เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีได้เดินลงมาที่ห้องโถงชั้น 1 ตึกบัญชาการ เพื่อที่จะแถลงข่าวตามปกติของทุกวันอังคาร ซึ่งจะยืนบนจุดโพเดียมที่เจ้าหน้าที่ตั้งไว้ แต่ครั้งนี้นายกรัฐมนตรีหยุดนั่งลงที่โซฟารับรอง พร้อมไขว่ห้าง และอ่านโน้ตที่เตรียมจะตอบคำถามสื่อ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหนื่อยหรือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “มันเมื่อย แต่ไม่เหนื่อย เป็นทหารเหนื่อยกว่านี้เยอะ” จากนั้นจึงเดินไปที่โพเดียม เพื่อแถลงข่าวตามปกติ
ยอมรับ ติดถ้ำ – บินตก – เรือล่ม กระทบจิตใจคนไทย เตรียมทำบุญใหญ่
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงแนวคิดการทำบุญประเทศภายหลังที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นในประเทศไทยและส่งผลกระทบด้านจิตใจของคนไทยว่า ปกติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้มีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญเป็นประจำอยู่แล้ว และยังมีพระบารมีปกเกล้าฯ ที่พระราชทานกำลังใจและเป็นห่วงพสกนิกรของพระองค์ทุกคน พระองค์ยังทรงมีรับสั่งมายังรัฐบาลว่าหากขาดสิ่งใดก็ให้ทูลเกล้าฯ ขอได้ จะทรงพระราชทานช่วยเหลือให้ แต่การดำเนินการต่างๆ ก็ต้องเป็นหน้าที่รัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลจะมีการจัดทำบุญตักบาตรในเร็ววันนี้เพิ่มด้วย
“ผมเองในฐานะคนไทยก็ได้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยให้ความเคารพนับถือ โดยเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.) ผมก็ได้ขึ้นไปกราบท่านท้าวมหาพรหมที่ประดิษฐานบนตึกไทยคู่ฟ้า ก็ขอพรจากท่าน ซึ่งความจริงผมก็กราบท่านทุกวัน โดยมีรูปท่านท้าวมหาพรหมในห้องทำงานของผม แต่เมื่อวานนี้ผมได้ขึ้นไปกราบท่านและขอท่านว่า ขอให้การดำเนินการการปฏิบัติงานสำเร็จ ในวันนี้ท่านก็คงให้มานั่นแหละ ซึ่งผมก็ขอพรจากพระพรหมท่านทุกวัน นอกจากนี้ผมได้มอบหมายให้ผู้แทนไปบูชาและสักการะศาลหลักเมือง ไปกราบขอพรจากพระแก้วมรกต และขอพรจากพระสยามเทวาธิราช ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยเคารพ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวยอมรับว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้ง 3 เหตุการณ์ในขณะนี้ ทั้งเรื่องที่กลุ่มเยาวชนทีมหมูป่าฯ ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย, เหตุเรือล่ม ที่ จ.ภูเก็ต รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ตก ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนไทย ซึ่งตนก็ร้อนใจมากที่สุด เพราะเป็นผู้ที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหาทั้งหมด ก็พยายามทำงานอย่างเต็มที่
มั่นใจช่วย 13 ชีวิตออกจากถ้ำหลวงครบวันนี้
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีการแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญและนักดำน้ำต่างชาติถึงการรับมือภัยพิบัติว่า ที่ผ่านมามีการประชุมร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทุกวัน และนำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในประเทศไทย เนื่องจากถ้ำหลวงนั้นมีลักษณะทางกายภาพต่างจากถ้ำในต่างประเทศพอสมควร ทั้งเรื่องขนาด และถ้ำนี้มีลักษณะเป็นทางระบายน้ำ จะเห็นได้จากเมื่อถึงฤดูฝนน้ำขึ้นสูงจนเต็มถ้ำ
“ต่างคนต่างเรียนรู้ไปด้วยกัน เขาก็ไม่เคยเห็นว่าประเทศไทยมีถ้ำลักษณะแบบนี้ มีการประชุมกันทุกวัน ซึ่งเขาก็ยอมรับว่านักดำน้ำของไทยมีประสิทธิภาพ หน่วยซีลของไทยก็เข็มแข็งและเก่ง การทำงานจึงเป็นการทำงานร่วมกัน หลายคนไปพูดว่าเขาพบก่อน เราพบก่อน ไม่มีใครพบก่อนพบหลัง ทุกคนที่เป็นทีมแนวหน้าไปด้วยกัน ถึงเวลาคนนี้พักอีกคนก็ไป จังหวะไหนเจอก็คือจังหวะนั้น เป็นการเจอด้วยกันไม่ใช่ว่าใครเก่งกว่าใคร เขาก็ยอมรับในฝีมือของเรา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปถึงการช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ว่า ความสำเร็จของภารกิจในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือของทุกฝ่ายที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องเรียนรู้ และส่วนตัวคาดหวังว่าภารกิจการช่วยเหลือทั้ง 13 ชีวิต จะแล้วเสร็จภายในวันนี้ พร้อมระบุว่าที่ตนลงพื้นที่เมื่อวานนั้นเพื่อขอบคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ ไม่ได้หวังเป็นพระเอกแต่อย่างใด
