ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เผยเป็นนักการเมือง ไม่ใช่ทหาร – มติ ครม. ปรับค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-พัทยา – 105-245 บาท

นายกฯ เผยเป็นนักการเมือง ไม่ใช่ทหาร – มติ ครม. ปรับค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-พัทยา – 105-245 บาท

3 มกราคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และภรรยา นำทีม ครม.กันตักบาตรปีใหม่ ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดแรกของปี) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยในช่วงเช้าก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ได้ร่วมในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ ตึกสันติไมตรี จากนั้นร่วมกันตักบาตร ณ บริเวณสนามหญ้าข้างตึกไทยคู่ฟ้า

และก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ฝากคำอวยพรถึงข้าราชการทุกกระทรวงให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน พร้อมขอบคุณที่ทุกกระทรวงจัดหาของขวัญปีใหม่มอบให้ประชาชนแม้ในปีใหม่นี้ตนจะไม่ได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการระดับปลัดกระทรวงลงมาเข้าอวยพร นอกจากนี้ยังให้กำลังใจกับการทำงานของคณะรัฐมนตรีว่า ในช่วงที่ผ่านมามีอุปสรรคต่างๆ แต่ขอให้คิดว่าอุปสรรคคือกำลังใจของทุกคน ขอให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาของประเทศชาติต่อไป รวมทั้งขอให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาขัดข้องเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เสียสละในช่วงวันหยุดยาวให้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีลงมาแถลงข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมได้กล่าวสวัสดีปีใหม่และเดินทักทายสื่อมวลชน โดยระบุว่า “ปี 2561 เข้ามาแล้วขอให้เป็นปีแห่งรอยยิ้มของนายกฯ”

เผยเป็นนักการเมือง ไม่ใช่ทหาร – เข้ามาวันนี้ด้วยความจำเป็น

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ตนต้องเปลี่ยนแปลงโดยจะยิ้มให้มากขึ้น เมื่อก่อนตนยิ้มหุบเร็วเพราะเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม

“ผมใม่ใช้ทหารแล้ว เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดคือประชาชน และไม่ใช่ประชาชนของผม ประชาชนของประเทศไทย และไม่ใช่ของพรรคไหน ทุกคนเป็นพลเมืองไทยก็ต้องหนุนการเมืองที่ถูกต้องมีธรรมาภิบาล มีการเลือกตั้งในระบบยุติธรรม มีพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ มีพรรคการเมืองที่ใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าและประหยัด ตรวจสอบได้ และการตรวจสอบเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม อย่ามาตัดสินกันเองเลยทุกเรื่อง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า จะเป็นนักการเมืองยาวๆ ไปเลยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยอยากเป็นสักวัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ยังไม่ได้อยากเป็น แต่มันด้วยหน้าที่ความจำเป็น ชีวิตรับผิดชอบ ตนรับผิดชอบด้วยชีวิตของตน

ชี้ “ป๋าเปรม” หวังดี – แจง กองหนุน คือ ประชารัฐ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ระบุว่านายกฯ ใช้กองหนุนเกือบหมดแล้วต้องหากองหนุนเพิ่มว่า โดยส่วนตัวตนเข้าใจและ ครม. หลายคนที่ไปอวยพรปีใหม่ พล.อ. เปรม ในวันนั้นก็เข้าใจ ว่า “กองหนุน” นั้นหมายถึง รัฐบาลได้เอาทุกคนมาช่วยขับเคลื่อนประเทศไปหมดแล้ว โดยเฉพาะประชารัฐ ที่มีทั้งข้าราชการ เอกชน ประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจ แต่ทำอย่างไรมันจะมากขึ้น ตนตีความหมายแบบนี้ โดยขอให้ลองคิดดูว่าสิ่งที่ตนพูดมันใช่หรือไม่ แต่ก่อนทุกคนมาร่วมมือกันแบบนี้หรือไม่

