ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 28 ก.ค. – 3 ส.ค. 2561: “ขออังกฤษส่งตัวยิ่งลักษณ์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน” และ “โป๊ปฟรานซิสค้านโทษประหาร”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 28 ก.ค. – 3 ส.ค. 2561: “ขออังกฤษส่งตัวยิ่งลักษณ์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน” และ “โป๊ปฟรานซิสค้านโทษประหาร”

4 สิงหาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 28 ก.ค. – 3 ส.ค. 2561

  • ขออังกฤษส่งตัวยิ่งลักษณ์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน
  • ปอท. เรียก “ธนาธร” ให้ข้อมูลหลังถูกแจ้ง พ.ร.บ.คอมพ์ฯ
  • กสิกร-กรุงไทย ข้อมูลลูกค้าหลุด แต่ยังไม่พบความเสียหาย ธปท. สั่งยกระดับมาตรการป้องกัน
  • จัดระเบียบทางเท้าถนนข้าวสาร
  • โป๊ปฟรานซิสค้านโทษประหาร
  • ขออังกฤษส่งตัวยิ่งลักษณ์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน

    ที่มาภาพ: อินสตาแกรม yingluck_shinfc (http://bit.ly/2n6EZWr)

    สถานเอกอัครราชทูตไทยในสหราชอาณาจักร ได้ส่งจดหมายถึงกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร โดยอ้างสนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ที่ว่าด้วยการส่งตัวอาชญากรผู้หลบหนีคดีกลับประเทศ เพื่อขอให้มีการส่งตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมายังประเทศไทย โดยอ้างความในวรรคสุดท้ายของมาตรา 2 แห่งสนธิสัญญาดังกล่าวที่ว่า “การส่งตัวกลับ อาจกระทำได้ภายใต้ความเห็นชอบของประเทศนั้น หากการกระทำความผิดทางอาญานั้น เป็นความผิดภายใต้กฎหมายของทั้งสองประเทศคู่สัญญา” และให้เหตุผลในการขอให้มีการส่งตัวว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคลที่ทางการไทยต้องการนำตัวมารับโทษจำคุก 5 ปี ภายหลังคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาว่าเธอมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ด้วยเหตุนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงออกหมายจับตั้งแต่มีคำตัดสินเมื่อ 27 กันยายน 2560 เพื่อนำตัว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มารับโทษ”

    กระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่องนี้ โดยได้ส่งต่อให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ชี้แจง ซึ่งโฆษกของกระทรวงมหาดไทยตอบเป็นอีเมลมาว่า “เราถือเป็นนโยบายและแนวทางปฏิบัติตลอดมาว่า เราจะไม่ตอบยืนยันหรือปฏิเสธว่าเราได้ร้องขอ หรือได้รับการร้องขอ ในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน จนกว่าบุคคลนั้นจะถูกจับกุมตามคำร้องนั้น”

    ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอน การจะได้ตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์มาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาและตัดสินใจของต่างประเทศ

    ด้านนายทักษิณ ชินวัตร อีกหนึ่งอดีตนายกรัฐมนตรีและพี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งกำลังลี้ภัยในต่างแดนเช่นกัน กล่าวว่า “ผมทราบทุกขั้นตอน เป็นเรื่องที่เขาไม่ทำกันในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แม้ทางการไทยอธิบายว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นเรื่องที่แก้เกี้ยวทางการทูต อังกฤษเขาก็จะตอบว่า จะพิจารณาด้วยดี แต่สำหรับผม Life as usual ชีวิตดำเนินไปตามปกติ”

    เรียบเรียงจาก
    เว็บไซต์บีบีซีไทย: ประยุทธ์ ยอมรับ ขออังกฤษส่ง ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ทักษิณ บอก “ชินแล้ว”