“มีนักดำน้ำทั้งหมดที่มาช่วย 47 คน จากหลายประเทศ ผมก็มีโอกาสได้พบปะเขาทั้งหมดแล้วทุกคน ไปขอบคุณเขา แสดงให้เห็นว่าเขาคือเพื่อนของเรา ผมไม่ได้มุ่งหวังอย่างอื่นเลย เมื่อวานที่ผมไปไม่ใช่ว่าเจอคนออกมาแล้วผมจะต้องไปแสดงตัวเป็นพระเอก ไม่ใช่ แต่ผมต้องการไปขอบคุณคนที่ทำงาน ได้มีโอกาสพบหน่วยซีลทุกคนที่ออกมานอกถ้ำ ได้พบผู้ว่าราชการจังหวัดกับทีมงาน ทุกคนมีโอกาสถ่ายรูปร่วมกัน แม้การทำงานจะยังไม่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแต่ผมคาดหวังว่าวันนี้จะเสร็จเรียบร้อยได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ส่งสารขอบคุณไปยังผู้นำประเทศต่างๆ ที่ส่งเจ้าหน้าที่มาช่วย พร้อมมอบเกียรติบัตรและให้เจ้าหน้าที่ไทยพาเจ้าหน้าที่ต่างชาติไปเที่ยวหลังเสร็จภารกิจ
เตรียมฟื้นฟูถ้ำหลวง – จัดระบบความปลอดภัย ก่อนเปิดให้ท่องเที่ยวใหม่
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องการฟื้นฟูถ้ำหลวงฯ ว่า ตนเคยบอกไปแล้ว ว่าเราจำเป็นต้องทำให้สถานที่แห่งนี้มีความปลอดภัย เพราะวันหน้าอาจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง จะต้องหามาตรการการป้องกันในการเข้า-ออก ในฤดูน้ำหลากไม่ควรเข้าไป จะต้องมีมาตรการหลายๆ อย่างให้เหมือนที่ต่างประเทศทำ มีระบบไฟ สัญญาณเตือนต่างๆ บันได รวมถึงเส้นทางห้าม ที่ต้องติดตั้งไว้ภายในให้มองเห็น ซึ่งในภาคเหนือที่มีถ้ำอยู่หลายร้อยถ้ำก็มีตัวอย่างให้เห็นบ้างแล้ว
“ผมคิดว่าที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่อไปในอนาคต เราต้องพัฒนาทุกอย่าง ให้พร้อมให้ปลอดภัยก่อน ซึ่งก็ได้ย้ำเตือนไปกับหน่วยงานในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานบริหารป่าไม้ที่ 15 จะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมให้เหมาะสม” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกฯ ชวน “อีลอน มัสก์” ลงทุน “อีอีซี”
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการพูดคุยกับนายอีลอน รีฟ มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเทคโนโลยีอวกาศระดับโลกและบริษัทขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดินของเทสลา ที่ได้ประกาศเสนอความช่วยเหลือรัฐบาลไทยด้วยการส่งทีมงานและอุปกรณ์มาช่วย 13 ชีวิตทีมหมูป่าฯ ออกจากถ้ำหลวง ว่า เมื่อคืนตนได้ชื่นชมเขาตั้งแต่วันแรกที่เขาโพสต์ข้อความออกมาด้วยความจริงใจ เขาเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ และเขาเป็นผู้เสนอตัวเองว่าเขาพร้อมจะช่วย ซึ่งส่วนหนึ่งในข้อความที่จะให้ความช่วยเหลือเขาก็ได้กล่าวชื่นชมการทำงานของไทยที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือคน อย่างไรก็ตามเขาก็พร้อมให้การสนับสนุนในทุกๆ เรื่อง
“เมื่อคืนก่อนจะกลับมาผมได้มีโอกาสพบกับเขาด้วยตัวเอง ทราบว่าเขานำเครื่องบินส่วนตัวมาจากสหรัฐอเมริกาโดยตรงมาลงที่เชียงราย ใช้เวลา 17 ชั่วโมง ได้พบกันก่อนกลับจากเชียงรายจับไม้จับมือพูดคุยทำความรู้จักกัน ก็ชอบพอกันดี ผมก็พูดให้ฟังว่าประเทศไทยกำลังทำอะไรกันอยู่บ้าง ในเรื่องปัญหาตรงนี้เขาก็บอกว่าเขามีเทคโนโลยี ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าเขาไม่เคยเห็นสถานการณ์ในประเทศไทย ไม่เคยเห็นถ้ำแบบนี้ เขาพร้อมจะช่วยเหลือหากต้องปรับปรุงเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เพราะอาจมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกในพื้นที่อื่นๆ ฉะนั้น เครื่องมือที่เขาเอามานั้นมีประโยชน์ทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวระบุถึงความร่วมมือในอนาคตกับนายอีลอนว่า ประเทศไทยพร้อมและยินดีให้การสนับสนุนหากนายอีลอนจะมาลงทุน ขอให้ถือว่าประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่ 2 พร้อมจะดูแลให้การต้อนรับโดยได้อธิบายถึงโครงการอีอีซีที่มุ่งเน้นด้านนวัตกรรมและดิจิทัล ซึ่งนายอีลอนก็ให้ความสนใจ สำหรับอุปกรณ์ช่วยชีวิต หรือเรือดำน้ำจิ๋วที่นำมาช่วยเหลือนั้น มอบให้ประเทศไทยไว้ศึกษาและใช้งานต่อไป
