ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: ประยุทธ์เซ็น ม.44 เด้งสมชัยพ้นตำแหน่ง – เจ้าตัวเชื่อ ขัดใจผู้มีอำนาจ” และ “สื่อแฉ บ.เมืองผู้ดีนำข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เฟซบุ๊กช่วยทรัมป์หาเสียง”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: ประยุทธ์เซ็น ม.44 เด้งสมชัยพ้นตำแหน่ง – เจ้าตัวเชื่อ ขัดใจผู้มีอำนาจ” และ “สื่อแฉ บ.เมืองผู้ดีนำข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เฟซบุ๊กช่วยทรัมป์หาเสียง”

24 มีนาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 17-23 มี.ค. 2561

  • ฟ้าผ่า กกต. ประยุทธ์เซ็น ม.44 เด้งสมชัยพ้นตำแหน่ง – เจ้าตัวเชื่อ ขัดใจผู้มีอำนาจ
  • จนท. สถ.ขอนแก่น ขอโทษ ปมหนังสือราชการหลุดคำ “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่” เผย รีบ-ไม่ระวัง<
  • สธ. ผุดไอเดีย เก็บภาษีคนเลี้ยงหมาแมว-ใครทิ้งมีความผิด แก้ปัญหาแมว-หมาจรจัด
  • “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” นัดรวมพลบุก ทบ. – คสช. เตือน “อย่าล้ำเส้นกฎหมาย”
  • สื่อแฉ บ.เมืองผู้ดีนำข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เฟซบุ๊กช่วยทรัมป์หาเสียง
  • ฟ้าผ่า กกต. ประยุทธ์เซ็น ม.44 เด้งสมชัยพ้นตำแหน่ง – เจ้าตัวเชื่อ ขัดใจผู้มีอำนาจ

    นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.
    ที่มาภาพ: www.springnews.co.th/politics/275947

    วันที่ 20 มีนาคม 2561 เว็บไซต์ไทยพับลิก้ารายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2561 เรื่องให้กรรมการการเลือกตั้งยุติการปฏิบัติหน้าที่ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว ให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง ยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้

    ทั้งนี้ เนื่องจากนายสมชัยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในกรณีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับกระบวนการและกําหนดการการเลือกตั้ง ด้วยถ้อยคําที่ไม่สมควร ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสน อันจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และการจัดการการเลือกตั้งให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี รวมทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่านายสมชัยได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยไม่ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการการเลือกตั้งเสียก่อน ถือเป็นการกระทําที่เข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากตนเองเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องดังกล่าวโดยตรง และจะส่งผลต่อความถูกต้องและเป็นธรรมในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมาดํารงตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงไม่สมควรให้นายสมชัยปฏิบัติหน้าที่กรรมการการเลือกตั้งต่อไป

    ในวันเดียวกัน เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กล่าวถึงกรณีปลดฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นว่า ถือเป็นดุลพินิจของผู้มีอำนาจ ที่คิดว่าเหมาะสมก็ให้ดำเนินการไป โดยตนยืนยันว่า การให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาอยู่บนพื้นฐานการรักษาผลประโยชน์บ้านเมืองไม่ได้มุ่งเอาใจใคร และการสมัครเลขาฯ กกต. ก็เป็นเพราะมีคุณสมบัตที่จะสมัครได้ โดยเชื่อว่า กกต. ชุดปัจจุบันคงไม่กล้าเลือกตนเป็นเลขา กกต. เพราะรู้ดีว่าหากตนได้เป็นเลขา กกต. อาจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อ ความต้องการ ของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้ ทั้งนี้เมื่อพ้นตำแหน่งแล้วก็จะหาแนวทางอื่นในการทำประโยชน์ให้บ้านเมืองต่อไป

    “ผมไม่รู้สึกเสียใจต่อคำสั่งที่ออกมา โดยก่อนหน้านี้ก็พยายามหาทางที่จะออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว และรู้ว่าตัวเองสุ่มเสี่ยงมาโดยตลอดกับการที่จะถูก คสช. ปลด เพราะให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่ถูกใจใครแต่ถือว่าทำตามหน้าที่ ซึ่งอาจมีคนเห็นว่าไปขัดผลประโยชน์จนทนไม่ได้ แต่การเป็น กกต. ก็มีหน้าที่ชี้ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด” นายสมชัยกล่าว

    จนท. สถ.ขอนแก่น ขอโทษ ปมหนังสือราชการหลุดคำ “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาไท (https://goo.gl/cHA1tp)

    วันที่ 17 มี.ค. 2561 เว็บไซต์ประชาไทรายงานว่า พบการแชร์เอกสารราชการ ซึ่งเป็นหนังสื่อเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่นเป็นผู้ออกหนังสือ เลขที่ ขก.0023.1/7063 เรื่อง ขอเชิญประชุมเพื่อเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี ลงนามโดย สุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ออกเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2561 โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวระบุว่า

