ThaiPublica > เกาะกระแส > วิจัยกรุงศรีประเมินการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี’61 ชี้ต้นทุนเพิ่มไม่ถึง 1% เทียบ CLMV แรงงานต่างชาติยังไม่ไหลกลับ

วิจัยกรุงศรีประเมินการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี’61 ชี้ต้นทุนเพิ่มไม่ถึง 1% เทียบ CLMV แรงงานต่างชาติยังไม่ไหลกลับ

2 เมษายน 2018


วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้วิเคราะห์ “การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561: ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย” โดยมองว่าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 ค่าแรงขั้นต่ำของไทยปรับขึ้นทั่วประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี หรือนับจากปี 2556 ซึ่งมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสู่ระดับ 300 บาทต่อวัน ค่าแรงขั้นต่ำรายวันในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 308-330 บาท จาก 305-310 บาท ในปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.4 วิจัยกรุงศรีประเมินว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SME) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังค่อนข้างจำกัด ทั้งในแง่ต้นทุนค่าจ้าง ต้นทุนการผลิต และราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ

ค่าแรงขั้นต่ำในปีนี้ปรับเพิ่มในอัตราที่ใกล้เคียงกับแนวโน้มในอดีต

ค่าแรงขั้นต่ำรายวันของไทยในปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 308-330 บาท จาก 305-310 บาท ในปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.4 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นทั่วประเทศ ขณะที่ในปี 2560 มี 8 จังหวัดที่ไม่ได้มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ สำหรับในปี 2561 นี้ ค่าแรงขั้นต่ำรายวันจะปรับเพิ่มในอัตราสูงสุดที่ร้อยละ 7.0 ในจังหวัดระยอง ชลบุรี และนครปฐม ขณะที่กรุงเทพฯ มีการปรับเพิ่มร้อยละ 5.0 เมื่อพิจารณาข้อมูลค่าแรงขั้นต่ำย้อนหลังในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาจะพบว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำรายวันในปี 2561 จะใกล้เคียงกับอัตราการเพิ่มขึ้นของแนวโน้มระยะยาวในอดีต ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าการปรับขึ้นค่าแรงสู่ระดับ 300 บาทในปี 2556 (รูปที่ 1) แม้กระนั้นก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีนี้ยังนำมาซึ่งประเด็นคำถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในประเด็นต่างๆ เช่น ความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าจ้าง ต้นทุนการผลิต และราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ

ในภาพรวม การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในแง่ของเวลา สาขาการผลิต และพื้นที่

หากพิจารณาจากส่วนต่างระหว่างการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงาน (ผลผลิตต่อแรงงานหนึ่งหน่วย) กับการเพิ่มขึ้นของค่าแรงที่แท้จริง จะพบว่าในช่วงก่อนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสู่ 300 บาท การเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงานช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของค่าแรงที่แท้จริง หรือส่วนต่างมีค่าเป็นลบ (รูปที่ 2) ในขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูลล่าสุด ณ ปี 2560 ไตรมาส 3) ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าแรงที่แท้จริงหรือส่วนต่างมีค่าเป็นบวก ซึ่งสะท้อนว่ายังมีช่องว่างให้ปรับขึ้นค่าจ้างเพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการผลิตของแรงงานที่เพิ่มขึ้น หากพิจารณาในแต่ละสาขาการผลิต พบว่าในปัจจุบันผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าแรงที่แท้จริงในทุกสาขาการผลิต สอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ และหากประเมินในแง่ของพื้นที่ (รูปที่ 3) พบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าแรงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในอัตราที่สอดคล้องกับการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในแต่ละจังหวัด ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จึงสะท้อนความสามารถด้านการผลิตของแรงงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นไม่ถึงร้อยละ 1