“เมื่อคืนเขาก็ได้เข้าไปดูในสถานที่จริง ไปถึงห้องโถงข้างใน ผมคิดว่าเขาต้องเกิดแนวความคิดอีกมากมายในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมา ฉะนั้นผมก็บอกว่าช่วยประเทศไทยด้วยได้ไหม คิดค้นออกมาแล้วหาเครื่องไม้เครื่องมือมาให้เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งคงไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยอย่างเดียวคงต้องมองไปถึงประเทศในอาเซียนด้วย เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศค่อนข้างคล้ายกัน เขาก็รับปากผมดี ผมก็บอกว่าประเทศไทยก็พร้อมยินดีที่จะให้การสนับสนุนในการลงทุนในประเทศเรา เพราะเขาเป็นบริษัทขนาดใหญ่มีความสำคัญในหลายๆ เรื่อง ผมก็พูดให้เขาฟังในเรื่องของอีอีซี เรื่องการเชื่อมโยงต่างๆ ทั้งหมด ทั้งด้านนวัตกรรม ดิจิทัล เขาก็สนใจ บอกว่าขอเดินทางไปประเทศจีนเรื่องธุรกิจของเขาก่อน หากมีเวลาจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง”
“ผมก็บอกเขาแล้วว่าผมรับเขาเป็นเพื่อนผม ในเมื่อเสนอมาว่าจะสนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มที่ ผมก็ยินดีรับท่าน ให้ท่านถือว่าประเทศไทยเป็นบ้านแห่งที่ 2 ของท่าน เขาก็ดีใจ คำว่าเป็นบ้านแห่งที่ 2 เขาจะมาเที่ยวก็มา อะไรเราดูแลได้ก็ดูแล ถ้าจะพาเขาไปดูอีอีซีก็พาเขาไปดูแล และตอนนี้เราก็กำลังเตรียมการในการสร้างดาวเทียมของเราเองอีกด้วย ซึ่งเขาก็มีธุรกิจด้านนี้ ทำไมเราไม่หาประโยชน์ร่วมมือกับเขาล่ะ เรารังเกียจใครไม่ได้หรอกมีตั้งหลายสิบประเทศ ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ปัดวางยาสลบ “หมูป่าฯ” – ย้ำแค่ยาคลายเครียด
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่โลกโซเชียลแชร์ข้อความระบุมีการวางยาสลบทีมหมูป่าฯ ก่อนนำตัวออกจากถ้ำว่า “คุณรู้ไหมว่าการแพทย์เขาทำอย่างไรจะให้เด็กไม่ตื่นกลัว เวลาออกมา ก็เหมือนที่เรากิน เราก็กินยาแก้แพ้ให้มันรู้สึกว่ามันไม่เป็นไร มันไม่ตื่นเต้น ใครจะวางยาสลบแล้วมันจะออกมาได้ไง เขาเรียกว่ายาคลายประสาทอะไรสักอย่างให้เด็กไม่ตื่นเต้นไม่เครียด เรากินมาเยอะแล้วยิงปืนเราก็ให้กินแล้วมันจะยิงปืนแม่น เพราะมันไม่ตื่นเต้นไง ลองกินไหม เรากินทุกวันไม่เห็นตายเลย เรากินทุกคืน”
เมื่อถามว่า เด็กๆ ที่ออกมามีสติสัมปชัญญะครบกันทุกคนหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุ “มีซิจ๊ะ เมื่อคืนผมไปเยี่ยมก็ทักคุยกับทุกคนทั้ง 8 คน มีสติกันทุกคน 4 คนแรกสามารถเข้าไปเยี่ยมได้เพราะผ่านการตรวจร่างกายตรวจเชื้อดีแล้ว อีก 4 คนที่เพิ่งออกมาเข้าไปเยี่ยมยังไม่ได้ยังคาดจมูกปิดจมูกอยู่ พอบอกให้ยกมือก็ยกกันทุกคน ผมได้บอกออกมาก็เป็นคนดีของสังคมใช่ไหม เขาก็ยอมรับว่าจะเป็นคนดีของสังคม อยากเป็นนักฟุตบอลใช่ไหมก็ขอให้ติดทีมชาติ พ่อแม่ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็นั่งยิ้มชอบใจ ผมก็บอกว่า วันก่อนนายกฯ พูดเชื่อไหม ก็ตอบกันว่าเชื่อ เราต้องให้กำลังใจคนทุกคน วันนี้ไม่ใช่เวลาไปจับผิดจับถูกใครเก่งใครไม่เก่ง รอรับสถานการณ์ที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกไม่ดีกว่าหรือ”
ตั้งกองทุนประกันภัยเยียวยาเรือล่ม หวังนักท่องเที่ยวจีนไม่หนี
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถาม ถึงปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญจะแก้ไขเด็ดขาดอย่างไร ว่า เรื่องนี้พูดกันมานานแล้ว เคยมีการจับกุมมาแล้ว และมีการสู้คดีอยู่ ซึ่งเขาก็ต้องสู้ มันเป็นเรื่องทางกฎหมาย เขาสามารถสู้ได้ ถ้าสู้ไม่ได้เขาก็ต้องติดคุก วันนี้เรามีการจับกุม ยึดเงิน โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หลักฐานการฟอกเงินต่างๆ ก็ต้องยึดไว้ ถ้ามีหลักฐานก็ต้องดำเนินการ
“สำหรับกรณีนี้เราอย่าเพิ่งแสดงความคิดเห็นอะไรเลย อยากให้อยู่ในขั้นตอนการช่วยเหลือ การนำศพกลับ การดูแลในเรื่องสิทธิการประกันภัย ถ้าใครไม่มีสิทธิประกันภัย รัฐบาลไทยก็ตั้งกองทุนประกันภัยไว้ให้เขา เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่ง เพราะบางคนเวลามาประเทศไทยเขาทำประกันภัยไม่ได้ก็ต้องดูแลเขา ซึ่งรัฐบาลนี้เป็นคนตั้งกองทุนนี้ไว้ก็อาจจะได้จำนวนหนึ่ง ส่วนในการประกันภัยของเอกชนน่าจะได้ประมาณล้านกว่าบาท” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เรายังดูเรื่องการฌาปนกิจศพ ซึ่งบางคนต้องการทำในประเทศไทยหรือบางคนต้องการนำศพกลับ เราก็เตรียมเครื่องบินบริการนำส่งไปให้ ส่วนคนที่รอใบมรณบัตร ตนได้เร่งรัดให้ออกโดยเร็วที่สุด พิสูจน์อัตลักษณ์สำเร็จแล้วว่าใครเป็นใคร 33 คน ยังเหลืออยู่เล็กน้อย ก็ต้องรออีกหน่อย สภาพบางส่วนก็ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งต้องใช้เวลา ยืนยันว่าประธานาธิบดีจีนยังเข้าใจและให้กำลังใจไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนจีนที่จะเข้ามาเที่ยวในไทยยังคงมีอีกก็ให้ดูแลให้ปลอดภัย
