ThaiPublica > เกาะกระแส > “บัณฑูร ล่ำซำ” ตั้งโจทย์ทุกรัฐบาล จะเติบโตอย่างไรในโลกไร้ประเทศ?

“บัณฑูร ล่ำซำ” ตั้งโจทย์ทุกรัฐบาล จะเติบโตอย่างไรในโลกไร้ประเทศ?

4 ธันวาคม 2017


นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ธนาคารกสิกรไทยได้รับอนุญาตจากทางการจีนให้ตั้งธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นจดทะเบียน มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง โดยนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจและอนาคตของธุรกิจธนาคารว่า การเปิดทำการธุรกิจที่จีนในฐานะที่เป็นธนาคารท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาพที่สมบูรณ์และเป็นบทเรียนต่อไปในอนาคตคือของแบบนี้ใช้เวลานานมากในการที่จะมาถึงวันนี้ คำว่าเวลานานมากไม่ใช่เฉพาะว่าเตรียมตัวหรือว่าไปยื่นคำร้องอนุญาต แต่เป็นเวลานานที่ทั้งโลกต้องใช้เวลาในการปรับทิศทาง

“จริงๆ แล้วงานนี้เริ่มตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เมื่อภูมิภาคนี้ได้เรียนรู้คำว่าความเสี่ยง โดยเฉพาะยิ่งประเทศไทยซึ่งทำกันจนพัง จีนก็พังไปพอๆ กัน หลังจากนั้นจึงได้มีการเรียนรู้เกิดขึ้นในเรื่องธุรกิจการเงิน พร้อมกับการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงการเมืองโลก คือการผงาดอีกครั้งของจีน ใช้เวลาหนึ่งศตวรรษไต่กลับเข้ามาอีกครั้งจากความล้มเหลวของตนเองในอดีต มาถึงวันนี้ยี่สิบปีหลังวิกฤติเศรษฐกิจ จีนก็พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในโลก จากสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าโลกคนเดียว ตอนนี้มีมหาอำนาจหลายประเทศ และความเชื่อมต่อของคนและประเทศต่างๆ จากโลกที่ปิด แบ่งค่ายนั้นค่ายนี้ ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว”

ทุกประเทศกับโจทย์เดียว – ไหวทัน แข่งขันกับโลก – ระดับชีวิตประชาชน

นายบัณฑูรกล่าวว่า พอโลกเปิดตัวเชื่อมโยงสำคัญคือการค้าขาย ทุกคนต้องการชีวิตที่ดีขึ้น การจะทำอย่างนั้นได้ทุกคนต้องเปิดประเทศค้าขาย ทุกคนก็มีการตื่นตัวอย่างแรงในภาคการเมือง ซึ่งนำสู่การยกระดับชีวิตประชาชนของประเทศตัวเอง ตัวอย่างใหญ่เลยคือประเทศจีนประกาศออกมาว่าจะยกระดับจนกระทั่งความยากจนเกือบจะไม่เหลือ ก็ได้ยินว่าของประเทศไทยก็รีบประกาศตามทันที ไม่แน่ใจว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่ นั่นคือทิศทางการเมืองของโลก ใครมาเป็นภาครัฐ ใครมาเป็นรัฐบาลไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตามมีโจทย์เดียวกันทั้งนั้น คือ การยกระดับความสามารถและความเป็นอยู่คุณภาพชีวิตของตนได้ และการที่จะยกระดับต้องยกระดับความสามารถ พูดว่าจะยกระดับๆ มันไม่ขึ้น มันต้องยกระดับความสามารถ รวมทั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ เพื่อให้ประชาชนในประเทศนั้นๆ สามารถจะทำมาหากินค้าขายกับชาวโลกได้ ซึ่งมีการแข่งขันกันมากและมหาศาลในวันนี้

