ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ผู้โดยสารวีลแชร์ทุบกระจกลิฟต์รถไฟฟ้า ชี้ ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว-เข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน” และ “สตีเฟน ฮอว์คิง เสียชีวิตแล้ว”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ผู้โดยสารวีลแชร์ทุบกระจกลิฟต์รถไฟฟ้า ชี้ ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว-เข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน” และ “สตีเฟน ฮอว์คิง เสียชีวิตแล้ว”

17 มีนาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 10-16 มี.ค. 2561

  • ผู้โดยสารวีลแชร์ทุบกระจกลิฟต์รถไฟฟ้า ชี้ ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว-ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน
  • ผ่าน พ.ร.ก. คุม “เงินดิจิทัล” – ชงเก็บภาษี ณ ที่จ่าย
  • การบินไทยประกาศ “รอบเอว-น้ำหนักเกิน” และ “ทารกนั่งตัก” ห้ามนั่งชั้นธุรกิจ
  • ร้องดีเอสไอตรวจสอบ อาจารย์เก๊ปลอมวุฒิสอนมหา’ลัย
  • สตีเฟน ฮอว์คิง เสียชีวิตแล้ว
  • ผู้โดยสารวีลแชร์ทุบกระจกลิฟต์รถไฟฟ้า ชี้ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว-ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Accessibility is Freedom (http://bit.ly/2Dway1r)

    เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2561 เฟซบุ๊ก Accessibility is Freedom ได้โพสต์ภาพ กระจกลิฟต์โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสแตกร้าวเป็นวงกว้างพร้อมระบุข้อความว่า “พิกัด BTS อโศก ผมทุบลิฟท์เรียบร้อย ใครว่างมา หรือรอฟังข่าว”

    จากรายงานของเว็บไซต์ ThisAble.me ผู้ที่ทุบและโพสต์ภาพดังกล่าวคือ มานิตย์ อินทร์พิมพ์ หรือซาบะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนพิการและแอดมินของแฟนเพจดังกล่าว

    มานิตย์ระบุกับ ThisAble.me ว่า เมื่อถึงสถานีบีทีเอส อโศกก็เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อรับตั๋วเดินทางพิเศษที่ได้รับจากสิทธิคนพิการ แต่เจ้าหน้าที่กลับให้เขาเซ็นชื่อ นามสกุล เวลาและสถานีปลายทางที่ต้องการไปในใบกระดาษ โดยแจ้งว่าเป็นบันทึกประวัติการเดินทางของคนพิการ และจะไม่ยอมให้ใช้สิทธิคนพิการหากไม่เซ็นชื่อ เมื่อมานิตย์ไม่ยอมเซ็นและเกิดการถกเถียงกว่าครึ่งชั่วโมง เขาจึงซื้อตั๋วเดินทางในระบบปกติ ยืนยันที่จะไม่เซ็นชื่อและไม่ใช้สิทธิคนพิการ

    หลังซื้อตั๋วแล้วจึงไปรอหน้าลิฟต์เพื่อขึ้นสู่ชั้นชานชาลา แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาเปิดล็อกประตูหน้าห้องลิฟต์โดยสาร จึงทำให้เขาตัดสินใจใช้มือทุบกระจกประตูจนแตกรวม 8 ครั้ง จนเจ้าหน้าที่และนายสถานีเข้ามามุงดู และเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจลุมพินีในเวลาต่อมา

    มานิตย์กล่าวย้ำว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นจากรู้สึกถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวจากเงื่อนไขที่ต้องกรอกข้อมูล ทั้งที่การเดินทางเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานแต่กลับถูกล็อกไม่ให้เดินทาง อีกทั้งในการเดินทางหลายครั้งที่ผ่านมา เขาสามารถปฏิเสธการกรอกข้อมูลเหล่านี้ได้ และสามารถใช้สิทธิคนพิการได้เช่นเดิม จึงเห็นว่า เอกสารนี้ไม่ได้เป็นระเบียบข้อบังคับแต่เป็นเพียงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่บางคนเท่านั้น และไม่มีแบบแผนที่เป็นมาตรฐานอย่างชัดเจน