“จะต้องมีการบูรณการการทำงานให้มากขึ้น และต้องพัฒนาระบบเรดาร์และระบบตรวจสอบให้ดีขึ้น และตนได้สั่งการในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) ให้มีการบูรณาการเรื่องภัยพิบัติ ว่าต่อไปนี้ช่วงใดสภาพอากาศไม่ดีแปรปรวนมากๆ ขอให้เอาเรือที่มีฐานเรือเป็นเหล็ก และมีเรดาร์ออกไปด้วยหาเรือท่องเที่ยวที่อยู่กลางทะเลเพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้าย เป็นการนำยุทโธปกรณ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงการแก้ปัญหาไอยูยูที่ไม่เคยแก้กันมาก่อน ก็ต้องขออภัยหากเทคโนโลยีบางอย่างในขณะนี้ยังใช้งานได้ไม่ดี เนื่องจากหากต้องเปลี่ยนก็จะต้องใช้งบประมาณสูง จึงต้องทยอยทำถ้าเรามีเงินทำทุกอย่างหมดทั้งระบบ เราก็จะเป็นเหมือนต่างประเทศทันที ต้องเห็นใจเพราะรัฐบาลใช้เงินหลายอย่าง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้จะต้องมีการจัดระเบียบชายหาดภูเก็ตใหม่ เพราะทุกวันนี้ร้านค้าตั้งไม่เป็นทาง เล็งเป้าว่าจะต้องทำให้เหมือนเมืองนอกให้ได้ นายกฯ ยังขอให้ประชาชนสวมเสื้อชูชีพ และสอบถามเจ้าหน้าที่ทุกครั้งเมื่อเกิดเหตุน่าสงสัยระหว่างเดินเรือ พร้อมทั้งแหย่กับสื่อมวลชนว่าคนที่ชอบไปทะเลบางเป็นคนขี้เหงา แต่คนที่ชอบไปเขาคือคนผจญภัย ส่วนตัวเองจะชอบอะไรนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะตัวเองไปมาหมดแล้วที่
แจง U-17 ตก เหตุเกิดจากสภาพอากาศ
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีอุบัติเหตุเครื่องบินลาดตระเวน U-17 ของกองทัพบก ตกที่ จ.แม่ฮ่องสอน ว่า ตนเสียใจ ช่วงนี้มี 3 เรื่อง ทั้งบก เรือ อากาศ ครบเลย ก็ถือว่าเป็นบทเรียน เสียใจกับครอบครัว แต่จะเสียขวัญไม่ได้ ไม่มีนักบินคนไหนอยากที่จะเครื่องบินตก เขาไม่ได้ไปบินเล่น แต่เขาไปลาดตะเวนชายแดน ซึ่งเครื่องบินลำดังกล่าวมีอายุ 40 ปี แล้ว แต่ก็มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์อยู่เสมอ สาเหตุนั้นตนคาดว่ามาจากสภาพอากาศปิด ย้ำว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงนี้ขอให้เป็นบทเรียนสอนใจคนไทยที่จะต้องระมัดระวังและไม่ประมาท พร้อมแนะนำให้ทุกคนศึกษากฎเมอร์ฟีลอว์ที่ว่าด้วยการทำสิ่งใดไปมากๆ แล้วจะเรียนรู้ได้จากสิ่งนั้น
“แม้ว่าตัวถังของเครื่องบินจะมีอายุการใช้งานได้ 50-60 ปี แต่ทุก 5-10 ปีต้องมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่หมด เข้าใจว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดจากสภาพอากาศ เพราะอากาศไม่แน่นอน สมัยก่อนผมก็ขึ้นเครื่องบินโบราณแบบ 2 ที่นั่ง รวมถึงเครื่องบินแอล 17 เครื่องบินแอล 19 รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ฮิ อี้ เป็นเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์เดียว ดับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้องปลุกพระเอา วันนี้ก็ยังบินอยู่ เพราะเราต้องใช้ขนส่งลำเลียงอาหาร แต่ก็มีการซื้อทดแทนไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก เครื่องบินก็ต้องซ่อม เก่าแค่ไหนก็ตามก็ต้องซ่อมเครื่องยนต์ ความผิดพลาดต่างๆ ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพอากาศทั้งสิ้น เพราะมีลมกระโชก บินใกล้ภูเขาทำให้บินลำบาก” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกฯ ส่งสารแสดงความเสียใจน้ำท่วมญี่ปุ่น – พร้อมให้ความช่วยเหลือ
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีเกิดอุทกภัยที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ตนขอแสดงความเสียใจ ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเพื่อนของเรา โดยตนได้ทำหนังสือแสดงความเสียใจไปแล้ว จากกรณีที่เกิดเหตุอุทกภัยและดินถล่มใน 15 เขตทางตอนใต้ของประเทศ ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 140 คน สูญหายอีกจำนวนมาก ประชาชนกว่าสองล้านคนต้องอพยพ ตนเห็นใจเพราะเขาเผชิญปัญหาหนักกว่าเรา