วิจัยกรุงศรีประเมินว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีนี้ที่เฉลี่ยร้อยละ 3.4 จะส่งผลให้ค่าจ้างของแรงงานในระดับอื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยรวมแล้วจะทำให้ต้นทุนค่าแรงทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.1 และจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตทั้งประเทศเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.95 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตสามารถจำแนกผลกระทบเป็นสองส่วน ส่วนแรก คือ ผลกระทบทางตรงร้อยละ 0.13 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างเฉพาะปัจจัยการผลิตด้านแรงงาน ส่วนที่สอง คือ ผลกระทบทางอ้อมร้อยละ 0.82 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาปัจจัยการผลิตอื่นๆ หรือเป็นการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าแรงที่แฝงอยู่ในราคาสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบ นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตดังกล่าวคาดว่าจะส่งผ่านมายังราคาสินค้าผู้บริโภคร้อยละ 0.62 ซึ่งอาจจะมีส่วนช่วยผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบันให้ทยอยเข้าสู่กรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ในช่วงกลางปีนี้

การเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศยังไม่ได้รับผลกระทบ

ค่าแรงขั้นต่ำของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นช้ากว่ากลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม) โดยนับตั้งแต่ปี 2556 ที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งใหญ่นั้น ค่าแรงขั้นต่ำของไทย (ในรูปดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี ต่างจากกลุ่มประเทศ CLMV ที่ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3-16 ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน (รูปที่ 4) อย่างไรก็ตาม การเร่งตัวของค่าแรงในกลุ่มประเทศ CLMV ยังไม่สูงพอที่จะจูงใจให้เกิดการไหลออกของแรงงานต่างด้าว เนื่องจากค่าแรงขั้นต่ำของไทยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่อนข้างมาก (สูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน) อีกทั้งพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในกลุ่มประเทศ CLMV ยังมีค่อนข้างจำกัด ส่งผลให้แรงงานต่าวด้าวมีแนวโน้มทำงานในประเทศไทยต่อไปอีกอย่างน้อย 3-5 ปี หรือจนกว่าเมียนมาจะเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมในระยะแรก (ชาวเมียนมาที่ทำงานในไทยมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 70 ของแรงงานต่างด้าวทั้งหมดในไทย)

จับตาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและกลุ่ม SMEs

ภาคการผลิตบางกลุ่มอาจได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ กลุ่มแรก คือ อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและอยู่ปลายน้ำของสายพานการผลิต ซึ่งได้รับผลกระทบมากทั้งผลทางตรงและผลทางอ้อม (รูปที่ 5 วงกลมสีเหลืองเข้ม) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งทอ เป็นต้น กลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเนื่องจากค่าแรงที่ถูกกว่า อีกกลุ่มหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) เนื่องจากมีสัดส่วนการจ้างแรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำสูงถึงราวร้อยละ 40 โดยเฉพาะ SMEs ภาคเกษตรซึ่งมีสัดส่วนของแรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำมากถึงราวร้อยละ 80 อย่างไรก็ตาม ทางภาครัฐได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ SMEs (รูปที่ 6) ทั้งโครงการช่วยเพิ่มผลิตภาพ การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการให้ SMEs สามารถนำค่าจ้างรายวันไปหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ 1.15 เท่า จึงคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยเหลือ SMEs ในช่วงของการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ในระดับหนึ่ง

โดยสรุปแล้ว การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้อาจต้องระวังผลกระทบต่อภาคการผลิตบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้นและกลุ่ม SMEs อย่างไรก็ดี จากการวิเคราะห์ภาพกว้างทั้งประเทศพบว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ อีกทั้งผลกระทบโดยรวมยังค่อนข้างจำกัดทั้งในแง่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนแรงงานเฉลี่ย ต้นทุนการผลิตรวม และราคาสินค้าผู้บริโภค รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงาน คาดว่าการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 1.0 จะส่งผลให้ค่าแรงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.31 และจะทำให้ต้นทุนของภาคการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 ซึ่งจะส่งผ่านมายังราคาสินค้าผู้บริโภคร้อยละ 0.18