ในวันนี้ที่เราเคยมองว่าประเทศปิดและล้าหลังในทุกด้านตอนนี้เขาก็ไม่ล้าหลังแล้ว ดูจากสถิติก็ไล่กันมาติดด้วยกันทั้งนั้น ประเทศไทยต่างหากที่ต้องระวังตัว นับว่ามีแต่คนจี้ไหล่ขึ้นมา มิหนำซ้ำจะแซงหน้าเราไป ดังนั้น เป็นบริบทใหญ่ของการที่เรานั่งที่สำนักงานใหญ่ธนาคารกสิกรไทย ประเทศจีน ก็เป็นจักรกลตัวหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่พยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลก ซึ่งอยู่บนโลกของการค้าขายการลงทุน จึงได้มีการพัฒนาอะไรต่างๆ มาถึงทุกวันนี้ ทำให้เรามีทีมพร้อมเป็นขั้นหนึ่ง และต้องเตรียมพร้อมมากกว่านี้ในการเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบเศรษบฐกิจข้ามโลกข้ามประเทศ ซึ่งประเทศไทยจะต้องเป็น ไม่ว่าจะเรียกว่าเส้นทางสายไหมทางทะเลหรือเรื่องเออีซี ก็คือเรื่องเดียวกัน คือคนไทยค้าขายได้

“การค้าขายตอนจบไม่ใช่แบกะดิน ต้องค้าขายแบบมีความสามารถในการที่จะแบ่งปันความมั่งคั่งเกิดขึ้นด้วยจึงจะสนุก หากจะค้าขายแล้วขายของราคาต่ำสุด แต่ซื้อของราคาแพงสุด ไม่มีทางยกระดับความเป็นอยู่ของประชากรของประเทศได้ เหมือนไทยในปัจจุบันที่พยายามอย่างยิ่งกับไทยแลนด์ 4.0 คือการยกระดับความสามารถของประเทศและประชากรของประเทศให้สามารถแข่งขันทำงานได้ หากไม่ทำ จะไม่มีทางถึงระดับที่มีกินมีใช้อย่างดี ทั้งหมดที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าโลกมนุษย์มีครรลองของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อยู่ที่ว่าใครจะไหวทัน คนที่เป็นผู้นำคือรัฐบาลของแต่ละประเทศจะไหวทันความเปลี่ยนแปลงของโลกและนำพาประเทศให้พัฒนาล่วงหน้าในเรื่องที่ควรพัฒนา ของพวกนี้ไม่พัฒนาข้ามคืน ต้องล่วงหน้าเพื่อที่ว่าจะหลุดจากโลกอยู่คนเดียว รวมทั้งประเทศไทยด้วย”

บทเรียนปี 2540 ความเสี่ยงมาพร้อมโอกาสเสมอ

ธนาคารกสิกรไทยเป็นความพยายามเอกชนรายหนึ่ง ศึกษาความเป็นไปและรวบรวมทีมงานองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เมื่อ 20 ปีที่แล้วนึกไม่ถึงว่ามีในโลก และนำมาปรับให้ยืนอยู่ได้ในโลกของการค้าขายอย่างมีความหมาย อย่างมีประโยชน์ และมีนัยสำคัญต่ออนาคต ถือว่าธนาคารกสิกรไทยก็ความภูมิใจขั้นหนึ่งที่ได้พัฒนาตัวเองมาถึงจุดนี้ เป็นธนาคารจากประเทศไทยแห่งที่สองที่เป็นธนาคารท้องถิ่นของจีน แต่นั่นยังไม่ได้สำคัญเท่าว่าจากนี้ไปใบอนุญาตตัวมันเองไม่ได้เป็นตัวของความสำเร็จ เป็นแค่เป็นใบเบิกทาง ความสำเร็จอยู่ที่การทำงานต่อเนื่องในการที่จะทำให้ตัวเป็นผู้ที่มีศักยภาพที่จะส่งเสริมระบบการค้าขายการลงทุนในภูมิภาคนี้ได้