“ตอนนี้เรากำลังทำเรื่องไป ว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือบ้างหรือไม่ เพราะเราเป็นมิตรประเทศด้วยกัน เวลานี้ได้ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานไปแล้ว ขณะเดียวกันทางญี่ปุ่นได้ส่งวิศวกรชำนาญด้านการใต้ดิน มาช่วยเหตุที่ถ้ำหลวงถึง 2 คนด้วยกัน และเมื่อบ้านเขามีเรื่อง เราจึงถามเขาไปว่ามีอะไรจะให้ช่วยได้บ้างหรือไม่ นั่นคือโลกวันนี้ ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด ประเทศไหนมีความสุข ประเทศอื่นก็ต้องมีความสุขด้วย ประเทศไหนมีความทุกข์ ประเทศอื่นก็ต้องมีความุกข์ด้วย ขอให้สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียน สอนใจคนไทยทุกคนของเรา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
“บิ๊กตู่”ถามกลับ “ไม่ดูดสักวัน ไม่ได้หรือ”
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย บางคนออกมาระบุว่า จังหวัดที่มีหน่วยที่ตั้งของทหาร มีการเคลื่อนไหวเดินหน้าดูด อดีตส.ส. ว่า สื่อถามแต่เรื่องนี้ ไม่ดูดกันสักวันไม่ได้หรือ ตนไม่ได้เกี่ยวข้องใครจะเกี่ยวข้องก็ว่ากันไป พอตนพูดอะไรก็หาว่าแก้ตัว หากไม่พูดอะไรก็มองว่าตนปัด ขี้เกียจพูด ไม่พูดดีกว่า มันไม่เกิดประโยชน์อะไรในเวลานี้เลย ตนไม่อยากให้มันวุ่นวาย
“เรื่องดูดเป็นเรื่องกระพี้ ซึ่งก็คือเปลือกนอก เรื่องจริงคือถึงเวลาไปเลือกตั้ง อย่ามาพูดกันตอนนี้ ดูดไปดูดมา ประชาชนจะเลือกสักพวกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ คุณอย่าไปสนใจตรงนั้นมากนักเลย” นายกรัฐมตรีกล่าว
อวยพร “บิ๊กจิ๊ว” พบรักใหม่ “ขอให้โชคดี”
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีโซเชียลมีเดียเผยแพร่ภาพของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กับ น.ส.อรทัย สรการ บุตรสาวของนายนิพนธ์ สรการ อดีต ส.ว. โดยระบุว่าเป็นรักครั้งใหม่ โดย พล.อ. ประยุทธ์ แสดงอาการแปลกใจและถามสื่อว่า “บิ๊กจิ๋วน่ะเหรอ แต่งกับใคร ใช่คนที่ดูแลหรือเปล่า ใช่คนที่ไปตั้งพรรคการเมืองหรือไม่” ก่อนจะขอดูภาพจากโทรศัพท์มือถือของผู้สื่อข่าว
เมื่อเห็นภาพแล้ว พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเพียงว่า “ขอให้โชคดี” อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยากมีแบบนี้บ้างหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ หันมาตอบว่า “คุณพูดอะไรที่มันอันตราย”
มติ ครม. มีดังนี้
ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.ทรัสต์ฯ ดูแลทรัพย์สิน “กงสี”
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล พ.ศ. … เพื่อเปิดช่องทางในการบริหารทรัพย์สินส่วนบุคคลจากเดิมที่สามารถทำได้เพียงรูปแบบพินัยกรรมหรือจัดตั้งเป็นนิติบุคคล หรือกงสี ซึ่งมักจะมีปัญหาตามมาเช่น ทรัพย์สินถูกใช้จนหมด หรือลูกหลานไม่ดูแลภายหลังโอนมรดกไป เป็นต้น รวมทั้งที่ผ่านมาก็มีการโอนทรัพย์สินไปจัดตั้งทรัสต์ในต่างประเทศแทนและทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศลดลง กฎหมายการจัดตั้งทรัสต์จะช่วยให้สามารถกำหนดรายละเอียดการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคลได้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่นกำหนดการจ่ายดอกผลเป็นเงินเดือนเท่าไหร่ หรือบังคับต้องจ่ายให้เจ้าของเท่าไหร่ เป็นต้น
ทั้งนี้ การจัดตั้งจะประกอบด้วย 3 ส่วน เจ้าของทรัพย์สิน ทรัสต์ตีหรือผู้จัดการผลประโยชน์ และผู้รับผลประโยชน์ โดยจะต้องไม่เป็นคนเดียวกัน และกำหนดให้ทรัสต์ที่จัดตั้งขึ้นไม่สามารถระดมจากประชาชน รวมทั้งถูกกำกับและต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ผ่านร่าง กม. “ภาษีลาภลอย” ที่ดิน – ห้องชุด ใกล้โครงการรัฐจ่าย 5%
นานณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. …. เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินการลงทุนจัดทำโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐจำนวนมาก ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ และโครงการอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ซึ่งเมื่อโครงการฯ ดังกล่าวเริ่มดำเนินการจนกระทั่งแล้วเสร็จ จะส่งผลให้ที่ดินและห้องชุดบริเวณรอบโครงการฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีและสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาจากผู้ที่ได้รับประโยชน์ดังกล่าว จึงเห็นควรให้มีการจัดเก็บภาษีจากเจ้าของที่ดินหรือห้องชุดที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มของมูลค่าที่ดินหรือห้องชุดอันเนื่องมาจากการพัฒนาโครงการฯ และนำรายได้จากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
