ThaiPublica > เกาะกระแส > ก.ล.ต. กล่าวโทษ”วิชัย ถาวรวัฒนยงค์” อดีตประธานกรรมการ IFEC ทุจริตต่อหน้าที่ ต่อปอศ.

ก.ล.ต. กล่าวโทษ”วิชัย ถาวรวัฒนยงค์” อดีตประธานกรรมการ IFEC ทุจริตต่อหน้าที่ ต่อปอศ.

26 กุมภาพันธ์ 2018


นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ อดีตประธานกรรมการบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (IFEC)ที่มาภาพ : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/660854

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษนายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ อดีตประธานกรรมการบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (IFEC) ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตจากการไม่เปิดเผยข้อมูลการผิดนัดชำระตั๋วแลกเงินและแจ้งให้กรรมการ IFEC และบุคคลที่ IFEC เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าเป็นกรรมการ รีบดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว และชี้แจงเป็นรายบุคคล พร้อมเปิดเผยต่อสาธารณชนภายใน 7 วัน หรือภายในวันที่ 5 มีนาคม 2561

ทั้งนี้สำนักงานก.ล.ต. กล่าวโทษนายวิชัย ในขณะที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ IFEC ไม่ดำเนินการให้บริษัทชี้แจงประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสอบถามตามที่ปรากฏข่าวว่า IFEC ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน (B/E) จนเป็นเหตุให้หุ้น IFEC ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2560 ซึ่งทำให้นายวิชัยได้ประโยชน์ โดยหุ้น IFEC ที่นายวิชัยถือไว้และเป็นหลักประกันบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทมาร์จิ้น จำนวนรวมกว่า 57.46 ล้านหุ้น ไม่ถูกบังคับขาย จึงทำให้นายวิชัยยังคงสภาพการเป็นผู้ถือหุ้นของ IFEC และสามารถใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการในการประชุมผู้ถือหุ้นจำนวน 3 ครั้งในปี 2560 เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง

การกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนมาตรา 170 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย หรือทำให้ตนเองได้รับประโยชน์ตามมาตรา 89/7 และมาตรา 281/2 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษนายวิชัยต่อปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

การกล่าวโทษนายวิชัยในครั้งนี้ เป็นการกล่าวโทษเพิ่มเติมจากกรณีที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษนายวิชัยในฐานะประธานกรรมการ IFEC ต่อ ปอศ. เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 กรณีกระทำโดยทุจริตโดยแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้เพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น โดยการใช้วิธีการลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม

ปัจจุบัน IFEC ไม่สามารถชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ตามกำหนดเวลา ทำให้ถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้องต่อศาล และไม่สามารถจัดทำและนำส่งงบการเงินได้ตามระยะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด จนเป็นเหตุให้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศให้ IFEC เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากการที่ (1) IFEC ไม่มีประธานกรรมการบริษัทซึ่งทำหน้าที่เรียกประชุมคณะกรรมการบริษัทตามกฎหมาย และ (2) กรรมการบริษัทส่วนใหญ่ยังมีประเด็นด้านกฎหมาย ว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคณะกรรมการบริษัทได้หรือไม่ และแม้ว่า IFEC ได้ใช้สิทธิตามกฎหมาย โดยขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่ประธานกรรมการ แต่มีผู้ถือหุ้นของ IFEC คัดค้าน จึงทำให้ IFEC ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ประกอบกับยังไม่ปรากฏว่ากรรมการ IFEC ได้หาวิธีการอื่นในการแก้ไขปัญหา

ก.ล.ต. เห็นว่า กรรมการ IFEC ควรรีบแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้น โดยทางเลือกหนึ่งที่สามารถกระทำได้ คือ การดำเนินการจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีโอกาสเสนอชื่อและเลือกตั้งบุคคลที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เห็นว่ามีความเหมาะสมเข้ามาเป็นกรรมการ

ภายใต้ขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในการนี้ ก.ล.ต. จึงอาศัยอำนาจมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ให้กรรมการ IFEC และบุคคลที่ IFEC เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าเป็นกรรมการ ชี้แจงเป็นรายบุคคลว่าจะดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวอย่างไร และให้เปิดเผยคำชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 7 วัน หรือภายในวันที่ 5 มีนาคม 2561 หากกรรมการ IFEC และบุคคลดังกล่าวไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว อาจถูกพิจารณาได้ว่า ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 89/7 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว

สำหรับกรณีที่มีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับเงินลงทุนของ IFEC ในโครงการพลังงานทดแทนและเรื่องร้องเรียนอื่น ๆ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำของบุคคลใดที่เกี่ยวข้องเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อนึ่ง การกล่าวโทษนายวิชัยของ ก.ล.ต. ข้างต้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนการวินิจฉัยคดีซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลยุติธรรมตามลำดับ

นอกจากนี้ การถูกกล่าวโทษในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้นายวิชัยเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน1 และไม่สามารถเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนได้

หมายเหตุ : 1 ข้อ 3(1) ประกอบข้อ 4(3) และ (6) ของประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 3/2560 เรื่อง การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท ลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560