    ปอท. เรียก “ธนาธร” ให้ข้อมูลหลังถูกแจ้ง พ.ร.บ.คอมพ์ฯ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://www.thairath.co.th/content/1345135)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2561 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อมทีมกฎหมายเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ปอท. หลังถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แจ้งความเอาผิด หลังจากนายธนาธร และผู้ดำเนินรายการอีก 2 คนไลฟ์สดในทางเฟซบุ๊ก ผ่านทางเพจ “อนาคตใหม่” และเพจ “Thanathorn juangroongruangkit – ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” โดยมีการพาดพิงถึง คสช. ว่ามีการดูด ส.ส. โดยใช้คดีความที่ติดตัว ส.ส. แต่ละคนมาเป็นเครื่องต่อรอง นอกจากนี้ยังมีการเชิญชวนให้คนที่ติดตามมาโพสต์ มาร่วมลงชื่อรื้อกระบวนการยุติธรรม โดยเข้าให้การสอบสวนเป็นเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง

    ทั้งนี้ นายธนาธรกล่าวว่า ตนเข้ามาให้ข้อมูลในฐานะพยานเนื่องจากมีการแจ้งความเอาผิดกับผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊กทั้งสองเพจ ซึ่งตนก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ ตนคิดไว้นานแล้วว่าวันหนึ่งจะต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีจาก คสช. โดยข้อความที่ตนเองมีการพูดในไลฟ์เกี่ยวกับการดูด ส.ส. ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ตนได้รับทราบมาจาก ส.ส. หลายคนที่ถูกทาบทาม และเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทราบกันโดยทั่วไป ไม่ได้มีเจตนาที่จะกล่าวหาหรือใส่ความ การที่ คสช. ออกมาแจ้งความในลักษณะดังกล่าวก็เท่ากับยอมรับว่าได้กระทำจริง และมองว่าพรรคฯ ของตนเองเป็นศัตรู

    ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ถ้าตนถูกแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลังก็ไม่กลัว เพราะเป็นเรื่องปกติของนักการเมืองที่จะต้องโดนโจมตีจากฝั่งตรงข้าม ส่วนเรื่องคดีดังกล่าวจะกระทบต่อชื่อเสียงของตนเองหรือไม่ ตนมองว่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบต่อชื่อเสียงและเกิดผลกระทบต่อพรรคของตนเอง เนื่องจากพรรคยังไม่ได้รับการอนุมัติจัดตั้งจาก กกต. หลังจากนี้จะไลฟ์สดตามปกติ เพราะไม่ได้มีทำผิดกฎหมายชุมนุมเกิน 5 คน และจะไม่มีการปรับเนื้อหาในรายการ

    “ส่วนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีการทำ ครม.สัญจร แต่ในขณะนี้ ครม.สัญจรเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ จ.อุบลราชธานี ลงไปแจกนู่นแจกนี่ให้กับประชาชนเต็มไปหมด ดังนั้นผมคิดว่า คสช. กำลังเริ่มกิจกรรมเตรียมการเลือกตั้ง ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น หรือตนเอง แค่ลงไปลงตลาดแจกใบปลิว เปิดเวทีปราศัย พวกนี้ยังทำไม่ได้เลย เราขอเรียกร้องให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้า คสช.อยากจะปิดกั้นเสรีภาพของประชาชน ก็ให้ดูการเลือกตั้งของกัมพูชา ที่พรรครัฐบาลได้ที่นั่งครบทั้งหมด ถ้า คสช. อยากทำแบบนั้นก็ทำเลย คสช. อย่ามาใส่เสื้อคลุมที่เป็นประชาธิปไตย แต่ในเนื้อแท้เป็นเผด็จการ” นายธนาธรกล่าว

    ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวอีกว่า การประชุมพรรคการเมืองเมื่อเดือน มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา มองว่าเป็นการซื้อเวลาของรัฐบาล เนื่องจากภายหลังการประชุมก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ แต่แทนที่จะนัดประชุมภายในเวลาที่เร็วที่สุด กลับกลายเป็นเดือน ก.ย. ซึ่งมองว่าเป็นการต่อเวลาออกไปได้อีก 2 เดือน ซึ่งทำให้เห็นว่า คสช.มีความพยายามที่จะซื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ

    นายธนาธรกล่าวถึงเรื่องไพรมารีโหวต ที่อาจจะจัดให้มีไม่ทันในการเลือกตั้งรอบนี้ว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ คสช.ว่าจะจัดออกมาในรูปแบบใด ทั้งนี้ตนยืนยันว่า พร้อมที่จะทำไพรมารีโหวต ซึ่งตนรู้อยู่แล้วว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอน ยอมรับว่าพรรคตนเสียเปรียบในทุกด้าน เพราะมองเปรียบเทียบเรื่องนี้กับการแข่งขันฟุตบอลที่สนาม กรรมการ และกฎกติกา ก็เป็นของ คสช. ตนเองก็ยังไม่เห็นความจริงใจในการจัดการเลือกตั้งของ คสช.

