ThaiPublica > คอลัมน์ > สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน: ละครหรือของจริง?

สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน: ละครหรือของจริง?

9 เมษายน 2018


อาร์ม ตั้งนิรันดร

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา(ซ้าย) และสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน(ขวา) ที่มาภาพ : https://www.washingtontimes.com/news/2017/jul/29/donald-trump-blasts-china-inaction-north-korea/

ช่วงนี้เมื่อเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ ก็จะเห็นแต่ข่าวชวนให้ใจเต้นเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลายคนงงว่าอยู่ๆ ประธานาธิบดีทรัมป์เกิดบ้าอะไรขึ้นมา อยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปท้าจะทำสงครามการค้ากับจีน ด้วยการประกาศแผนจะเก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญดอลล่าร์

ส่วนพี่จีนก็ดุดันไม่เบา ประกาศพร้อมจะตอบโต้สหรัฐฯ โดยเตรียมเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ โต้กลับด้วยมูลค่าทัดเทียมกัน อย่าคิดว่าจีนกลัว!

พอจีนโต้ตอบไม่ขาดคำ ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ออกมาท้ารบรอบใหม่อีก โดยบอกว่าจะพิจารณาเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์!!

แม้ว่าหุ้นจะตกไปหลายรอบแล้ว แต่อย่าเพิ่งใจสั่นนัก เพราะตอนนี้คำขู่ของทั้งสองฝ่ายยังเป็นเพียงสงครามน้ำลายอยู่ ฝ่ายสหรัฐฯ ประกาศ “แผน” จะเก็บภาษี โดยตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงรวบรวมความเห็นจากภาคธุรกิจในสหรัฐฯ กว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างจริงก็คงอีกหลายเดือน ส่วนของพี่จีนก็เป็น “แผน” ขู่สหรัฐฯ เช่นเดียวกัน ยังไม่ใช่ของจริง โดยแผนการเก็บภาษีของจีนเน้นไปที่สินค้าเกษตรในชนบทของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ เพื่อทำให้เกิดแรงกดดันทางการเมืองภายในสหรัฐฯ ด้วย

นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกไม่เข้าใจว่าทรัมป์กำลังทำอะไรอยู่ เพราะถ้าเกิดสงครามการค้าขึ้นจริง มีแต่จะพาไปสู่ความพินาศทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่จีนจะเจ็บตัว เพราะส่งของไปขายในสหรัฐฯ ไม่ได้ แต่สหรัฐฯ เองนั่นแหละจะเจ็บตัวด้วย

ถ้าทรัมป์จะเก็บภาษีสินค้าที่มาจากจีน คนแพ้ก็คือ ผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ต้องซื้อสินค้าราคาแพงขึ้น นอกจากนั้น สินค้าหลายอย่างจากจีน จริงๆ ก็จ้างทำโดยบริษัทสหรัฐฯ (เช่น iPhone ของ Apple) ดังนั้น จึงย่อมกระทบบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่จ้างผลิตของที่จีน และจะพาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งเหวแน่ (แค่ข่าวเรื่องนี้ออกมา หุ้นก็ตกไปหลายรอบแล้ว)

ส่วนเหตุผลที่ทรัมป์บอกว่า เป้าหมายเพื่อจะได้ให้บริษัทสหรัฐฯ เหล่านี้ กลับมาตั้งโรงงานผลิตในสหรัฐฯ ก็ดูเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ เพราะบริษัทสหรัฐฯ เหล่านี้ก็อาจเลือกไปจ้างโรงงานประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีนแทน หรือแม้จะกลับมาตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ก็จะเป็นโรงงานหุ่นยนต์เสียมากกว่า เพราะค่าแรงในสหรัฐฯ สูงเกินไป