-
1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือเป็นเจ้าของห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาทและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของห้องชุดรอการจำหน่ายซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ
2) โครงการฯ ที่จัดเก็บภาษี คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ และโครงการอื่นๆ ที่กำหนดในกฎกระทรวง
3) การจัดเก็บภาษีแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
-
3.1) ในระหว่างการดำเนินการจัดทำโครงการฯ จะจัดเก็บภาษีจากการขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือห้องชุดซึ่งตั้งอยู่รอบพื้นที่โครงการฯ ในรัศมีที่กำหนด
3.2) เมื่อการก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ จะจัดเก็บภาษีเพียงครั้งเดียวจาก 1) ที่ดินหรือห้องชุดเฉพาะส่วนที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท (ยกเว้นภาษีให้แก่ที่ดินหรือห้องชุดที่ใช้เพื่อพักอาศัยและที่ดินที่ใช้ประกอบเกษตรกรรม) 2) ห้องชุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รอจำหน่าย ซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ
4) พื้นที่จัดเก็บภาษี กำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมี 5 กิโลเมตรรอบพื้นที่โครงการฯ ทั้งนี้ กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดพื้นที่จัดเก็บภาษี ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่จะจัดเก็บภาษีในแต่ละโครงการฯ
5) หน่วยงานจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีโครงการฯ ตั้งอยู่
6) ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษี ให้คำนวณจากส่วนต่างของมูลค่าที่ดินหรือห้องชุดที่เพิ่มขึ้นระหว่างวันที่รัฐเริ่มก่อสร้างโครงการฯ และมูลค่าในวันที่การก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ สำหรับโครงการฯ ที่ยังก่อสร้างอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ ให้ใช้วันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้เป็นวันเริ่มต้นในการคำนวณฐานภาษี ทั้งนี้ การคำนวณมูลค่าที่ดินและห้องชุด ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินและราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินที่คณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์กำหนดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ
ในกรณีห้องชุดไม่สามารถคำนวณส่วนต่างของมูลค่าห้องชุดได้ เนื่องจากไม่มีราคาประเมินห้องชุด ให้คำนวณส่วนต่างดังกล่าวเท่ากับร้อยละ 20 ของมูลค่าห้องชุด
7) การคำนวณภาษีให้ใช้ฐานภาษีของที่ดินหรือห้องชุดที่คำนวณได้คูณด้วยอัตราภาษี
8) อัตราภาษี กำหนดเพดานอัตราสูงสุดของภาษีที่กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บได้ ไม่เกินร้อยละ 5 ของฐานภาษี ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริงจะกำหนดในพระราชกฤษฎีกา
9) ภาษีที่จัดเก็บได้ให้นำส่งเงินภาษีเข้าคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน
10) โครงการฯ ที่จัดเก็บภาษี คือ โครงการฯ ที่ยังก่อสร้างอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ หรือโครงการฯ ที่จะก่อสร้างภายหลังจากวันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้
เห็นชอบร่าง กม.วิสาหกิจเพื่อสังคม – อุดหนุนสิทธิประโยชน์ภาษี
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อทำให้วิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นองค์กรรูปแบบใหม่ ที่มีโครงสร้างองค์กรเหมือนบริษัทเอกชน มีรายได้หลักจากการขายสินค้าหรือบริการ แต่มีพันธกิจหลักคือการแก้ไขปัญหาสังคม ไม่มุ่งแสวงหากำไร สามารถมีความยั่งยืนแบบธุรกิจและดำเนินกิจการ เพื่อประโยชน์สาธารณะได้ในรูปแบบของมูลนิธิ หรือองค์กรการกุศล โดยจะต้องจดทะเบียนและมีเงื่อนไขต้องนำผลกำไร 70% กลับมาลงทุนในวิสาหกิจหรือนำไปช่วยเหลือปัญหาสังคมต่างๆ และสามารถปันผลกำไรได้เพียง 30% เท่านั้น ในรายละเอียดสาระสำคัญของกฎหมายจะแบ่งเป็น 3 ประเด็น
-