    อนึ่งเจ้าหน้าที่ได้แจ้งกับมานิตย์ว่า ลิฟต์ของบีทีเอสสถานีอโศกเป็นลิฟต์จากชั้นพื้นดินขึ้นสู่ชั้นชานชาลาโดยตรง จึงต้องล็อคไว้เพื่อกันไม่ให้คนเข้าสู่ระบบเดินรถโดยไม่ซื้อตั๋วโดยสาร

    ผ่าน พ.ร.ก. คุม “เงินดิจิทัล” – ชงเก็บภาษี ณ ที่จ่าย

    พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย) และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขวา)
    ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

    เว็บไซต์ไทยพับลิก้ารายงานว่า วันที่ 13 มี.ค. 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ทางดิจิทัล เพื่อกำกับดูแลธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ตลอดจนการกำกับดูแลการระดมทุนผ่านสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่าไอซีโอ (Initial Coin Offering: ICO) เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกฉ้อโกงและไม่ให้เกิดการฟอกเงินขึ้น เนื่องจากปัจจุบันได้มีการมีการนำทรัพย์สินดิจิทัลมาใช้ในการประกอบธุรกิจและการกระทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศแล้ว และมีแนวโน้มแพร่หลายมากขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีกฎหมายโดยเฉพาะที่จะมาดูแลเรื่องนี้ จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งจะต้องตรา พ.ร.ก. อย่างไรก็ตาม ไม่ปิดโอกาสเอกชนในการทำธุรกิจ

    “กฎหมายดังกล่าวปัจจุบันอยู่ระหว่างการร่างโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวยังมีประเด็นไปถึงเรื่องการเก็บภาษีสำหรับรายได้ที่เกิดจากการซื้อขายสินทรัพย์ทางดิจิทัลด้วย ซึ่งตามประมวลรัษฎากรที่กำหนดเรื่องภาษีจะต้องออกมาให้สอดรับกับ พ.ร.ก. นี้ โดยรายละเอียดของกฎหมายจะมีความชัดเจนมากขึ้นในสัปดาห์หน้า” นายณัฐพรกล่าว

    นอกจากนี้แล้ว ยังมีกฎหมายลูกอื่นๆ ที่จะออกตามมาโดยกระทรวงการคลัง มีประมาณ 10 ฉบับ และจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีก 5 ฉบับ เพื่อกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้จะมีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ผู้ที่เป็นตัวกลาง หรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, ผู้ที่เป็นนายหน้า (โบรกเกอร์) และผู้ที่เป็นผู้ค้า (ดีลเลอร์) เพื่อให้ทราบข้อมูล จำนวน ของผู้ที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าว

    “ตามหลักการขึ้นกับว่าสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นไปลักษณะไหน หากมีการซื้อขายกันแล้วเกิดกำไรขึ้น จะต้องเสียภาษีตามปกติทั่วไป แต่หากว่าสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันมีลักษณะเหมือนคล้ายๆ ผู้ถือหุ้น มีการจ่ายปันผลก็ควรจะต้องเสียภาษีตามปันผล พูดง่ายๆ คือให้ทุกอย่างนั้นเท่าเทียมกันไม่ว่าจะมาในรูปแบบของดิจิทัลหรือรูปแบบหุ้น” นายณัฐพรกล่าว

    รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า นายวิษณุได้ชี้แจงและอธิบายรายละเอียดของกฎหมายว่าจะกำกับดูแลไม่ให้มีการนำเรื่องนี้ไปใช้ในกระบวนการฟอกเงินหรือหลอกลวงประชาชนเช่นเดียวกับกรณีของแชร์ลูกโซ่ โดยในที่ประชุมเห็นว่า การกำกับดูแลเงินดิจิทัลนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ในไทย ขณะเดียวกันยังพบว่ามีผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์เพราะเวลานี้มีธุรกิจเอกชนเป็นจำนวนมากเตรียมระดมทุนด้วยเงินสกุลดิจิทัล ดังนั้นจึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมมากที่สุด และจะประกาศเมื่อมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ดังนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงขอนำเรื่องนี้ไปตรวจสอบในรายละเอียดให้ถูกต้องชัดเจนอีกครั้งก่อนที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณชน หากจำเป็นต้องแก้ไขในสาระสำคัญของกฎหมายก็ต้องนำเสนอให้ ครม. เห็นชอบอีกครั้งในสัปดาห์หน้า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    มีรายงานเพิ่มเติมว่า ครม. มีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัจจุบันประมวลรัษฎากรยังไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับทรัพย์สินดิจิทัลไว้ จึงอาจเกิดความไม่ชัดเจน โดยได้กำหนดนิยามของทรัพย์สินดิจิทัล ประเภทเงินได้ของเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล และการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล เพื่อให้ผู้มีเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัลและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับทรัพย์สินดิจิทัลเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรอย่างถูกต้องครบถ้วนเช่นเดียวกันกับผู้มีเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินอื่นๆ และผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับทรัพย์สินอื่นๆ

