ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 16-22 ธ.ค. 2560
นายกฯ เซ็น ม.44 ปลดล็อกพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ ให้ดำเนินการตามกรอบเวลา 3 ระดับ

วันที่ 22 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า เวบไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่ง คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2560 เรื่อง การดําเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ให้ขยายกําหนดเวลาตามบทเฉพาะกาล มาตรา 141 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกําหนดเวลาดังกล่าวอาจขยายได้อยู่แล้วเป็นกรณีๆ ไป โดยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่เพื่อให้ทุกพรรคการเมือง ได้รับประโยชน์เสมอกันจึงควรได้รับการพิจารณาไปพร้อมกัน
โดยก่อนหน้านั้น เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 14.45 น. วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คาดว่าในวันดังกล่าวนี้จะประกาศคำสั่งมาตรา 44 เรื่องการขยายเวลาให้พรรคการเมืองได้ดำเนินการเรื่องต่างๆ โดยเป็นการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยวาระสำคัญจะกำหนดให้พรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ ได้ดำเนินการตามกรอบเวลา 3 ระดับ คือ
- นับตั้งแต่วันประกาศคำสั่งมาตรา 44 ไปจนถึงวันที่ 1 มี.ค. 2561
- จากวันที่ 1 มี.ค. 2561 ไปจนถึง 1 เม.ย. 2561
- จากวันที่ 1 เม.ย. 2561 เป็นต้นไป หลังจากนั้นจะมีการปลดล็อกพรรคการเมือง โดยจะยกเลิกประกาศ คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่เป็นปัญหา และอุปสรรคต่อการเลือกตั้งโดยเสรี
นายวิษณุ กล่าวว่า ขอให้ค่อยๆ อ่าน เพื่อความเข้าใจ อ่านไปอย่ายัวะไป มีความยาวเหมือนวิทยานิพนธ์ 1 เล่ม ต้องอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายจึงจะเข้าใจเหตุผล และขั้นตอนทั้งหมด ก่อนออกคำสั่ง คสช. ได้ประเมินแรงกระเพื่อมทางการเมืองไว้แล้ว หากพรรคการเมืองให้ความร่วมมือดี ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยไม่มีปัญหา จากคำสั่งดูแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือเสียประโยชน์ และคำสั่งนี้ประชาชนได้ประโยชน์ การขยายกรอบเวลาครั้งนี้ ยังไม่มีอะไรที่ทำให้เหลื่อมล้ำเวลาของโรดแมปที่วางเอาไว้ ยืนยันว่าการเลือกตั้งยังอยู่ในโรดแมปเดิมที่ได้แจ้งเอาไว้ เว้นแต่จะมีตัวแปรอย่างอื่น ซึ่งไม่มีใครรู้ และไม่อยากพูดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
สนช. ค้านหนัก ปม ป.ป.ช. เสนอเพิ่มอำนาจดักฟังให้ตนเอง

ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย (https://goo.gl/n1hgVY)
วันที่ 21 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต วาระ 2 และ 3 ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พิจารณาเสร็จแล้ว จำนวน 193 มาตรา ซึ่งมีสาระสำคัญหลายประการ เช่น
- การกำหนดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อหน่วยงานต้นสังกัด ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงาน ขณะที่ผู้ทำงานอยู่แล้วให้ยื่นภายในเวลาที่กำหนด
- การกำหนดให้คู่สมรสที่ไม่จดทะเบียนของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. โดยให้ ป.ป.ช. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์
- การกำหนดระยะเวลาไต่สวนพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. ต้องทำให้เสร็จภายใน 2 ปี
- การเพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช. สามารถดักฟังข้อมูลทางโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทุกชนิด ในคดีทุจริตและร่ำรวยผิดปกติของนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน
- การต่ออายุการดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันให้อยู่จนครบวาระ 9 ปี
ประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากนั้นก็คือกรณีของ มาตรา 37/1 หรือก็คือเรื่องการเพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช. สามารถดักฟังข้อมูลทางโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทุกชนิด ในคดีทุจริตและร่ำรวยผิดปกติของนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน นั่นเอง โดยสมาชิก สนช. มีความเป็นห่วงว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 36 และอาจเป็นดาบ 2 คม จึงขอให้ กมธ. ตัดมาตรา 37/1ทิ้ง
ตัวอย่างความเห็นค้านของสมาชิก สนช. ท่านต่างๆ มีดังนี้
นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายว่า การใช้อำนาจเกินขอบเขต เรียกร้องมากเกินไป อาจทำให้องค์กรสั่นสะเทือนได้ ยิ่งหากหลักฐานที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ จะเป็นสิ่งที่ทิ่มตำทำลายผู้ที่นำหลักฐานนั้นมาใช้เอง เป็นห่วงว่า หากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีหลุดออกไปอาจเป็นเครื่องมือนำไปใช้แบล็คเมล์ทางการเมืองกันได้ เป็นเรื่องที่ต้องระวัง ประเด็นนี้อ่อนไหวที่สุด ไม่ควรนำมาใส่เลย และต้องฟังเสียงประชาชนให้รอบด้าน
นายสมชาย แสวงการ สนช. อภิปรายว่า การให้อำนาจ ป.ป.ช. สืบค้นข้อมูลทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊กได้เป็นภัยทางการเมืองต่อทุกคน อาจมีการดักฟังข้อมูลในทุกเรื่อง ถือว่าอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน หากยังเดินหน้าต่อไปจะมีผู้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างแน่นอน
นายตวง อันทะไชย สนช. อภิปรายว่า การออกกฎหมายใดๆ ต้องพึงระวังเรื่องการละเมิดสิทธิเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ อยากทราบว่าจะมีกลไกใดเข้าไปถ่วงอำนาจการสืบค้นข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊กได้ เพราะในอนาคตอาจมีการหยิบยกข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้มาอภิปรายทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองได้ เหมือนอย่างในอดีตที่เคยให้อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ล้นฟ้า สุดท้ายกลับตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง นำมาใช้กลั่นแกล้งคู่ต่อสู้ทางการเมือง ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ
ส่วนทางด้านของกรรมาธิการเสียงข้างมากนั้น พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ซึ่งเป็นประธาน ป.ป.ช. ด้วยได้อภิปรายว่า การใช้คำว่าดักฟังเป็นการสร้างภาพที่น่ากลัว เพราะ กมธ.เสียงข้างมากไม่มีเจตนาต้องการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 36 เพราะการจะใช้อำนาจตามมาตรา 37/1 ได้ ต้องผ่านมติเห็นชอบจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คนก่อนว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะขอยื่นอนุมัติต่อศาล เมื่อ ป.ป.ช. อนุญาตแล้วต้องส่งเรื่องให้อธิบดีศาลทุจริตและประพฤติมิชอบให้ความเห็นชอบด้วย ไม่ใช่แค่ให้ผู้พิพากษาทั่วไปอนุญาต ที่สำคัญฐานความผิดที่เข้าข่ายใช้มาตรา 37/1 ได้ต้องเป็นเรื่องสำคัคญมีผลกระทบในวงกว้าง เมื่ออธิบดีศาลฯ อนุญาตแล้ว ป.ป.ช. จะมีเวลาไม่เกินครั้งละ 90 วันในการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าว ส่วนข้อมูลที่ได้มา จะใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้น ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับคดีจะถูกทำลายทันที ป.ป.ช. ไม่มีเจตนาจะละเมิดสิทธิประชาชน แต่จะทำทุกทางเพื่อตรวจสอบการทุจริต
อนึ่ง แม้การอภิปรายจะยังไม่จบสิ้นภายในวันดังกล่าว และต้องเลื่อนมาอภิปรายกันต่อในช่วงเช้าของวันที่ 22 ธ.ค. 2560 แต่ในที่สุด จากการรายงานของเว็บไซต์ข่าวสด ก็ได้มีการถอนมาตรา 37/1 รวมถึงมาตรา 37/2 และมาตรา 37/3 ออกไปแล้ว โดย พล.ต.อ. ชัชวาล สุขสมจิตร์ ประธาน กมธ. กล่าวว่า การดักฟังถือเป็นเครื่องมือที่มีความจำเป็น แต่ กมธ. ไม่ต้องการให้สภาเสียเวลากับปัญหาดังกล่าว และเห็นว่าเวลายังไม่เหมาะสม