สุดท้ายมีแต่จะนำไปสู่ความโกลาหล เพราะถ้าจีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าที่มาจากสหรัฐฯ ย่อมทำให้บริษัทสหรัฐฯ ที่ส่งออกไปจีนค่อยๆ ล้มหายตายจาก กลายเป็นทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้นอีก ส่วนงานใหม่ที่จะกลับมา เพราะหวังว่าบริษัทสหรัฐฯ จะกลับมาตั้งโรงงานผลิตที่สหรัฐฯ ก็อาจใช้เวลาอีกนานหลายปี (กว่าจะสร้างโรงงานเสร็จ) หรืออย่างที่บอก พอสร้างเสร็จ ก็อาจเห็นว่านี่มันโรงงานหุ่นยนต์!

ในโลกธุรกิจสมัยใหม่ซึ่งมีห่วงโซ่การผลิตที่ซับซ้อน สินค้าจีนหลายอย่างไม่ใช่สินค้าที่ “ผลิต” ที่จีน แต่เป็นสินค้าที่ “ประกอบ” ที่จีนต่างหาก (ชิ้นส่วนการผลิตแต่ละอย่างล้วนส่งมาจากประเทศอื่น) ดังนั้น การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน สุดท้ายย่อมจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งโลก จนอาจลามเกิดโกลาหลทั้งโลกด้วย

นอกจากนั้น เมื่อสงครามการค้าส่งผลลบต่อทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก ก็ย่อมกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ที่นำเข้าและส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ และจีนตามติดกันเป็นลูกโซ่

ถ้านี่เป็นนโยบายที่ไม่สมเหตุสมผลเลย แล้วทรัมป์จะเล่นลูกบ้าไปเพื่ออะไร?

ก่อนที่จะเล่นการเมือง ทรัมป์เป็นนักธุรกิจที่ทำตัวเหมือนดารา ปั้นแบรนด์ตัวเอง ออกข่าวปั่นให้ตัวเองดัง ไปจนถึงสวมบทบาทเป็นกูรูธุรกิจในรายการเกมโชว์ชื่อดัง “The Apprentice” จนมียอดผู้ชมถล่มทลาย

จนบัดนี้ ทรัมป์ก็ยังติดสัญชาติญาณเดิม คือ ชอบสร้างกระแส สร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ดังเช่นในการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์สวมบทบาทคนจริงพร้อมลุยพร้อมสู้เพื่ออเมริกันชนที่ถูกลืม

กลยุทธ์สร้างกระแส และปลุกกองเชียร์ที่เขาใช้เสมอมา ก็คือ การประกาศสงครามกับศัตรู ไม่ว่าจะเป็นสงครามกับคนต่างด้าวที่เข้ามาก่ออาชญากรรม (แม้ข้อเท็จจริงคือ อาชญากรรมโดยคนต่างด้าวจริงๆ มีน้อยมาก) สงครามกับสื่อมวลชนในสหรัฐฯ (ที่ทรัมป์บอกลำเอียงและรายงาน “ข่าวปลอม” เพื่อแกล้งเขา) สงครามน้ำลายกับคิมจองอึนก่อนหน้านี้ จนมาถึงการประกาศสงครามการค้ากับจีนในครั้งนี้ เมื่อบรรดากองเชียร์ทรัมป์รู้ชัดเจนว่าใครคือศัตรู และเห็นทรัมป์นี่แหละที่เป็นคนจริงจะมากำราบศัตรูของชาติ ก็พร้อมเทใจสนับสนุนทรัมป์ต่อไป

นอกจากนั้น ยังมีคนมองว่า นี่เป็นลูกบ้าลูกชนของทรัมป์ เพื่อเล่นเกมเจรจา โดยขู่ว่าจะทำอะไรบ้าๆ พอจีนกลัว จะได้ยอมมานั่งโต๊ะเจรจาด้วย โดยยอมตกลงกับทรัมป์ในเรื่องที่สหรัฐฯ ต้องการ