    สำหรับนิยามของทรัพย์สินดิจิทัลตามประมวลรัษฎากรฯ หมายความว่า (1) คริปโทเคอร์เรนซี (2) โทเคนดิจิทัล และ (3) ทรัพย์สินในรูปหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อื่นใดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด, คริปโทเคอร์เรนซี หมายความว่า หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจมีราคาหรือมูลค่าอันถือเอาได้ โดยเป็นการตกลงหรือยอมรับระหว่างบุคคลในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด โดยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่มีการอ้างอิงเงินตรา เงินตราต่างประเทศ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ใด, โทเคนดิจิทัล หมายความว่า หน่วยแสดงสิทธิในรูปหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการ หรือกิจการใดๆ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด ทั้งนี้ ตามข้อตกลงที่กำหนดไว้โดยเฉพาะเจาะจงระหว่างผู้ออกและผู้ถือ

    และกำหนดให้เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้จากทรัพย์สินดิจิทัล และผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สินดิจิทัล ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เป็นเงินรายได้พึงประเมิน โดยผู้มีเงินได้ต้องนำไปรวมคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย ในอัตราร้อยละ 15 สำหรับรายได้พึงประเมิน ส่วนนิติบุคคลจะมีการกำหนดอัตราภาษีภายหลัง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรฯ มีผลใช้บังคับแล้ว

    อย่างไรก็ตาม อัตราการจัดเก็บภาษี ณ ที่จ่าย ที่กระทรวงการคลังนำเสนอต่อที่ประชุม ครม. อยู่ระหว่าง 10-15% ซึ่งในการหารือกันนั้นให้ขึ้นอยู่กับรองนายกฯ วิษณุจะตัดสินใจ เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่เคยจัดเก็บถึง 15% ไม่ว่าจะเก็บภาษีจากดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากส่วนต่างราคา ส่วนทางด้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ท้วงติงอะไร และชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการได้รวดเร็วแล้ว ยังสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย

    การบินไทยประกาศ “รอบเอว-น้ำหนักเกิน” และ “ทารกนั่งตัก” ห้ามนั่งชั้นธุรกิจ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=843410)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2561 การบินไทยได้ประกาศบังคับใช้กฎพิเศษเกี่ยวกับการจำหน่ายตั๋วโดยสารบนที่นั่งชั้นธุรกิจ (Business Class) ของเครื่องบินแบบโบอิ้ง 787-9 ดรีมไลเนอร์รุ่นล่าสุด โดยได้แจ้งไปยังตัวแทนจำหน่าย และแผนกสำรองที่นั่งขอให้ทำการสงวนสิทธิ์ ในการรับสำรองที่นั่งและจำหน่ายบัตรโดยสารสำหรับผู้โดยสารที่มีรอบเอวมากกว่า 56 นิ้ว หรือผู้โดยสารที่อ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน (Obese Passenger) ซึ่งไม่สามารถคาดเข็มขัดนิรภัยรุ่นใหม่แบบมีถุงลมนิรภัย (Airbag Seatbelt) ที่ติดตั้งมากับที่นั่งชั้นธุรกิจได้ รวมถึงผู้โดยสารที่มีทารกเดินทางพร้อมกันแบบนั่งตัก (Infant Lap-held) ส่วนที่นั่งชั้นประหยัดยังไม่ได้มีกฎห้ามแต่อย่างใด