นายบัณฑูรกล่าวต่อถึงความสำเร็จในครั้งนี้หลังจากได้เข้ามาในฐานะสำนักงานผู้แทนเมื่อ 23 ปีที่แล้วว่า “ไม่ใช่ว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วมองทะลุเลยว่าวันนี้จะเป็นแบบนี้ ไม่มี อย่ามองว่าจะมีความความฝันเลย ไม่รู้จะฝันอะไร แต่ว่าความสำคัญคือว่าความสามารถที่จะประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา ย้อนไปตอนปี 2537 จริงๆ ผมยังไม่เกิดเลยในเชิงของความเป็นนายแบงก์ ยังไม่ได้ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เลย ตอนนั้นเกิดจริง ก่อนหน้านั้นของเล่นๆ พอเกิดจริงถึงได้รู้ว่าโลกมนุษย์มันมีความเสี่ยงเต็มไปหมด โอกาสและความเสี่ยงมาพร้อมๆ กัน และการที่มีโอกาสและไม่สามารถใช้โอกาสนั้นได้เป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งคือการเสี่ยงที่จะหลุดโลก หลุดไปข้างหลัง ตามเขาไม่ทัน เขาไปถึงไหนๆ ก็ยังย่ำอยู่ในรูปแบบเดิมที่เดิมๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นบทเรียนของจัดการ ซึ่งใช้ได้ทั้งนั้น ในระดับบริษัทเอกชนหรือระดับประเทศหรือระดับตัวบุคคลก็ตาม คนที่ไม่รู้จักที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ลืมตาดูว่าโลกไปถึงไหนวันหนึ่งหลุดอยู่ข้างหลัง อันนี้คือบทเรียนตัวสำคัญ

แต่ตอนนี้เรามาถึงตรงนี้แล้ว อย่างน้อยเราก็มีฐานแล้ว ฐานที่จะใช้ความเพียรพยายามต่อไปแต่มันไม่มีฐานแบบนี้ก็ได้แต่มอง และมาเริ่มต้นวันนี้มันยากแล้ว เวทีมันเต็มไปหมดแล้ว แล้วกว่าจะมาถึงวันนี้เราต้องพิสูจน์กี่รอบ โดนตรวจสอบกี่รอบโดยผู้เป็นสำนักงานควบคุมธนาคารของประเทศจีนเขาไม่ปล่อยให้หลุดเข้ามาง่ายๆ ถ้าเราไม่พิสูจน์ว่าเราทำได้ เราเอาความเสี่ยงมาใส่ระบบการเงินของเขา ไม่มีรัฐบาลไหนอยากให้ใครมาตั้งธนาคารแล้วมีปัญหา ต้องให้แน่ใจว่าทีมงานธนาคารกสิกรไทยมันมือถึงพอ ก็ทดสอบกันทุกคน คนที่เป็นผู้บริหารโดน ก็สอบผ่าน โดยทีมด้วย โดยระบบ โดยไอที อย่างยิ่งช่วงหลัง ตรวจเข้มเลย ไม่ผ่านไม่มีทางได้ใบอนุญาต