    ด้วยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการจะเดินทางการประชุมสัญจร และลงพื้นที่จัดหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นการเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี ในการนี้ จังหวัดขอนแก่นได้รับมอบหมายภาระกิจให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ร่วมกันดำเนินการในภารกิจ “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

    ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินภารกิจบรรลุวัตถุประสงค์ และได้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กที่อยู่ในความรับผิดชอบ รวมถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด จึงขอเชิญท่านร่วมประชุมในวันอังคารที่ 13 มี.ค. 2561 เวลา 10.00 น. ห้องประชุมศรีบริรักษ์ ชั้น 5 สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ต่อมาได้มีหนังสืออีกฉบับหนึ่งจากหน่วยงาน และผู้ลงนามคนเดียวกัน โดยเป็นหนังสือที่อ้างถึง หนังสือเลขที่ 0023.1/7063 ออกเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2561 โดยระบุว่า

    ตามที่จังหวัดขอนแก่น ได้แจ้งเชิญประชุมเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 มี.ค. 2561 ณ ห้องประชุมศรีบริรักษ์ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น โดยจังหวัดขอนแก่น ศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานสาธารณสุข ร่วมกันดำเนินการในภาพกิจด้านการศึกษา นั้น

    เนื่องจากหนังสือดังกล่าว มีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมทำให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ จึงขอเชิญท่าน หรือผู้ท่านร่วมประชุมเพื่อรว่วมหารือแนวทางในการดำเนินการในภารกิจ “ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ความเท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง” ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวข้างต้น

    ต่อมา วันที่ 18 มี.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นางสาวพรทิพย์ ขำชื่น หัวหน้าฝ่ายบริการทั่วไป สำนักส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จ.ขอนแก่น  แถลงข่าวขอโทษและยอมรับความผิดพลาดกรณีที่มีการใช้ข้อความในหนังสือเชิญประชุมหัวหน้าส่วนราชการเพื่อเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี โดยในหนังสือดังกล่าวตอนหนึ่งมีการใช้ข้อความว่า “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่” จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนว่าเป็นการดูหมิ่ดูแคลนประชาชนหรือไม่ 

    นางสาวพรทิพย์กล่าวว่า ในวันที่พิมพ์หนังสือเชิญประชุม ยอมรับว่าทำไปด้วยความไม่ระมัดระวังจนทำให้เกิดความผิดพลาด เนื่องจากต้องรีบนำเอกสารเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเซ็นจึงไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วน ซึ่งข้อความที่ไม่เหมาะสมในเอกสารดังกล่าว ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นดูแคลนประชาชนแต่อย่างใด แต่เนื่องด้วยได้รับแนวคิดมาว่าจะทำอย่างไรเพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของประชาชนตั้งแต่วัยเด็ก ประกอบกับระยะเวลาที่เร่งรีบจึงคิดคำง่ายๆ โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองอย่างรอบด้าน

    อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดได้น้อมรับกับข้อผิดพลาดทุกกรณี และขอให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศให้อภัย ซึ่งทางจังหวัดจะนำความผิดพลาดมาเปลี่ยนเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนจังหวัดและประเทศชาติต่อไป

    สธ. ผุดไอเดีย เก็บภาษีคนเลี้ยงหมาแมว-ใครทิ้งมีความผิด แก้ปัญหาแมว-หมาจรจัด

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS (https://workpointnews.com/?p=113840)

    จากกรณีปัญหาพิษสุนัขบ้าแพร่ระบาด จนนำไปสู่กระแสการเสนอให้มีการ “เซ็ตซีโร่” หรือกำจัดสุนัขจรจัดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ทั้งยังมีข่าวว่าบางพื้นที่ในประเทศเริ่มปฏิบัติการดังกล่าวด้วยการวางยาเบื่อสุนัขแล้ว ในขณะที่ทางด้านกรุงเทพมหานครนั้น พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร แสดงความไม่เห็นด้วยกับการเซ็ตซีโร่ โดยระบุว่าการฆ่าทั้งหมดนั้นเป็นการใจไม้ไส้ระกำกันเกินไป

    ล่าสุด เว็บไซต์สปริงนิวส์รายงานในวันที่ 18 มี.ค. 2561 ว่า วันที่ 18 มี.ค.61 นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การเซ็ตซีโร่หมา-แมว ควรมาดูเรื่องเก็บภาษี สมมุติเลี้ยงสุนัขหลายตัวก็เก็บภาษี และกรณีเอาสุนัข-แมวไปปล่อยก็ควรมีโทษ ซึ่งบ้านเราในอนาคตต้องวางระบบให้คนเลี้ยงสัตว์จะต้องดูแลสัตว์อย่างดี ไม่ใช่ตอนเล็กน่ารัก โตขึ้นเอาไปปล่อยให้เป็นสัตว์จรจัดต่อไป ควรจะต้องบังคับใช้กฎหมายให้มีความผิด อย่างไรก็ตาม คนที่มีสัตว์เลี้ยงควรพยายามพาไปฉีดให้ได้ และยืนยันว่าไม่มีปัญหาเรื่องวัคซีน และปีหน้าส่วนท้องถิ่นก็ได้งบซื้อวัคซีนไว้มากขึ้นแล้ว

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำการทักท้วงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการจัดหาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในช่วงปลายปี 2557 และมีการกล่าวอ้างว่าทำให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องหยุดชะงักเป็นเวลา 1-2 ปี จนเป็นเหตุให้มีการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าในช่วงปี 2560 จนถึงปัจจุบัน

    “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” นัดรวมพลบุก ทบ. – คสช. เตือน “อย่าล้ำเส้นกฎหมาย”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=134911)

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า วันที่ 23 มีนาคม พล.ต. ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ในฐานะ ทีมงานโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเรียกร้องอยากเลือกตั้งที่ประกาศเดินทางมายังกองบัญชาการกองทัพบกในวันที่ 24 มี.ค. 2561 ว่า เบื้องต้นได้ประสานงานและอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในภาพรวม ยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทั้งนี้ คสช. จะติดตามดูกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะการเคลื่อนย้ายอาจส่งผลกระทบต่อการจราจร และละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น ขณะเดียวกันการจัดกิจกรรมดังกล่าวถ้าไปละเมิดคำสั่ง หรือ ละเมิดกฎหมายก็จะมีผลตามหลัง

    พล.ต. ปิยพงศ์ กล่าวต่อว่า คสช. ต้องติดตามว่าพรุ่งนี้การเคลื่อนไหวจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากหนัก เพราะเราจะดูแลความสงบเรียบร้อยเพื่อสนับสนุนงานของรัฐบาล แต่กิจกรรมในแต่ละพื้นที่ แต่ละกองทัพภาค ก็จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปดูแลอำนวยความสะดวกเพื่อให้กิจกรรมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งหรือมือที่ 3 เข้ามาสร้างความสับสนวุ่นวาย โดยเจ้าหน้าที่ที่ลงไปปฏิบัติงานก็จะชี้แจงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกที่จะทำให้ภาพรวมของงานต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

    “ตอนนี้ยังไม่มีเหตุที่เป็นข้อกังวล แต่ก็คงจะติดตามการดำเนินการกิจกรรมต่างๆ ทุกกิจกรรม เพราะมีหลายพื้นที่มีภาพรวมยังไม่มีอะไร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารบก อยากให้เกิดความสงบเรียบร้อย ทั้งประชาชนและ กลุ่มมวลชน การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยด้วยกันก็ให้เหมาะสม ส่วน ปัญหาทางการเมือง ก็ว่าไปตามสถานการณ์ และยืนยันทุกอย่างเป็นตามโรดแมปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ผบ.มทบ.11 กล่าว

    สื่อแฉบริษัทเมืองผู้ดีนำข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เฟซบุ๊กช่วยทรัมป์หาเสียง

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2561 สำนักข่าว BBC รายงาน บริษัทเฟซบุ๊ก สื่อสังคมออนไลน์ใหญ่สุดในโลก ภายใต้การนำของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก จากกรณีอื้อฉาวปล่อยให้ Cambridge Analytica บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลในอังกฤษ นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กนับ 50 ล้านรายชื่อไปใช้อย่างไม่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการหาเสียงชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนทำให้ราคาหุ้นของเฟซบุ๊ก ดิ่งเหวตกฮวบลงไปเกือบ 7% สูญเสียมูลค่าหุ้นในตลาดภายในวันเดียวมากถึงเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์ (1.28 ล้านล้านบาท) เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจโฆษณาบนเฟซบุ๊ก

    บีบีซี แจ้งว่า หน่วยงานกำกับดูแลสิทธิส่วนบุคคลของอังกฤษกำลังดำเนินการเพื่อขอหมายในการตรวจค้นฐานข้อมูล (ดาต้าเบส) และเซิร์ฟเวอร์ ของ Cambridge Analytica ซึ่งกำลังถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊กนับ 50 ล้านบัญชี เพื่อช่วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของทรัมป์ เมื่อปี 2559 ขณะที่ทาง Cambridge Analytica ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างสิ้นเชิง

    ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ คือ นิวยอร์ก ไทม์ส ร่วมกับ ดิ อ็อบเซอร์เวอร์ ได้ออกมาแฉเรื่องอื้อฉาวของเคมบริดจ์ อนาลีติกา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสัมภาษณ์ คริสโตเฟอร์ ไวลี อดีตพนักงานของ Cambridge Analytica ว่า บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลแห่งนี้สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊กในสหรัฐฯ ทั้ง 50 ล้านบัญชี ผ่านแบบทดสอบบุคลิกภาพออนไลน์ และได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปช่วยทรัมป์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2559