    สำหรับเหตุผลที่การบินไทยห้ามจำหน่ายที่นั่งชั้นธุรกิจให้คนอ้วนที่มีรอบเอวเกิน 56 นิ้ว และผู้โดยสารที่เดินทางพร้อมทารกนั่งบนตัก เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยด้านการบินของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (เอฟเอเอ) เพราะที่นั่งในชั้นธุรกิจของเครื่องบินโบอิ้ง 787-9 ดรีมไลเนอร์ มีการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ ด้วยการออกแบบระบบเข็มขัดนิรภัยรูปแบบใหม่ที่มีการนำระบบแอร์แบ็คเข้ามาช่วยเสริมความพร้อมภัยด้วย ระบบเข็มขัดแบบใหม่ไม่สามารถที่จะนำเข็มขัดขยายระยะ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เข็มขัดเสริมสำหรับคนอ้วนที่ใช้ในปัจจุบันมาเสริมให้กรณีผู้โดยสารร้องขอ เพราะเข็มขัดขยายระยะที่นำมาเสริมจะไม่สามารถต่อเชื่อมเข้าระบบกับแอร์แบ็กได้ ซึ่งจะเกิดความไม่ปลอดภัยหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ดังนั้นสายการบินจึงจำเป็นต้องสงวนสิทธิ์จำหน่ายบัตรให้กับคนอ้วน

    รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับทางออกของคนอ้วนและผู้โดยสารที่เดินทางพร้อมทารกนั่งบนตัก ที่ต้องการโดยสารเครื่องบินโดยสารรุ่นดังกล่าวนั้น สามารถทำได้ด้วยการจองซื้อที่นั่งในชั้นประหยัดแทน เพราะมีระบบเข็มขัดนิรภัยแบบธรรมดาไม่มีเทคโนโลยีแอร์แบ็ค โดยหากผู้โดยสารขึ้นนั่งแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ถึงสามารถแจ้งกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินขอให้มีการนำเข็มขัดขยายระยะซึ่งเป็นอะไหล่สำรองบนเครื่องมาติดตั้งให้เพื่อให้สามารถคาดเข็มขัดได้ ซึ่งเป็นระเบียบปกติที่ปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว หรืออาจจะต้องซื้อที่นั่งสองที่ติดกัน เป็นที่นั่งพิเศษ Special Seat เพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย

    ร้องดีเอสไอตรวจสอบ อาจารย์เก๊ปลอมวุฒิสอนมหา’ลัย

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (https://goo.gl/nXzUWJ)

    วันที่ 17 มี.ค. 2561 เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (CHES) หอบหลักฐานแจ้งดีเอสไอ ตรวจสอบดำเนินคดีกับกลุ่มใช้วุฒิการศึกษาปลอม ชุบตัวเป็นอาจารย์สอนตามมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ มี นศ.ป.โท-ป.เอก จบไปแล้ว 2-3 รุ่น ตรวจสอบมีอยู่ประมาณ 10 คน แฝงตัวสอนตามมหาวิทยาลัยทั่วประเทศกินเงินเดือนหลักแสนบาท บางรายจบด็อกเตอร์ทางเว็บไซต์เชื่อมโยงกับ ม.สันติภาพโลก

    กรณี รศ. ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ภาควิชาเคมีอินทรีย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม ฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (CHES) ออกมาแฉมีผู้ใช้วุฒิปลอมของมหาวิทยาลัยต่างประเทศ มาสมัครสอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำลำดับต้นๆของประเทศ

    ความคืบหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 16 ม.ค. รศ. ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ พร้อมตัวแทนจากศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (CHES) เดินทางมายื่นหนังสือให้ตรวจสอบดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่ใช้วุฒิการศึกษาปลอม ระดับ ป.โท-ป.เอก มาสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐ กับ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ มี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ เป็นผู้รับเรื่อง