สหรัฐฯ ต้องการอะไรจากจีน? เรื่องใหญ่ในทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ปัญหาการละเมิดและลักลอบทรัพย์สินทางปัญญาของจีน นักธุรกิจสหรัฐฯ เคยร้องเรียนมานานแล้วว่า ถูกจีนบังคับให้ทำความตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทจีน หรือทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัทจีน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีโอกาสเข้ามาลงทุนในตลาดผู้บริโภค 1.4 พันล้านคนของจีน ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยข่าวกรองในสหรัฐฯ ยังพบว่า หน่วยความมั่นคงของจีนมีการทำสงครามไซเบอร์ เพื่อล้วงและขโมยข้อมูลเทคโนโลยีและความลับทางการค้าของบริษัทต่างชาติ

เรื่องใหญ่อีกเรื่อง ก็คือ สหรัฐฯ ต้องการให้จีนเปิดตลาดในบางภาคธุรกิจ เช่น ภาคการเงิน ภาคประกันภัย ฯลฯ โดยเฉพาะภาคการเงินจะเป็นผลดีกับนักลงทุนสหรัฐฯ โดยเฉพาะในวอลสตรีท ซึ่งก็เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอิทธิพลในวงนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ส่วนเรื่องใหญ่ในทางการเมืองระหว่างประเทศ ก็คือ ต้องการให้จีนช่วยสหรัฐฯ ในการเจรจากับเกาหลีเหนือ เพื่อให้เกาหลีเหนือยุติการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์ในสหรัฐฯ หลายคนไม่ค่อยเชื่อมั่นว่า ทรัมป์จะใช้กลยุทธ์นี้ได้สำเร็จ เพราะทรัมป์เองเริ่มหมดความน่าเชื่อถือแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่า ทรัมป์ไม่กล้าเอาจริงหรอก (ที่ผ่านมาขู่ๆ แล้วก็ถอยกลับทุกที) ส่วนจีนเองก็มีไพ่ในมือหลายใบเหมือนกัน ดังที่จีนประกาศให้เห็นว่า จีนเองก็พร้อมตอบโต้สหรัฐฯ เรื่องกำแพงภาษี ส่วนตัวประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเองก็จับมือกับคิมจองอึนโชว์ทรัมป์ไปแล้ว

หรือไม่แน่ ถ้าจีนอ่านทางทรัมป์ขาด ก็อาจจะเล่นละครสวนกลับ เช่นทำเหมือนบรรลุข้อตกลงให้ดูเหมือนทรัมป์ได้หน้าและชัยชนะ เช่น ยอมตกลงจะพยายามแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเอาเข้าจริง ก็เป็นเพียงลมปาก ไม่มีใครบังคับจีนได้จริง หรือจีนอาจยอมตกลงเปิดภาคธุรกิจบางอย่าง แต่จริงๆ แล้วเป็นภาคธุรกิจที่ตอนนี้บริษัทจีนเองเริ่มพร้อมแข่งขันกับฝรั่ง จนเอาเข้าจริง ถึงจะเปิดตลาด แต่บริษัทฝรั่งก็เข้ามาแข่งขันสู้จีนไม่ได้อยู่ดี

ช่วงต่อจากนี้ เราคงเห็นสงครามน้ำลายของทั้งสองฝ่ายสาดใส่กันต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะรัฐบาลจีนเองก็ต้องเล่นละครแสดงบทบาทแข็งกร้าว สร้างภาพว่าจีนภายใต้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงก็แข็งแกร่งไม่ยอมให้ใครมารังแก เอาใจกองเชียร์พรรคคอมมิวนิสต์ภายในจีนเช่นกัน

สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน อาจเข้าใจง่ายขึ้น ถ้าเรามองเป็นละครเรื่องใหญ่ แต่ก่อนการแสดงจะจบ หุ้นคงขึ้นลงผันผวนอีกหลายรอบตามที่ต่างฝ่ายต่างปั่นและคลี่คลายกระแสเป็นรายวันครับ