    ด้าน พ.อ. บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ คสช. เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวตนเองเข้ามาแจ้งความกับ ปอท. ตั้งแต่เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา โดยคดีดังกล่าวนายธนาธรมีการพาดพิงถึง คสช. ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อมูลกระบวนการยุติธรรมและเป็นการกล่าวหา คสช. นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการโจมตีกระบวนการยุติธรรมด้วย โดยคดีดังกล่าวจะให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายธนาธรและพวกต่อไป

    ส่วน พ.ต.ท. อธิลักษณ์ หวังสิริวรกุล รอง ผกก.3 บก.ปอท. กล่าวว่า เบื้องต้นได้ทำการสอบสวนนายธนาธรและพวก ในฐานะพยาน แต่นายธนาธรและพวกไม่ประสงค์ให้การใดๆ ทั้งนี้การแจ้งความของ คสช.ได้แจ้งความให้เอาผิดผู้ดูแลเพจทั้งสองเพจ ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ในมาตรา 14(2) นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกยุยงและเป็นภัยต่อความมั่นคง หลังจากนี้หากพบว่านายธนาธรมีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดในข้อหาอื่นใดก็อาจมีการแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลังได้

    กสิกร-กรุงไทย ข้อมูลลูกค้าหลุด แต่ยังไม่พบความเสียหาย ธปท. สังยกระดับมาตรการป้องกัน

    วันที่ 31 ก.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับรายงานจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ว่า มีข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับธุรกรรมการเงินของลูกค้าบางส่วนหลุดไปยังภายนอก โดยกรณีของธนาคารกสิกรไทย เป็นข้อมูลลูกค้านิติบุคคลที่เป็นข้อมูลสาธารณะซึ่งหาได้ทั่วไป ส่วนของธนาคารกรุงไทย ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลคำขอสินเชื่อของลูกค้ารายย่อยและนิติบุคคลบางส่วน

    หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งตรวจพบปัญหาก็ได้เร่งตรวจสอบทันที ซึ่งพบว่ายังไม่มีลูกค้าที่ได้รับความเสียหาย และข้อมูลที่หลุดออกไปไม่ใช่ข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน โดยธนาคารทั้งสองแห่งได้ดำเนินการปิดช่องโหว่ของระบบดังกล่าว และได้ตรวจสอบระบบงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาประเมินทุกระบบงาน เพื่อให้มั่นใจว่าการป้องกันครอบคลุมระบบงานและฐานข้อมูลทั้งหมด

    ธปท. ได้สั่งการและกำชับให้ธนาคารทั้งสองแห่งยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางไซเบอร์อย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น และดูแลไม่ให้ลูกค้าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งสื่อสารให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้รับทราบ ทั้งนี้ ธปท. ได้กำชับให้ธนาคารทั้งสองแห่งเตรียมมาตรการเยียวยาลูกค้า หากเกิดความเสียหาย รวมทั้งได้แจ้งสถาบันการเงินทุกแห่งปิดช่องโหว่ดังกล่าวและเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย

    เหตุการณ์ข้างต้นถือเป็นภัยทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรและสถาบันการเงินทั่วโลก ธปท. ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว จึงได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับดูแลในภาคการเงินอย่างใกล้ชิด และสั่งการให้สถาบันการเงินยกระดับการรับมือภัยไซเบอร์ ทั้งด้านการเพิ่มมาตรการป้องกันภัยให้รัดกุมเท่าทันกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นด้วยการใช้เครื่องมือช่วยตรวจจับรายการผิดปกติ โดยหากเกิดเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ขึ้น สถาบันการเงินจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว และดูแลรักษาผลประโยชน์ของลูกค้าไม่ให้เสียหาย เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการใช้บริการกับสถาบันการเงิน