    รศ. ดร.วีรชัยกล่าวว่า ก่อนเดินทางมายื่นหนังสือในครั้งนี้ สมาชิก CHES จากมหาวิทยาลัยอุดมศึกษาทั่วประเทศได้ประชุมลงมติว่า ให้ตนเป็นตัวแทนมาร้องดีเอสไอ ตรวจสอบดำเนินคดีกับขบวนการผลิตและผู้ใช้วุฒิการศึกษาปลอม ปัจจุบันพบผู้กระทำผิดประมาณ 10 ราย ที่ใช้วุฒิการศึกษาปลอมเพื่อให้ได้รับคัดเลือกสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งอยู่ในขณะนี้และยังสอนหนังสืออยู่ยาวนานถึง 3 ปี อย่างรายล่าสุดพบเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง ใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกปลอมจบจาก University of Southampton ในประเทศอังกฤษ ช่วงแรกเข้ามาเป็นอาจารย์สอนพิเศษ ก่อนสามารถสอบบรรจุได้ เมื่อมหาวิทยาลัยต้นสังกัดต้องการตรวจสอบเอกสารคุณวุฒิใหม่อีกครั้ง แต่อาจารย์คนดังกล่าวกลับบ่ายเบี่ยงเลี่ยงตรวจสอบ โดยพบอาจารย์กำมะลอรายนี้สอนนิสิตระดับปริญญาโทและเอก จบไปแล้วถึง 2-3 รุ่น

    “เมื่อผมตรวจสอบไปยัง University of Southampton ที่อาจารย์รายนี้อ้างว่าเรียนจบมา กลับได้รับคำตอบว่าอาจารย์รายนี้ไม่ได้จบการศึกษาและรับปริญญาจากทางมหาวิทยาลัยเลย หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์คนดังกล่าวได้หลบหนีไป เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนจบระดับปริญญาเอก ภายใน 6 เดือน เรื่องนี้ถือเป็นจุดบกพร่องในระบบกลั่นกรองอาจารย์ที่จะเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัย เนื่องจากช่องโหว่ที่พบเป็นลักษณะการรับพิเศษ คือรับเข้ามาก่อนในฐานะอาจารย์สอนพิเศษ ส่วนใหญ่ครูเหล่านี้มักจะมีศักยภาพ แต่อาจมีปัญหาในเรื่องของเอกสาร หรือวุฒิการศึกษา หากอาจารย์เหล่านี้ได้รับการบรรจุเข้ามาจะทำให้รัฐเกิดความเสียหาย เพราะมีรายได้เฉียด 1 แสนบาทต่อเดือน ผมจึงนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดมายื่นให้ดีเอสไอเข้าไปดำเนินการตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีกับคนกลุ่มนี้” รศ. ดร.วีรชัยกล่าว

    รศ. ดร.วีรชัยยังระบุด้วยว่า นอกจากนี้เมื่อนำชื่อ ดร.ปลอม คนดังกล่าวไปตรวจสอบ พบว่ามีชื่อขึ้นที่เว็บไซต์ “วุฒิต่างประเทศ ปริญญาตรี โท เอก จบได้ใน 6 เดือน ถึง 2 ปี” ซึ่งเป็นการเรียนระบบออนไลน์ โดยการเรียนในระดับปริญญาตรีจบได้ใน 6 เดือนถึง 2 ปี มีค่าเล่าเรียนตลอดหลักสูตร 60,000-125,000 บาท ส่วนในระดับปริญญาโท 72,000-125,000 บาท และในระดับปริญญาเอก 150,000-225,000 บาท นอกจากนี้ยังพบว่าเว็บไซต์ดังกล่าวเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เคยมีผู้ร้องเรียนมายังดีเอสไอเกี่ยวกับการประกอบสถานศึกษาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อปี 2555 ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอ สรุปสำนวนส่งอัยการแล้วรวม 4 คดี

    ด้าน พ.ต.ต. วรณันกล่าวว่า เตรียมตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆให้ครบถ้วน ก่อนเสนอให้อธิบดีดีเอสไอพิจารณาสั่งการ ส่วนเรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกหรือไม่อยู่ระหว่างตรวจสอบ