1) การให้สิทธิประโยชน์และมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิของวิสาหกิจ, หักค่าใช้จ่ายสำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่ลงทุนในหุ้นของวิสาหกิจหรือบริจาคให้วิสาหกิจ 1 เท่า, มีเงินให้เปล่าเพื่อเป็นทุนจัดตั้งสำหรับกิจการในระยะเริ่มแรก การร่วมลงทุนกับภาครัฐ และการอุดหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับกิจการในระยะเติบโต และการช่วยเหลือด้านการวิจัยและพัฒนาและการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา
2) การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อช่วยเงินให้เปล่าแก่วิสาหกิจในระยะเริ่มต้น โดยจะเป็นเงินบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทต่างๆ มีการจัดทำโครงการเพื่อสังคมกันประมาณ 1% ของรายได้ ซึ่งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรปีละ 800,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปีหากสามารถนำเงินส่วนนี้เข้ามาสนับสนุนได้ โดยรัฐบาลจะส่งเสริมเชิญชวนต่อไป
3) จัดตั้งคณะกรรมการและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนแม่บทการส่งเสริม รวมไปถึงมาตรฐานและหลักเกณฑ์การสนับสนุนต่างๆ โดยคณะกรรมการจะอยู่ภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรี
นายกฯ เยือนศรีลังกา 12-13 ก.ค.นี้
พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2561 พร้อมกันนี้ ครม. ได้เห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมและติดตามความร่วมมือทวิภาคีไทย-ศรีลังกาในด้านต่างๆ ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ ความร่วมมือทางวิชาการ การเกษตร ประมง วัฒนธรรม ศาสนา การท่องเที่ยว และความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี
ร่างแถลงข่าวร่วมดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองและความพร้อมของไทยที่จะส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีกับศรีลังกา เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และสาขาความร่วมมืออื่นๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งจะเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับศรีลังกา และจะมีผลในการช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป
ตั้ง “ปรเมธี วิมลศิริ” นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติแต่งตั้งตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และอดีตเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯ ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งเดิมซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2561
แต่งตั้ง “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” เป็นประธานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม. ได้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561) รวม 8 คน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 ดังนี้
-
1. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ
2. นางสาววลัยรัตน์ ศรีอรุณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. รองศาสตราจารย์ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ
4. รองศาสตราจารย์ปัทมาวดี โพชนุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ
5. นายภัทระ คำพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม
6. นายจเด็จ ธรรมธัชอารี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม
7. นายประสงค์ วินัยแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ภาคเอกชน
8. นายชาลี จันทนยิ่งยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
ไฟเขียวมาตรการภาษีบรรเทาผลกระทบขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
รายงานข่าวจาก สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ) รายละเอียดดังนี้
-
1. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละสิบห้าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้าง ให้แก่
-
1.1 บุคคลธรรมดา ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร รวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ทั้งนี้ ในปีภาษีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
1.2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการรวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
2. บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
-
