้เผยแพร่แนวทางปฏิบัติสำหรับสาธารณชนในการโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นทางช่องทางโซเชียลมีเดียทางการของสมาชิกราชวงศ์ โดยเรียกร้องให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียไม่โพสต์ข้อความที่เป็นสแปม (ข่าวขยะ) ไม่หมิ่นประมาท ไม่หลอกลวง ไม่หยาบคาย ไม่สร้างความขุ่นเคือง ไม่ข่มขู่คุกคาม ไม่สร้างความเกลียดชัง และส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงและมีเนื้อหาที่เป็นเชิงทางเพศอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังไม่ให้โพสต์เนื้อหาที่ส่งเสริมการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เพศ ศาสนา ชาติ ความพิการ รสนิยมทางเพศ และอายุ อีกด้วย

    กฎเกณฑ์ชุดนี้ระบุว่า ข้อความที่โพสต์บนหน้าเพจทางการของแคลเรนซ์เฮาส์ สำนักงานของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ สำนักพระราชวังเคนซิงตัน และสำนักพระราชวังบักกิงแฮม อาจถูกกดซ่อน ลบทิ้ง หรือนำไปแจ้งตำรวจได้

    อนึ่ง นี่เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุด หลังจากมีการพยายามจัดการกับข้อความคุกคามดัชเชสแห่งเคมบริดจ์และดัชเชสแห่งซัสเซกส์ในโลกออนไลน์ที่มีมากขึ้น ดัชเชสทั้งสองพระองค์ทรงไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดียส่วนตัว โดย เมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ทรงปิดบัญชีโซเชียลมีเดียส่วนตัวของพระองค์ไปแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายแฮร์รี