    จัดระเบียบทางเท้าถนนข้าวสาร

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เนชั่นทีวี (http://www.nationtv.tv/main/content/378645315?qj=)

    วันที่ 31 ก.ค. 2561 เว็บไซต์ จส. 100 รายงานว่า หลังการประชุมร่วมระหว่างชมรมผู้ค้าแผงลอยเสรีถนนข้าวสารกับนายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นานกว่าชั่วโมง นายสกลธียอมรับว่าการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ เพราะผู้ค้ายืนยันว่าจะขายบนทางเท้าตามเดิม ซึ่ง กทม. ได้ปฏิเสธข้อเสนอไป พร้อมชี้แจงว่าไม่สามารถให้ขายได้ เพราะผิดกฎหมาย จึงยังไม่ได้ข้อสรุป ทั้งนี้ กทม. จะดำเนินการแผนทุกอย่างไปตามเดิม คือ วันที่1 สิงหาคม จะมีบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ ถ.ข้าวสารและรามบุตรีในเวลา 09.00 น. และจะเป็นวันแรกที่ผู้ค้าไม่สามารถขายของบนทางเท้าได้อีก จะขายได้เฉพาะบนถนนตามวันและเวลาที่ กทม. กำหนดให้คือ เวลา 18.00-24.00น. ของทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ โดยจะต้องเปิดเลนรถฉุกเฉินไว้ให้รถวิ่งด้วย นอกเหนือจากเวลานี้จะไม่สามารถขายได้ หากพบการฝ่าฝืนจะเจรจาก่อน แต่ถ้าไม่ฟังอาจต้องดำเนินการตามกฎหมาย

    โดยในวันพรุ่งนี้ กทม. จะส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจไปควบคุมไม่ให้มีการขายของ รวมทั้งจะส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตั้งระบบไฟฟ้า และขุดลอกท่อระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ค้าอ้างว่าพื้นที่ที่ กทม. จัดให้ไม่มีระบบไฟและมีปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ ทั้งนี้การจัดระเบียบทางเท้าเป็นนโยบายที่มีมาก่อนตัวเองเข้ารับตำแหน่งจึงต้องสานต่อจากเดิม

    ที่ผ่านมา กทม. ก็เปิดฟังความเห็นให้โอกาสผู้ค้าและประชาชนมีส่วนร่วมมาโดยตลอด ผ่านการคุยกันมาแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งผู้ค้าได้ยื่นข้อเสนอมา แต่ กทม. ไม่อาจทำให้ได้ ส่วนการจัดพื้นที่ให้ใหม่ของ กทม. ยืนยันว่าจะรับผู้ค้าจากรอบบริเวณได้ทั้งหมด แต่ผู้ที่เคยขายช่วงเช้าต้องมาขายช่วงเย็นแทน รับว่าเรื่องนี้จะต้องใช้เวลาจัดการ ค่อยๆแก้ปัญหาไป แต่ยืนยันว่าการจัดระเบียบนี้ไม่ได้เป็นการยกเลิกการขายของและลดเสน่ห์ของ ถ.ข้าวสารลง เป็นเพียงการจัดระเบียบที่ กทม. ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก

    รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยังยืนยันว่า จุดใดที่เคยยกเลิกห้ามขายแล้วไม่สามารถกลับมาขายได้อีกจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ส่วนที่ผู้ค้าร้องว่าจุดที่ กทม. ให้ขายใหม่แต่ไม่มีลูกค้ามาเดินซื้อของนั้น ก็พยายามประสานหาที่เอกชนมาเป็นตลาดขายของให้ แต่ยอมรับว่าบางที่ไม่สามารถทำได้