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย

อนาคตนักการเงินต้องเป็นเทคโนโลยี

นายบัณฑูรกล่าวต่อไปถึงเป้าหมายหลังจากนี้ว่า การตั้งเป้าเป็นขนาด พูดได้ทั้งนั้น แต่มันไม่สำคัญ มันต้องเอาให้เนื้อ โครงสร้างให้แน่น คำว่าโครงสร้างให้แน่น อันแรกยุทธศาสตร์ชัดเจนสอดคล้องกับความเป็นจริง ข้ามประเทศข้ามโลกอย่างนี้ อันที่สองเทคโนโลยีและบุคคลากรให้พร้อม ทั้ง 2 อย่าง เมื่อก่อนเทคโนโลยียังเป็นเรื่องตื้นๆ ตอนนี้มีไม่ถึงขั้นหนึ่ง แพ้เลย สินค้าเราใช้ไม่ได้เลย แล้วคนต้องมาด้วย คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาต้องมีความรู้แบบใหม่ๆ เข้ามา เพราะว่าคำว่าเป็นนักการเงินมันเป็นยิ่งกว่านักการเงิน ต้องรู้เทคโนโลยีด้วย รู้วัฒนธรรม รู้กฎกติกาของการค้าขาย ที่โลกใหม่ทำกัน อันนี้ต่างหากที่เราต้องเตรียมพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะประเทศจีน ประเทศไทยเราตัวดีนัก เราติดมาจากโลกเก่า เรากำลังจะไปโลกใหม่ เราผ่านผู้คนที่เป็นพนักงาน 20,000 คน ตามมาได้ทันหรือไม่ เราจะหาคนแบบความคิดใหม่ความรู้ใหม่ๆ ได้หรือไม่ ที่จะทำให้ธุรกิจเรามีพลังขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต และค่อยพูดถึงว่าแล้วขนาดธุรกิจจะไปขนาดไหนจะไปถึงไหน ถ้าโครงสร้างที่จะทำมาหากินมันไม่แน่นไปโตเร็วเราก็รู้แล้วว่าเราก็ตาย ไปตายเอาดาบหน้า

“มันไม่ใช่แค่ในจีน ดิจิทัลมันเชื่อมกันหมด เราไม่ใช่เฉพาะทำกับนักธุรกิจจีน เราก็ทำด้วย แต่สำคัญทำอย่างไรที่เราจะเป็นตัวเชื่อมการค้าขายการลงทุนระหว่างประเทศ ที่บอกเออีซีบวก 3 คือยุทธศาสตร์ของเรา เออีซีคืออาเซียน บวก 3 คือจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ทุกคนมีบทบาทมีพลังด้วยกันทั้งนั้นในการค้าขายในการลงทุน เราต้องไปสวมเอาพลังงานตรงนั้นมาใช้ให้เกิดมั่งคั่งโดยรวมด้วยและของประเทศไทยด้วย”

นายบัณฑูรกล่าวต่อไปว่า การเข้ามาในจีนเรามาธนาคารท้องถิ่นเพราะว่ามีนัยยะอันแรกของการทำธุรกิจอย่างกว้างขวาง ประเด็นที่ 2 คือ ประเทศจีนเป็นแหล่งของความรู้มหาศาล ความรู้เดี๋ยวนี้จีนก้าวหน้าในทุกด้าน โดยเฉพาะเทคโนโลยีไอทีต่างๆ พวกนี้ ก้าวหน้ากว่าซีกโลกตะวันตกด้วยซ้ำไป มันจะมีซิลิคอนวัลเลย์ของเอเชียเกิดขึ้นที่นี่แล้ว เผลอๆ บางอย่างมันไปไกลกว่าซิลิคอนวัลเลย์แล้ว เพราะฉะนั้นอันหลักตรงนี้เป็นฐานใหญ่

ส่วนการแข่งขันในจีนที่สูงก็ไปด้วยความเพียรพยายามที่เยอะกว่า มันก็ยากทั้งนั้น ไปที่ไหนไม่มีหรอกที่จะไม่มีการแข่งขัน ทุกที่มีการแข่งขันทั้งนั้น ไม่งั้นจะเรียกว่าธุรกิจหรอ ธุรกิจต้องประเมินสถานการณ์ ตลาดเป็นอย่างไร ใครทำอะไร เราทำได้ไหมเนี่ย ที่สำคัญคือเทคโนโลยีและบุคลากร เป็นตัวแปรตัวปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ไม่มีเทคโนโลยีก็บ๊ายบาย บุคลากร ไม่มีใครอยากทำงานด้วยก็จบ ไม่ว่าจะที่จีนหรือไทย