บีทีเอสยันใช้บัตรแมงมุมไม่ขึ้นราคา เผย ขบวนใหม่เริ่มมาปี ’61 มาครบปี ’62

วันที่ 21 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงกรณีตามที่มีข่าวระบุว่า บริษัทฯ จ่อขึ้นราคาค่าโดยสารหลังเปิดใช้ระบบตั๋วร่วม หรือบัตรแมงมุม เพื่อเชื่อมกับระบบขนส่งมวลชนอื่นโดยใช้บัตรเพียงใบเดียวนั้น ไม่มีมูลความจริงแต่ประการใด
พร้อมย้ำให้ความร่วมมือกับรัฐในการจัดทำตั๋วร่วมเต็มที่ เพราะได้ร่วมมือกับทางภาครัฐมาตั้งแต่ต้นและเป็นรายแรกในการเซ็น MOU หรือบันทึกความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทำระบบตั๋วร่วม ซึ่งบริษัทฯ ได้พยายามในการที่จะให้ตั๋วร่วมนี้สามารถใช้ร่วมกับบัตร Rabbit ได้ และในอนาคต เมื่อมีส่วนต่อขยายออกไปหลายสาย ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าเป็นสายสีเขียวด้วยกันจะไม่มีค่าแรกเข้า ส่วนสายสีอื่นๆ จะมีค่าแรกเข้า ซึ่งตรงนี้บริษัทฯพร้อมที่จะหารือร่วมกับทุกฝ่ายและทางภาครัฐเรื่องค่าแรกเข้าเพื่อให้เกิดความพอดี และประชาชนไม่เดือดร้อน
ส่วนการปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร สายสุขุมวิท และสายสีลม บริษัทฯ ได้มีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุดที่ผ่านมาเมื่อเดือนตุลาคม 2560 ซึ่งสัญญาสัมปทานกำหนดให้บริษัทฯสามารถปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บได้ทุก 18 เดือนแต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสาร ดังนั้นจึงขอให้ผู้ใช้บริการวางใจได้ว่าบริษัทฯ จะยังไม่มีการเรียกเก็บหรือปรับราคาค่าโดยสารในขณะนี้แต่อย่างใด
ส่วนการจัดทำตั๋วร่วมของรัฐบาลไม่มีผลกับการปรับขึ้นค่าโดยสารบีทีเอส เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ที่รัฐบาลจะพิจารณาร่วมกับเอกชนผู้ให้บริการทุกราย บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการจัดทำตั๋วร่วมมาตั้งแต่ต้นไม่ว่าเอกชนรายใดจะถอนตัวออกไป บริษัทฯก็ยังคงร่วมงานกับรัฐ โดยเฉพาะระบบบัตรบัตรแมงมุมที่พัฒนาระบบเปิดไว้ให้บัตรโดยสารของผู้ให้บริการทุกรายสามารถเชื่อมต่อกับบัตรแมงมุมได้โดยง่าย ไม่ใช่เฉพาะของบีทีเอสเพียงรายเดียว
นายสุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้ารถไฟฟ้าขบวนใหม่ที่ได้ลงนามสั่งซื้อไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 จำนวน 46 ขบวน 148 ตู้มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาทกับ บริษัทซีเมนส์ จำกัด 22 ขบวน จะทยอยเข้ามาในปี 2561 และบริษัทฉางชุน เรลเวย์ เวฮิเคิล จำกัด 24 ขบวน จะทยอยมาถึงเมืองไทยจนครบ ในปี 2562
โดยขบวนแรกจะเข้ามาประมาณเดือนพฤษภาคม ปี 2561 เพื่อจะมาทดสอบระบบต่างๆ ทั้งนี้เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสถิติสูงสุดของผู้โดยสารเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา มีจำนวน 918,109 เที่ยวคนซึ่งเป็นสถิติใหม่ล่าสุด
เครือข่ายงดเหล้าหนุน สธ. อุดช่องโหว่ เจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์อุบัติเหตุทุกราย

วันที่ 22 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า ที่กระทรวงสาธารณสุข ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) พร้อมด้วยเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กว่า 30 คน เดินทางมายังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อยื่นหนังสือถึง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เพื่อสนับสนุนมาตรการเจาะเลือดวัดแอลกอฮอล์ในอุบัติเหตุทุกราย และให้กำลังใจกระทรวงยืนหยัดตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 หลังมีการวิ่งเต้นขอแก้กฎหมาย เพื่อเปิดทางให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างเสรีมากขึ้น โดยมี นพ.โสภณ เมฆธน ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข เป็นตัวแทนรับหนังสือ