“ท่านคงไม่มีเจตนาอะไรในเรื่องไม่ดี เพราะท่านให้กำลังใจรัฐบาลมาโดยตลอด คงไม่พูดอะไรที่ทำให้ผมเสียหาย ผมคิดว่าต้องคิดอย่างสร้างสรรค์กันหน่อย ถ้าหาประเด็นตีกันอยู่แบบนี้มันก็ไปไม่ได้ คำว่ากองหนุนของผมคือใจผมยังเต็มที่เต็มเปี่ยม กองหนุนมันต้องอยู่ที่ใจตัวเองก่อน ตราบใดที่ผมยังมีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อประชาชนของผม ของพวกเราทุกคน ผมก็คิดว่าทำได้ทำสำเร็จ แต่ถ้าเราบอกว่าท้อแท้หมดกำลังใจหรือโมโหมากเกินไป มันก็ไม่ใช่เรื่อง มันบ่อนทำลายตัวผมเปล่าๆ สุขภาพของผมก็ไม่แข็งแรงอย่างที่สื่อเองก็เป็นห่วงผม กลัวผมป่วยเจ็บตาย ยิ้มให้กันดีกว่า” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า กองหนุนส่วนไหนที่ต้องการมากที่สุดในช่วงเวลานี้ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากได้ทุกพวก สิ่งสำคัญคือประชาชนต้องเข้าใจ ถ้าประชาชนไม่เข้าใจก็ลำบาก การจะทำอะไรก็ตามที่เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศจากสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตและเผชิญความยากจนมาตลอดชีวิต จะแก้ภายในระยะเวลาอันสั้นคงแก้ไม่ได้ อยู่ที่การสร้างการรับรู้ การเรียนรู้ ซึ่งในวันนี้เราปล่อยปละละเลยมายาวนาน จนกระทั่งไม่เข้าใจ กลายเป็นว่าทุกอย่างต้องเป็นภาระของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว และมีการตอบสนองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งบางทีไม่ใช่ นั่นคือปัญหาที่ทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไม่ได้ สรุปความขัดแย้งก็เกิดขึ้นอีก

“วันนี้เราต้องพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะถือเป็นกองหนุน หากผลิตและสร้างคนที่มีคุณภาพจะถือเป็นกองหนุนอีกชั้น ซึ่งกองหนุนไม่ได้มีกองเดียว มันมีขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 วันนี้ผ่านกองหนุนขั้นที่ 1 มาแล้ว ขั้นที่ 2 คนยังลำบากอยู่ในทุกวันนี้ เราต้องแก้ให้เขาจึงจะมีเพิ่ม เข้าใจว่าสิ่งที่ พล.อ. เปรม พูดหมายความว่าอย่างนี้ ตอนนี้เราเอามาทุกกลุ่ม แต่ยังมาได้ไม่มาก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

คาดแถลงผลงานปฏิรูปประเทศภายในเดือนมีนาคม

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศในปี 2561 ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งตนได้กำชับตลอดเวลา และเร่งให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศจัดทำแผนแม่บทว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง โดยให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมก่อนที่จะส่งให้แต่ละกระทรวงตรวจสอบว่าได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง เนื่องจากบางเรื่องมีความซ้ำซ้อน ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการทำมาหลายอย่างแล้ว จะได้ตอบสังคมชัดเจนเสียที โดยจะให้ คสช. เป็นผู้แถลงผลงานภายใน 1-2 เดือนนี้

“อย่าลืมว่ามีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการแล้วเพื่อให้สอดคล้องกันระหว่างการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ จะได้ตอบคำถามได้ว่าเราจะมีประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ได้อย่างไร และจะใช้วิธีใดในการเดินหน้า และใช้เวลา ใช้งบประมาณเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณในอนาคต และให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติที่กำลังจะออกมา คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) การเลือกตั้ง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตามขั้นตอนกฎหมาย ในมาตรา 77 ไม่ใช่ไม่ฟังใครแล้วไปออกกฎหมาย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยันไม่ยื้อเลือกตั้ง – เผยเบื่อใช้อำนาจ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการเลือกตั้งในปี 2561 โดยยืนยันว่ากรอบเวลาในการเลือกตั้งยังเป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ ซึ่งจะเป็นไปตามที่ตนได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้วว่าขึ้นอยู่กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก ที่ยังอยู่ในการพิจารณาของ สนช. ถ้าเสร็จก็มีการเลือกตั้ง แต่ถ้าไม่เสร็จก็ไม่ใช่เรื่องของตน และไม่ใช่ความผิดของ สนช. ว่าดึงเรื่องหรืออย่างไร ขอให้ดูเวลา สนช. อภิปรายว่าเขาเถียงกันเรื่องอะไร ซึ่งบางเรื่องเขาก็ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลด้วยซ้ำ ยืนยันอีกครั้งว่า ตนเองและ คสช. ไม่สามารถสั่งการได้ สนช. ทำหน้าที่อย่างเสรี

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

“ผมไม่อยากใช้คำว่าเป็นการต่อสู้ทางการเมือง เป็นเรื่องของทหารที่ต้องการมีอำนาจต่อ ผมบอกไปแล้วว่าเบื่อการใช้อำนาจ เพราะเป็นทหารมา 30-40 ปี ใช้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาลูกน้องมาตลอด ไม่ได้รู้สึกว่าอยากมีอำนาจ การมีอำนาจมีเอาไว้เพื่อปกครอง บังคับบัญชาทหาร ทั้งในยามปกติและยามศึกสงคราม นั่นเรียกว่าอำนาจทางทหาร แต่วันนี้ผมเป็นนายกฯ ที่กำกับดูแลการทำงานของรัฐบาลและมอบนโยบายต่างๆ ผมไม่ได้ใช้ความคิดของทหารเลย เอาความคิดของทหารมาใช้แค่เรื่องเดียวคือการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ มีคนหลายส่วน ซึ่งบังคับเขาไม่ได้มากนัก ถึงแม้ว่าผมจะมาแบบนี้ก็ตาม แต่คำนึงถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ และมีแต่ทำให้เกิดความชัดเจนขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ชี้ตรวจสอบ คำสั่ง คสช. 53/2560 เป็นเรื่องของศาล รธน.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยมีความเห็นตรงกันเรื่องอาจยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ว่า เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ตนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ เป็นเรื่องของกระบวนการ หากไม่ดีไม่ถูกต้องก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา แต่คำสั่ง คสช. ที่ออกมาทั้งหมดในกฎหมายรัฐธรรมนูญระบุว่าเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ แต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องไปดูว่าละเมิดตรงไหนอย่างไร

ไม่หวั่นหาก ป.ป.ช. สอบ “ซื้อบางแก้ว”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีถูกร้องให้คณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการจ่ายเงิน 25,000 บาท ซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้ว 3 ตัวและมอบให้ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับพล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ป.ป.ช. กรณีให้หรือรับทรัพย์สินใดเกิน 3,000 บาท ว่า เรื่องหมาบางแก้ว เป็นเรื่องสุนัข ขออย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ทั้งนี้ตนยังไม่ได้สุนัข และยังไม่ได้มอบสุนัขให้ใคร วันนั้นก็ได้แต่ถามว่าใครจะเอา เงินที่จ่ายเกินให้เขาไปนั้น ส่วนหนึ่งถ้าหักลบก็จะเป็นค่าวัคซีนและค่าขนส่ง

“ผมก็ยังไม่ได้หมาสักตัว จะรอดรึเปล่าก็ยังไม่รู้เพราะหมาตัวเล็กนิดเดียว ผมรู้สึกเห็นใจเขา เรื่องนี้ผมชี้แจงได้หมดและผมก็ยังไม่ได้ให้ใคร ถ้าให้ใครแล้วก็ต้องมาจ่ายเงินผม ผมรู้กฎหมาย รู้ว่าให้ใครเกิน 3,000 บาทไม่ได้ และรองนายกฯ กับรัฐมนตรีก็บอกว่าขอไปดูหมาที่บ้านก่อน เลี้ยงหมาอยู่หลายตัว เขาก็ต้องไปดูหมาที่บ้านว่ามันจะอยู่กันได้รึเปล่า” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ตอบกลับ “หม่อมอุ๋ย” ตอนอยู่ยังแก้ปัญหาไม่ได้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่เสนอให้รัฐบาลเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ท่านก็ทราบดี เพราะเคยทำงานร่วมกับรัฐบาลมาก่อน ซึ่งท่านเองก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หากพูดถึงผู้เชี่ยวชาญขอให้ท่านเสนอผู้เชี่ยวชาญมาว่าเป็นใคร เพราะวันนี้รัฐบาลก็รวบรวมและรับฟังทุกความคิดเห็น ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญต้องเข้าใจบริบทของประเทศไทยว่าเป็นการเกษตรแบบไหน ไม่ว่าจะคิดแบบไหนขอให้คิดแบบไทยๆ ด้วย โดยรัฐบาลกำลังจะแก้ไข ซึ่งปัญหาราคาสินค้าเกษตรเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ไม่ง่าย รัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

ทั้งนี้ ในปี 2561 รัฐบาลจะวางโรดแมปแก้ไขปัญหาความยากจน เน้นการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และหวังลดคนจนด้วยการเพิ่มค่าครองชีพให้มากขึ้น โดยจะมุ่งให้ความช่วยเหลือผู้ที่ลงทะเบียนผู้ที่มีรายได้น้อยเป็นอันดับแรก และต่อไปจะให้ความช่วยเหลือในรูปแบบโมเดลจังหวัด ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ในการรวมกลุ่มเพื่อสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตัวเอง และเพิ่มมาตรฐานด้านการศึกษาให้มากขึ้น สำหรับการจับรางวัลรูดลุ้นเงินล้านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรผู้มีรายได้น้อยนั้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ถือเป็นมาตรการสร้างแรงจูงใจเท่านั้น แต่ในระยะต่อไปจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น ต้องฝึกอบรมเพิ่มความรู้ ทักษะ ในการประกอบอาชีพ

ชี้บ้านเมืองสงบสุขเพราะใช้ ม.44

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องความสงบในช่วงปีใหม่ที่ไม่เกิดเหตุอะไร ถือเป็นสัญญาณที่ดีของบ้านเมืองหรือไม่ ว่า ทุกสื่อเขียนว่าปีใหม่การต่อสู้ทางการเมืองจะแรงขึ้น หากสื่อเขียนอยู่แบบนี้ก็จะเป็นอยู่แบบนี้ ตราบใดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่อง สื่อต้องฟังรัฐบาลบ้าง ชี้แจงแทนตนบ้าง ไม่ใช่เอาความขัดแย้งหรือเอาคนที่ไม่มีบทบาทออกมาพูดแล้วขยายความกันทุกวัน ขอให้แยกแยะกันให้ออกหน่อย ใครที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมถ้าเขาดีบริสุทธิ์ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร พูดมาตนก็ไม่ตอบโต้ แต่ถ้าไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วเราไปส่งเสริมขยายให้เขาเรื่อยๆ มันจะสงบไหม

เมื่อถามว่าสำหรับข้อมูลรัฐบาลเรื่องความสงบเป็นอย่างไร พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า สงบในระดับหนึ่ง ซึ่งก็เป็นผลมาจากที่ตนใช้กฎหมายของตนอยู่ ขอให้คิดดูถ้าไม่มีกฎหมายที่มีอยู่แล้วในวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น ที่ผ่านมากฎหมายปกติเอาอยู่กันหรือไม่ ไม่อยู่หรอก และในวันนี้ในโซเชียลมีเดียมีมากมาย ฉะนั้น ต้องแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ก่อนที่จะไปสู่การเลือกตั้ง ถ้าไม่แก้เรื่องเหล่านี้ ต่อไปก็ลำบาก

“ผมยังไม่รู้ใครจะมารับผิดชอบต่อ เขาจะแก้ได้หรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ เขาจะทำให้สงบแบบนี้ได้หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ ใครจะเป็นรัฐบาลก็ยังไม่ทราบใช่ไหม เมื่อได้รัฐบาลเลือกตั้งมาแล้วจะบริหารได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ทุกอย่างมีบทเรียนทั้งสิ้น ดังนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต้องทำความเข้าใจประชาชนให้ชัดเจนว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้อย่างไร อย่ามาอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความขัดแย้ง ความบริสุทธิ์ ซึ่งท่านเองก็รู้ อันไหนบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ ผมก็ดูออก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า กรณีเรื่องความมั่นใจต่อสถานการณ์ข้างหน้านั้นไม่เกี่ยวกับตน มั่นใจหรือไม่ไม่ใช่เรื่องของตน เป็นเรื่องกติกา จะเลือกตั้งได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ตนจะมั่นใจหรือไม่มั่นใจตนก็ทำอะไรไม่ได้

ยังไม่พอใจ “ภาพรวมอุบัติเหตุปีใหม่”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความพึงพอใจต่อภาพรวมการดูแลการจราจรและการลดอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ว่า เรื่องการจราจรหากยังมีคนเจ็บตายอยู่ตนก็ยังไม่พอใจ จะต้องไม่มีคนเจ็บ คนเสียชีวิตและอุบัติเหตุจะต้องลดลงถึงพอใจ ทั้งนี้สิ่งที่ตนพอใจคือการไม่มีเหตุการณ์รุนแรงและการกระทำผิดกฎหมายที่รุนแรงเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ขอขอบคุณฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร มูลนิธิ อาสาสมัคร ที่ทำงานไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

“สิ่งที่กังวลคือทำอย่างไรเราจะให้ความสำคัญเรื่องการจราจรไปทั้งปี ไม่ใช่แค่ในช่วงเทศกาลเท่านั้น เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากจิตสำนึก วินัยในการขับขี่ ปีใหม่ใช้รถกันมากขึ้น ก็น่าสงสัยว่ารถติดขนาดนี้ทำไมจึงยังมีเจ็บตายถึง 50% เป็นจักรยานยนต์ รถกระบะ 5% และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็ไม่อยากให้มีเจ็บตายอีก ขอให้ช่วยกันรักษาวินัยจราจร ดูแลตัวเอง คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ดื่มสุรา ดูแลความสมบูรณ์ของรถยนต์ก่อนขับขี่ ซึ่งบางครั้งรถสาธารณะไม่เพียงพอก็นำรถเก่ามาวิ่งแทน ผู้คนต้องการกลับบ้านต่างจังหวัดก็ต้องขึ้น ขอให้สังคมมาช่วยกันดูแล เพื่อให้ยอดคนเจ็บตายลดลงทั้งปี” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยังไม่รู้ “ปู” อยู่อังกฤษ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่มีข่าวว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ว่า “ไม่รู้ๆ กำลังให้เขาตรวจสอบอยู่ ให้เขายืนยันมาก่อน”

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

ปรับค่าผ่านทางมอเตร์เวย์กรุงเทพฯ-พัทยา – 105-245 บาท

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. อันเป็นการปรับปรุงบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2532 ที่เห็นชอบให้ทางหลวงสายพิเศษดังกล่าวเป็นทางหลวงที่เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางในระบบปิด ซึ่งปัจจุบันกระทรวงคมนาคมได้ก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี-พัทยา เสร็จแล้ว โดยขยายเพิ่มช่องจราจร ควบคุมทางเข้าออกสมบูรณ์ และก่อสร้างด่านเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเพื่อเก็บค่าธรรมเนียมในระบบปิดทั้งหมด 9 ด่าน ได้แก่ ด่านลาดกระบัง ด่านบางบ่อ ด่านบางปะกง ด่านพนัสนิคม ด่านบ้านบึง ด่านบางพระ ด่านหนองขาม ด่านโป่ง และด่านพัทยา มีค่าธรรมเนียมสูงสุด 105 บาทสำหรับรถยนต์ 4 ล้อ, 170 บาทสำหรับรถยนต์ 6 ล้อ, 245 บาทสำหรับรถยนต์มากกว่า 6 ล้อ และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2561 เป็นต้นไป

“เดิมมอเตอร์เวย์จะมีช่องทางเข้ามาได้อยู่บางช่วงเป็นจุดตัด 28 จุด ไม่ได้เป็นระบบปิดท้ังหมด ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นระบบปิดทั้งหมด เป็นมอเตอร์เวย์ทั้งหมด รถทุกคันที่เข้ามาจะต้องผ่านเข้ามาจากด่านเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดอุบัติเหตุต่างๆ ได้มากขึ้น เพราะไม่มีรถโผล่เข้ามาระหว่างทาง รวมทั้งมีวงจรปิดตลอดเส้นทาง มีการตรวจความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ เป็นประโยชน์ที่ประชาชนได้แม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น อย่างเช่นสำหรับรถ 4 ล้อ จากสูงสุด 60 บาทเป็น 105 บาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาอัตราการตายบนทางหลวงพิเศษเป็นศูนย์ ทั้งนี้จะมีทางคู่ขนาดตลอดเส้นทางรองรับเช่นเดียวกัน และการจ่ายเงินจะเปลี่ยนจากการจ่ายตอนที่ขึ้นเป็นรับบัตรและจ่ายเงินตอนขาออกตามระยะทางที่กำหนดไว้” นายณัฐพรกล่าว

อนุมัติ 4,000 ล้านบาท โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. เห็นชอบโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ระยะที่ 2 โดยมีเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐเป็นลำดับแรก และหากเหลือจะให้สิทธิแก่ผู้มีรายได้น้อยกว่า 35,000 บาทต่อเดือนต่อคน สุดท้ายจึงเป็นสำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งกลุ่มสุดท้ายจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการสินเชื่อของภาครัฐประกอบ ทั้งนี้ ประชาชนรับสิทธิการอยู่อาศัยระยะยาว 30 ปี โครงการจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ วงเงิน 4,000 ล้านบาท 1) สินเชื่อสำหรับการปล่อยกู้เงื่อนไขผ่อนปรนผ่านธนาคารออมสินและธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รองรับการก่อสร้างโครงการให้กับภาคเอกชนที่ต้องการลงทุนพัฒนาโครงการยื่นเสนอแบบร่วมลงทุน (PPP) โดยปีที่ 1-3 คิดดอกเบี้ย 3% ส่วนปีที่ 4-5 ร้อยละ MRR -1% และ 2) สินเชื่อสำหรับประชาชนรายย่อยเพื่อซื้อบ้านผ่าน ธอส. และธนาคารออมสินเช่นเดียวกัน โดยปี 1-4 คิดดอกเบี้ย 2.75% และปีที่ 5-7 ดอกเบี้ย MRR -0.75% และหากกู้แล้วชำระเงินผ่านการหักบัญชีรายเดือนคิดดอกเบี้ย MRR -1% โดยจะต้องรายย่อยผ่อนชำระขั้นต่ำ 2,000 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้ โครงการเตรียมจัดสร้างในเขตอำเภอเมืองต่างจังหวัด 8 แปลง ทั้ง 4 ภาค ประกอบด้วย อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื้อที่ 10 ไร่, อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 16 ไร่, อ.เมือง จ.อุดรธานี เนื้อที่ 23 ไร่, อ.เมืองจังหวัดนครพนม เนื้อที่ 30 ไร่, อ.แม่ทะ จ.ลำปาง เนื้อที่ 55 ไร่, อ.เมือง จ.เชียงราย เนื้อที่ 3-4 ไร่, อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เนื้อที่ 15 ไร่, อ.เมือง จ.ขอนแก่น เนื้อที่ 30 ไร่ พื้นที่รวม 317.2 ไร่ ราคาบ้านประมาณ 350,000-700,000 บาทต่อยูนิต รูปแบบทั้งห้องชุด บ้านแฝด บ้านแถว ขนาดพื้นที่ใช้สอย 28 ตารางเมตรต่อยูนิต ทั้งหมด 2,757 ยูนิต กำหนดให้มีพื้นที่ส่วนกลางร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อใช้จัดกิจกรรมหรือร้านค้าหารายได้เป็นค่าส่วนกลางให้กับโครงการ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะหารือร่วมกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อจัดทำโครงการทางสังคมร่วมกัน วงเงินเพิ่มเติม 5,000 ล้านบาท

ยกเว้นภาษีผู้พิการครอบคลุมทุกสัญชาติ

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. เห็นชอบยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับคนพิการซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมีหนังสือรับรองความพิการจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายได้ส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาทต่อปี และยกเว้นเฉพาะผู้พิการที่มีอายุไม่เกิน 65 ปี ทั้งนี้ นับรายได้พึงประเมินตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป

“มาตรการดังกล่าวหวังให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities: CRPD) จากเดิมที่กำหนดให้ยกเว้นให้เพียงผู้พิการที่เป็นคนไทยเท่านั้น และที่กำหนดให้เพียงอายุไม่เกิน 65 ปี เนื่องจากหลังจากนั้นจะได้รับการยกเว้นในกรณีผู้สูงอายุอยู่แล้วตามกฎหมาย” นายณัฐพรกล่าว

เพิ่มอำนาจสรรพากรตรวจสอบ Transfer Pricing – ป้องกันบริษัทเลี่ยงภาษี

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน (Transfer Pricing) โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. กำหนดโทษปรับในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันมิได้จัดทำ หรือยื่นรายงาน เอกสารหรือหลักฐาน ต่อเจ้าพนักงานประเมินภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือยื่นรายงาน หรือเอกสารหรือหลักฐาน โดยแสดงข้อมูลไม่ถูกต้องครบถ้วนโดยไม่มีเหตุอันสมควร

2. กำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจปรับปรุงรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน ให้ได้จำนวนรายได้ที่พึงได้รับและรายจ่ายที่พึงได้จ่าย เสมือนว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวได้รับและได้จ่ายตามนั้น เพื่อใช้คำนวณกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษี หรือเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี

3. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันจัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกัน และมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามแบบที่อธิบดีกำหนด และยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมินพร้อมกับการยื่นรายการภายในกำหนดเวลา

4. กำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินโดยอนุมัติอธิบดี อาจส่งหนังสือแจ้งความแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน ให้ยื่นเอกสารหรือหลักฐานแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ข้อกำหนดของธุรกรรมระหว่างกันตามที่อธิบดีประกาศกำหนดภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายงานข้อมูล ทั้งนี้ หากฝ่าฝืนการยื่นรายงานจะมีอัตราโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท

5. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการในรอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกินจำนวนตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท ได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรการระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี

6. กำหนดให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป

อนุมัติข้าราชการลาบวชถวายพระกุศล สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ 15 วัน

รายงานข่าวจากสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า ครม. เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทถวายพระกุศล สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 4 กรกฎาคม 2560 ลาอุปสมบทได้ไม่เกิน 15 วัน โดยนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 13-21 มกราคม 2561 โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาอุปสมบทจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการ หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิในการลาตามมติคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อถวายพระกุศลฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มรับราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555 โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบท และยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นายกฯ เตรียมร่วมประชุม “แม่น้ำโขง-ล้านช้าง” 10 ม.ค. นี้

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ภายใต้หัวข้อ “แม่น้ำสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนของเรา” ซึ่งการประชุม ครม. วันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

โดยเห็นชอบต่อแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (ค.ศ. 2018-2022) โดยเป็นการแสดงเจตนารมณ์ และเป็นกรอบความร่วมมือของประเทศสมาชิก 6 ประเทศ ประกอบด้วย จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย โดยจะระบุความร่วมมือในสาขาที่เร่งด่วน 5 สาขา ประกอบด้วย ความเชื่อมโยงเศรษฐกิจข้ามพรมแดน, ทรัพยากรน้ำ, การพัฒนาศักยภาพในการผลิต, การเกษตร รวมถึงการลดความยากจน และในแผนฯ ดังกล่าวนี้ จะได้นำหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เพื่อลดความยากจนด้วย

ส่วนฉบับที่สอง คือ ร่างปฏิญาณพนมเปญ สำหรับการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 2 โดยเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิก 4 ด้าน คือ 1. ความร่วมมือด้านการเมืองความมั่นคง เพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค โดยไม่แทรกแซงกิจการภายในของแต่ละประเทศ 2. การพัฒนาเศรษฐกิจและความยั่งยืน 3. การแลกเปลี่ยนทางสังคม วัฒนธรรม ของประชาชนทั้ง 6 ประเทศ 4. การสนับสนุนความร่วมมือในด้านต่างๆ

“วิษณุ-พิเชฐ” รักษาการ รมว.กต. – “อุตตม-สุวิทย์” รักษาการ รมว.พณ. กรณีเก้าอี้ว่าง

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงต่างๆ เช่น

  • ให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หรือนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และกรณีไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
  • ให้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และกรณีไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
  • ให้นายเฉลิมศักดิ์ จันทโร เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
  • ให้นายพานิช เหล่าศิริรัตน์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ให้พลตำรวจเอก เรืองศักดิ์ จริตเอก เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
  • ให้พลอากาศโท นวรัตน์ มังคลา เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
  • ให้นางสาวกัญญวิมว์ กีรติกร เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกฯ ลงนามในประกาศแต่งตั้ง และมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ให้นายอดินันท์ ปากบารา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง 1 ปี ในวันที่ 23 มกราคม 2561 ให้คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2561
  • กระทรวงแรงงานได้มีการเปลี่ยนแปลงโฆษกกระทรวงแรงงาน จากนายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็น นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ตามคำสั่งกระทรวงแรงงาน ที่ 350/2560

โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2561 เป็นต้นไป ยกเว้นกรณีของ นายอดินันท์ ปากบารา จะมีผลตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2561 เป็นต้นไป