    มีรายงานว่า นอกจากบุคคลที่ใช้วุฒิบัตรปลอม เป็นใบเบิกทางชุบตัวเป็นอาจารย์เข้าสอนในมหาวิทยาลัยรายนี้แล้ว ยังมีอีกหลายรายที่กระทำผิดในลักษณะเดียวกัน แอบอ้างว่าจบจากสถาบันในประเทศอังกฤษ ก่อนได้เข้าสอนในมหาวิทยาลัยอันดับท็อปไฟว์ของประเทศ มีลูกศิษย์จบไปแล้วหลายรุ่น นอก จากนี้ คดีอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ก่อเหตุยิงกันเสียชีวิต 3 ศพ เมื่อเดือน พ.ค. /ถ59 มีสาเหตุมาจากการตรวจสอบวุฒิปริญญาเอกปลอม ถือเป็นปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องเร่งแก้ไขเป็นวาระเร่งด่วน

    สตีเฟน ฮอว์คิง เสียชีวิตแล้ว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (https://goo.gl/JZhv4e)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2561 ว่าครอบครัวฮอว์คิงโดยลูซี โรเบิร์ต และทิม ฮอว์คิง เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านสมาคมสื่อมวลชนสหราชอาณาจักร (PA) ว่าบิดาคือ ศ. ดร.สตีเฟน ฮอว์คิง ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์ทฤษฎีและจักรวาลวิทยาประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อช่วงรุ่งสางของวันพุธที่ 14 มี.ค. 2561 ตามเวลาท้องถิ่น รวมอายุได้ 76 ปี ซึ่งบุตรทั้งสามของ ศ. ดร. ฮอว์คิงยกย่องบิดาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ และบุคคลทรงคุณค่าแก่มนุษยชาติซึ่งผลงานและทฤษฎีที่ ศ. ดร. ฮอว์คิงคิดค้นขึ้น จะคงอยู่ต่อไปตราบชั่วกาลนาน

    ศ. ดร.ฮอว์คิงมีชื่อเต็มว่า สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์คิง เกิดเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2485 ที่เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด ในสหราชอาณาจักร มีความสนใจอย่างลึกซึ้งในการศึกษาเอกภพโดยรวม หรือจักรวาลวิทยา และทฤษฎีสัมพันธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โดยมุ่งเน้นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลุมดำ นำไปสู่การคิดค้นทฤษฎีสำคัญ คือการบัญญัติทฤษฎีบทว่าด้วยภาวะเอกฐานเชิงความโน้มถ่วง ตามกรอบของทฤษฎีสัมพันธภาพ รวมถึง “รังสีฮอว์คิง” คือการแผ่รังสีของวัตถุดำจากหลุมดำ ที่ ศ. ดร.ฮอว์คิงเสนอทฤษฎีเมื่อปี 2517 เพื่อยืนยันว่ารังสีดังกล่าวมีอยู่จริง

    อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงชีวิตตั้งแต่เข้าสู่วัยหนุ่มจนถึงวาระสุดท้าย ศ. ดร.ฮอว์คิงต้องต่อสู้กับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ขั้นรุนแรงที่แสดงอาการตั้งแต่เมื่อเขามีอายุเพียง 21 ปี แม้โรคดังกล่าวเป็นอุปสรรคอย่างหนักต่อการสื่อสารเนื่องจากทำให้ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ ยกเว้นเพียงการกะพริบตาและขยับนิ้วมือ แต่ฮอว์คิงมีจิตใจที่ต่อสู้  ในการดำรงชีวิตด้วยการสื่อสารผ่านอุปกรณ์สังเคราะห์เสียงพูด ท่ามกลางกำลังใจเต็มเปี่ยมจากครอบครัว ซึ่งการต่อสู้กับโรคเอแอลเอสของศ.ดร.ฮอว์คิงเป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจที่สำคัญให้กับผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกันนี้ทั่วโลก

    ทั้งนี้ ชีวประวัติบางช่วงบางตอนของ ศ. ดร.ฮอว์คิง เคยได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์เรื่อง “The Theory of Everything” เมื่อปี 2557 โดยเอ็ดดี เรดเมย์น (Eddie Redmayne) สวมบทบาทเป็น ศ. ดร.ฮอว์คิง และเฟลิซิตี โจนส์ (Felicity Jones) รับบทเจน ฮอว์คิง ภรรยาคนแรก ซึ่งเรดเมย์นได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย