ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > “ว่าด้วยเรื่องของการซื้อกระเป๋า” ตอนที่ 3 : Tips ดูกระเป๋าของจริงของปลอม

“ว่าด้วยเรื่องของการซื้อกระเป๋า” ตอนที่ 3 : Tips ดูกระเป๋าของจริงของปลอม

21 มีนาคม 2018


ตอนแรก เราจะซื้อกระเป๋าอะไรดี?

ตอนสอง เราจะซื้อกระเป๋าที่ไหนดี?

ซึ่งไม่ว่าคุณจะตัดสินใจซื้อกระเป๋าแบรนด์ไหนก็ตาม

ถ้าคุณไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์นั้นๆ ว่าเป็นของแท้หรือของปลอม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณควรซื้อกับร้านที่มีชื่อเสียงและไว้ใจได้ทางด้านจำหน่ายกระเป๋าแบรนด์เนมโดยเฉพาะ

อันนี้ยกเว้นสำหรับคนที่จะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมในชอปของกระเป๋าแบรนด์เนมนั้นๆ ก็สบายใจได้เลย แล้วถ้าไม่ได้ซื้อจากร้านแบรนด์เนมจะรู้ได้อย่างไรว่าน่าเชื่อถือ? เพราะร้านออนไลน์ ร้านค้าในอินสตาแกรม (IG) ที่ขายกระเป๋าแบรนด์เนมมีเป็นร้อยๆ ร้าน ให้เลือกช้อปกันตามใจชอบ

ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าร้านที่คุณต้องการซื้อกระเป๋าไม่มีนโยบายคืนสินค้า ติ๊งต่อง!!! ให้พึงระลึกถึงสัญญาณเตือนภัยไว้ได้เลย อีกหนึ่งตัวอย่างละกัน การซื้อกระเป๋ากับร้านบน IG ถ้าเป็นเจ้าที่คุณสามารถขอดูของก่อนตัดสินใจซื้อได้ก็นาจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องวัดดวงกันไปตามระเบียบ

แล้วถ้าดูของก่อนได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากระเป๋าที่เราเห็นนั้นจริงหรือปลอม??

วันนี้สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าจะขอให้ทิปส์เบื้องต้นสำหรับการดูกระเป๋าว่าจุดไหนบ้างที่เราควรให้ความสำคัญในการสังเกตว่ากระเป๋าใบไหนจริง ใบไหนปลอม มาเริ่มกันที่จุดสำคัญของทุกๆ แบรนด์กันเลย คือ

Logo Stamp ด้านในกระเป๋า เช่น

  • กระเป๋า Dior รุ่น Lady Dior ที่โลโก้จะติดอยู่ตรงลิ้นด้านในกระเป๋า โดยจะมีแสตมป์หลายแบบ เช่น Christian Dior Paris และ Christian Dior Paris Made in Italy ขณะที่คำว่า Made in Italy ในรุ่นเก่าๆ ส่วนใหญ่จะไปพิมพ์ไว้ด้านหลังแท็ก เป็นต้น
  • กระเป๋า CHANEL ของแท้จะต้องปั๊มคำว่า “MADE IN FRANCE” หรือ “MADE IN ITALY” เท่านั้น ไม่ใช่ “MADE IN PARIS” หรือดูที่ป้าย Hologram Serial Number ซึ่งก็คือสติกเกอร์ที่มีเลขของกระเป๋าแต่ละใบที่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่มุมด้านล่างของกระเป๋าด้านใน ซึ่งจะต้องตรงกับเลขที่อยู่บนการ์ดที่มาพร้อมกระเป๋า
  • อีกจุดที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Stitching หรือ ฝีเย็บ ที่กระเป๋า

  • Hermes เช่น รุ่น Birkin ที่ฝีเย็บที่หูกระเป๋า size 25 จะมี 5 ขีด size 30 มีทั้ง 6 ขีด และ 7 ขีด size 35 มีทั้ง 6 ขีด 7 ขีดและ 8 ขีด เป็นต้น
  • Chanel กระเป๋า CHANEL หลายรุ่นจะมีลักษณะการเย็บหนังเป็นลายตาราง (Quilting) ซึ่งมีข้อสังเกต คือ แต่ละช่องต้องเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมคางหมู ถ้ามีช่องใส่ของหรือฝาปิดด้านนอกกระเป๋าลายจะต้องต่อกัน
  • LV รุ่น Speedy ที่มาภาพ : https://eu.louisvuitton.com/eng-e1/products/speedy-30-monogram-008784
  • Louis Vuitton การเย็บและช่องว่างต้องสม่ำเสมอ เพราะ Louis Vuitton จะระวังเรื่องของฝีเข็มมาก เช่น รุ่น Speedy ที่หูหิ้วสองข้างของกระเป๋าส่วนใหญ่นั้นจะมี 5 ฝีเข็ม และในกระเป๋ารุ่นและแบบเดียวกันก็จะมีจำนวนฝีเข็มจะเท่ากัน
  • ต่อมาคือ Hardware หรืออะไหล่ตรงกระเป๋า

  • Lady Dior คำว่า CD สิ่งที่ต้องดูคือความคมและความถูกต้องของฟอนต์ ขณะที่ห่วงคล้องป้ายที่เป็นเลข 8 ต้องไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ปลายห่วงบรรจบกันเป็นระเบียบไม่เบี้ยวและไม่อ้าออกจากกันจนเกินไป
  • CHANEL ตัว C ด้านขวา ของโลโก้ CC ต้องทับตัวซ้ายที่ด้านบน ขณะที่ความหนาของตัว C แต่ละตัวจะกว้างเท่ากัน
  • Hermes อะไหล่เงินรุ่นใหม่จะมีตัวยิงด้วย CNC ส่วนอะไหล่ทองก็จะมีตราประทับหลังตัว S
  • ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าทิปส์การดูกระเป๋าข้างต้นเป็นหลักการในการดูเบื้องต้นเท่านั้น เพราะในทุกข้อสังเกตก็อาจมีข้อยกเว้นได้ในทุกรุ่นของกระเป๋าแบรนด์ทุกยี่ห้อ ซึ่งตรงนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของคุณสาวๆ ที่จะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมและทำความรู้จักกับกระเป๋าใบโปรดที่ต้องการหาซื้อมาไว้ในครอบครองด้วย

    ดังนั้น เมื่อในยุคปัจจุบันการหาและศึกษาข้อมูลของกระเป๋าที่เราชอบ การหาข้อมูลร้านค้าออนไลน์ การดูคอมเมนต์ของร้านค้าบน IG รวมถึงการเข้าไปคุยกับร้านค้านั้นๆ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยเฉพาะสำหรับคนที่ถ้าอยากมีกระเป๋าแบรนด์เนมมาไว้ในครอบครอง และแม้การหาข้อมูลดังกล่าวอาจจะต้องเวลาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเรารอบรู้ในสิ่งที่เราต้องการซื้อหามาด้วยเงินเรือนหมื่นเรือนแสน ก็น่าจะเป็นการเสียเวลาที่คุ้มค่าสำหรับคุณสาวๆ

    เพราะฉะนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อกระเป๋าสักใบ คุณสาวๆ ควรหาข้อมูลทุกอย่างให้ดีก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมารู้สึกเสียใจและเสียดายเงินในภายหลัง เงินจะมากจะน้อยก็มีคุณค่าทั้งนั้น จริงมั้ย

    อ่านข่าวในซีรี่ย์ “จับ…สินค้าแบรนด์เนม”