2.1 มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกำหนด ซึ่งให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
2.2 มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างรายวันเดิมที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561
2.3 ไม่มีการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เนื่องจากรายจ่ายในการจ้างงานตามพระราชกฤษฎีกาอื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรอีกไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
สั่งการบ้านขรก. 10 ข้อ เน้นปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง
พ.อ.หญิง ทักษดา กล่าวว่า ในช่วงท้ายการประชุม พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. สั่งการว่า ในช่วงระยะเวลาที่เหลือก่อนการเลือกตั้งประมาณ 8 เดือนอยากให้ข้าราชการในหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการในเรื่องที่สำคัญ รวมถึงจะต้องมีผลงานให้ประชาชนเห็น โดยนายกฯ ให้ความสำคัญอย่างมาก 10 หัวข้อใหญ่ คือ
-
1. เรื่องการปฏิรูปตำรวจ
2. ปฏิรูปการศึกษา
3. การจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรในพื้นที่ต่างๆ
4. การบริหารจัดการขยะทั่วประเทศ โดยนายกฯ เน้นย้ำว่ากระบวนการจัดการขยะเป็นเรื่องสำคัญ จะต้องมีกระบวนการบริหารจัดการขยะที่ถูกกฎหมายทั้งหมด ซึ่งได้มอบหมายให้ รมว.มหาดไทยกำกับดูแลเรื่องดังกล่าว
5. การบริหารระบบราชการ นายกฯ เน้นย้ำว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะต้องดูแนวทางการปรับย้ายให้ชัดเจน รวมถึงแนวทางการรับข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการบรรจุข้าราชการเข้าใหม่ รวมถึงพนักงานและลูกจ้างจะต้องมีความชัดเจน
“ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังกำชับอีกว่า สำหรับพนักงานราชการหรือข้าราชการที่เข้ามาใหม่จะต้องมีรายได้ที่เพียงพอในการเลี้ยงชีพ รวมถึงจะต้องมุ่งเน้นลดจำนวนข้าราชการลงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดย ก.พ. และ ก.พ.ร. จะต้องไปพิจารณาหาแนวทางที่ชัดเจน ซึ่งท่านได้ยกตัวอย่าง ว่าในสมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประสบความสำเร็จในเรื่องการวางแผนลดจำนวนข้าราชการทหารลง จึงอยากให้หน่วยงานราชการต่างๆนำไปปรับปรุง” พ.อ.หญิง ทักษดากล่าว
6. การบริหารจัดการภัยพิบัติต่างๆ เนื่องจากช่วงนี้ประเทศไทยมีเรื่องอุบัติเหตุและอุบัติภัยต่างๆ เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงเน้นย้ำว่าเรามีศูนย์บรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติของรัฐบาล ซึ่งนายกฯ เป็นประธาน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินศูนย์ดังกล่าวจะติดต่อกับหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านภัยพิบัติทุกหน่วยงาน
7. นายกฯ เน้นย้ำว่า การใช้เครื่องมือต่างๆ จะต้องมีการจัดระเบียบเครื่องมือที่ใช้บรรเทาสาธารณภัยและอุทกภัย โดยต้องมีการวางแผนให้ความช่วยเหลือเชื่อมโยงกับเอกชน และเมื่อมีการขอยืมอุปกรณ์ต่างๆ จากเอกชนมาแล้ว จะต้องมีการส่งคืนในสภาพเดิมและสภาพดี
8. นายกฯ เน้นย้ำเรื่องการบริหารจัดการน้ำเป็นแผนงานระยะยาว แต่ในช่วงนี้แผนงานระยะสั้น 1-5 ปีที่ได้วางไว้ต้องทำให้เกิดผลให้ได้ รวมถึงต้องสอดคล้องกับแผนการปลูกพืชต่างๆ
9. โครงการต่างๆ ที่เสนอขอนายกฯ ระหว่างลงพื้นที่ในหลายจังหวัด ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมแล้วนำเสนอให้นายกฯ พิจารณาว่าเรื่องไหนที่ควรจะทำได้เร็ว ทำได้ก่อนเพื่อตอบสนองในแต่ละพื้นที่
และ 10. นายกฯ เน้นน้ำเรื่องสังคมผู้สูงอายุ โดยอยากให้มีการเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย ให้อยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ถูกทอดทิ้ง
เตรียม สัญจรฯ อีสานล่าง 23-24 ก.ค. นี้
พ.อ.หญิง ทักษดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีบัญชาเห็นชอบให้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2561 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดยโสธร) โดยนายกรัฐมนตรีจะตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี และจัดประชุมคณะรัฐมนตรีฯ ณ จังหวัดอุบลราชธานี
พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานจัดการประชุมเตรียมการบูรณาการประเด็นด้านสารัตถะ ในการลงพื้นที่และประชุม ครม. ครั้งนี้