ภก.สงกรานต์ กล่าวว่า เครือข่ายฯ ขอสนับสนุนมาตรการเจาะเลือดเพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์กับผู้ประสบอุบัติเหตุจราจรทางถนนทุกราย เพราะที่ผ่านมามีปัญหาคนไม่ยอมให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ใช้ช่องว่างของกฎหมายบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ตรวจ เพราะฐานโทษความผิดจะสูงกว่า โดยหากทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลมีสิทธิพักหรือถอนใบอนุญาตขับรถได้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระทรวงก็เคยทำเมื่อเทศกาลสงกรานต์โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งเรื่องมาให้ รพ. ตรวจเลือดหาปริมาณแอลกอฮอล์ ถ้าเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาสุรา ซึ่งมาตรการนี้มีความก้าวหน้าทางนโยบาย ช่วยถ่วงดุลการทำงานระหว่างสาธารณสุขและตำรวจ หลังพบพวกหัวหมอเมาแล้วขับแต่ไม่ยอมเป่า กลับพยายามวิ่งเต้นขอเคลียร์ผู้ใหญ่ เชื่อว่ามาตรการนี้จะปิดช่องตำรวจชั้นผู้น้อยถูกขอจากกรณีเมาแล้วขับได้มากขึ้น
ด้าน นพ.โสภณ กล่าวว่า การลดอุบัติเหตุเป็นนโยบายที่กระทรวงดำเนินการ และประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ ส่วนการวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ประสบอุบัติเหตุนั้นเริ่มทำเมื่อช่วงสงกรานต์ เจาะเลือดตรวจประมาณ 700 กว่าราย พบกว่าครึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ส่วนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้ก็จะดำเนินการต่อโดยไม่ต้องแก้กฎหมาย ทั้งนี้ได้รับงบประมาณจาก สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) 1.4 ล้านบาท คาดว่าจะตรวจได้ประมาณ 1,000 ราย ในรายที่เกิดอุบัติเหตุและตำรวจร้องขอให้ตรวจ ทั้งนี้โดยหลักการจะต้องตรวจภายใน 4 ชั่วโมง เนื่องจากทุก 2 ชั่วโมงปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลง
ไทยโหวตหนุนยูเอ็น ค้านสหรัฐฯ รับรองเยรูซาเลม
จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยอมรับนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จนทำให้บรรดาชาติสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกร่างมติที่มีเนื้อหาสำคัญยืนยันว่า “การตัดสินใจหรือการกระทำใดๆ ที่เปลี่ยนแปลงสถานะ ลักษณะ หรือองค์ประกอบของประชากรแห่งนครศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเลม ถือว่าไม่มีผลทางกฎหมาย เป็นโมฆะ และจะต้องถูกยกเลิก เพื่อเป็นการปฏิบัติตามข้อมติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของคณะมนตรีความมั่นคงฯ” และ “ขอเรียกร้องให้ทุกชาติงดเว้นไม่ประจำการคณะทูตในนครเยรูซาเลม ตามมติที่ 478 ของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งออกมาเมื่อปี 1980”
ร่างมติดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงขั้นประกาศขู่จะตัดความช่วยเหลือด้านการเงินกับประเทศที่สนับสนุนร่างมตินั้น โดยเว็บไซต์บีซีไทยรายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า “พวกเขาเอาเงินไปเป็นร้อยล้านพันล้าน จากนั้นก็ลงคะแนนต่อต้านเรา…ให้เขาลงคะแนนต่อต้านเราไปเลย เราจะประหยัดเงินได้อีกมาก เราไม่ใส่ใจ” ร่างมติสหประชาชาติดังกล่าว ไม่ได้อ้างถึงสหรัฐฯ แต่ระบุว่า ควรจะเพิกถอนการตัดสินใจใดก็ตามเกี่ยวกับเยรูซาเลม
รายงานของบีบีซีไทยยังระบุด้วยว่า ไทยเป็นหนึ่งใน 128 ประเทศ ที่ลงคะแนนในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เพื่อสนับสนุนร่างมติเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกา เพิกถอนการรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แม้ว่จะมีการขู่ตัดการสนับสนุนดังกล่าวไปแล้วก็ตาม