    ด้านนางสาวญาดา พรเพชรรัมภา ประธานชมรมฯ ระบุว่า ชมรมฯ เสนอถึงปัญหาต่างๆ ให้ กทม. รับทราบ แต่ กทม. ก็ยังยืนยันว่าขายไม่ได้ ชมรมฯ จึงยืนยันว่าในวันพรุ่งนี้จะตั้งแผงขายของตามเดิมหลังจบบิ๊กคลีนนิ่งเดย์แล้ว เพราะเป็นสิทธิ์ที่ตัวเองมีมาตลอด ถ้าพรุ่งนี้เกิดเหตุรุนแรงขึ้น กทม. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และถือว่า กทม. ต้องการให้ภาพลักษณ์ของ ถ.ข้าวสาร เสียหายในสายตาต่างชาติ เพราะตัวเองพยายามที่สุดแล้วแต่ กทม. ไม่เคยฟัง ซึ่งถือว่าผิดจรรยาบรรณ ยืนยันว่าที่ผ่านมาชมรมฯ ได้จัดระเบียบการค้าร่วมกับเทศกิจมาโดยตลอด และไม่เคยต่อต้านการจัดระเบียบ แต่ต้องการให้ กทม. มาคุยกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่น่าพอใจ ส่วนที่ กทม. ระบุว่าจะให้เจ้าหน้าที่มาขุดลอกท่อระบายน้ำก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าหลังจากคุณลอกแล้วน้ำจะไม่ท่วมอีก

    จากนี้จะไปยื่นหนังสือที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชะลอคำสั่งการห้ามขายของบนทางเท้าในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากความพร้อมในการจัดพื้นที่ใหม่นั้นไม่มี หากสำนักนายกฯ ยังเพิกเฉยจะไปยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และอาจไปที่สำนักพระราชวังเพื่อยื่นถวายฎีกาฯ ต่อไป

    อนึ่ง ในวันที่ 2 ส.ค. 2561 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า หลังจากการจัดระเบียบแล้ว ยังไม่มีการค้าขายที่ฝ่าฝืนแต่อย่างใด

    โป๊ปฟรานซิสค้านโทษประหาร

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก The MATTER

    วันที่ 3 ส.ค. 2561 เฟซบุ๊ก The MATTER รายงานว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้ออกมาคัดค้านโทษประหารชิวิตในทุกๆ กรณี โดยถือเป็นการเปลี่ยนคำสอนของศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ที่ก่อนหน้านี้ในคำสอนเคยมีการระบุว่า โทษประหารชีวิตอาจนำมาใช้ได้ในบางกรณี และอาจเป็นวิธีการที่ดีในการปกป้องความดี ซึ่งตอนนี้มีการแถลงใหม่ว่า ‘มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเป็นการโจมตี และทำลายศักศรีดิ์ของคน’ นอกจากนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเอง ยังกล่าวว่า คริสตจักรจะทำงานเพื่อให้มีการยกเลิกโทษนี้ทั่วโลกด้วย
    .
    การยกเลิกโทษประหารชีวิต เป็นประเด็นสำคัญที่ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสพยายามลงมือในช่วงระยะเวลาหลายปี ควบคู่ไปกับประเด็นเรื่องผู้ลี้ภัยและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยในปี 2015 พระองค์เคยกล่าวเรื่องนี้ในการประชุมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่าภารกิจของพระองค์ตั้งแต่ต้น คือการสนับสนุนในระดับต่างๆ ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั่วโลก รวมถึงพระองค์ยังเคยทำพิธีล้างและจูบเท้าของนักโทษ และตรัสถึงประเด็นนี้อีกเช่นกัน
    .
    ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมเด็จพระสันตะปาปา ออกมากล่าวคัดค้านโทษประหาร และมองว่าควรยกเลิกโทษนี้ โดยสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่ 2 เคยกล่าวคำอวยพรคริสตมาสในปี 1998 ว่า โลกควรมีเอกฉันท์และมติเร่งด่วนร่วมกันในการยกเลิกโทษประหารชีวิต หรือสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เองก็ออกมาเรียกร้องในประเด็นนี้
    .
    การออกมาคัดค้านในครั้งนี้ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทำให้พระองค์มีความเห็นขัดแย้งกับโดนัล ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ อย่างชัดเจน ที่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ออกมาสนับสนุนโทษประหารชีวิตกับผู้จำหน่ายยาเสพติด รวมถึงเคนเรียกร้องโทษนี้กับผู้ก่อการร้ายด้วย