เมื่อโลกไร้พรมแดน – การเชื่อมโยงสำคัญที่สุด

ส่วนประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอยากจะเข้าไปเป็นธนาคาร ณ ขณะนี้ไม่ถึงกับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ความสามารถที่จะเชื่อมโยงกับโครงสร้างธุรกิจการเงินในประเทศต่างๆ ในอาเซียนเป็นความสามารถที่จะต้องสร้างให้เกิดขึ้น จะความร่วมมือกันเป็นพันธมิตรเป็นอะไรต่างๆ เพื่อเราสามารถพูดกับลูกค้าทั้งหลายว่ามาใช้ธนาคารกสิกรไทยไปค้าขายที่ไหนก็ได้ ความร่วมมืออาจจะมีในรูปใดรูปแบบหนึ่ง แต่ตรงนั้นมันยังไม่สำคัญเท่ากับระบบที่เชื่อมโยงการค้าขาย

“ตราบใดที่มันยังอยู่ในวิสัยที่ทำได้เราพยายามทำต่อไป แต่สำคัญคือเชื่อมการเงินกับการค้าเข้าด้วยกัน มันไม่ได้หมายความว่าต้องไปมีตึกเป็นสาขาแต่อย่างเดียว มันเชื่อมด้วยระบบไอที ด้วยระบบไซเบอร์อะไรต่างๆ พวกนี้สำคัญยิ่งกว่า ถึงบอกว่ามันเปลี่ยนโฉมหน้าของการเป็นการเงิน ไม่มีเงินสด ไม่มีสาขา ไม่มีอะไร มีแต่โทรศัพท์มือถือกับคอมพิวเตอร์”

นายบัณฑูรกล่าวต่อไปถึงการเข้ามาและทิศทางของเทคโนโลยีว่า ก็ประเมินหนึ่งว่าคนค้าขายกันรวดเร็วมากขึ้นบนไซเบอร์ คนไม่เดินเข้าร้านที่เป็นตึก ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร แม้กระทั่งห้างสรรพสินค้า คนชำระเงิน ชำระทันทีไม่ต้องมีเงินสด นี่คือลักษณะที่เป็น เป็นแน่ๆ อยู่แล้วของโลกมนุษย์ แต่ถามว่าเราอยู่ตรงนั้นหรือไม่ ถ้าไม่อยู่ก็จบ ถ้าเราไม่เป็นส่วนหนึ่งของธุรกรรมอันนั้นก็จบ ถ้าไม่มีใครเห็นเราก็จบ เห็นเราเห็นป้ายตัวเคอยู่บนตึกก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครมาธนาคารที่เป็นตึกเป็นอิฐเป็นปูนแล้ว พวกนี้มันอยู่ในการตัดสินใจเสี้ยววินาทีของการทำธุรกรรมอันนั้น ถ้าธนาคารกสิกรไม่อยู่อันนั้นด้วยก็จบแค่นั้น ถึงแน่ใจว่าเวลาเขาค้าขายกันบริโภคซื้ออะไรกันในอนาคตเนี่ยให้เขาเห็นเราด้วย ส่วนจะเห็นด้วยวิธีไหนเป็นเรื่องที่ต้องไปศึกษากันอีกที

จริงๆ ครรลองนี้ กระบวนการนี้ของการที่ว่าสลายกำแพงที่กั้นประเทศของตัวเองมันเกิดขึ้นมาได้ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่โลกาภิวัตน์ที่สมัยก่อนเพิ่มจนมาอะไร สมัยนี้มันหนักมือมากขึ้นๆ เรื่อยๆ เพราะว่าความกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศจะทำอยู่คนเดียว ไม่ได้ จะไม่เปิดประเทศเขาก็ไม่มาค้าขายด้วยหรอกประเทศนั้นๆ อันที่สองที่ยิ่งมาทางอากาศ Cyber State ไม่มีพรมแดนอีก แล้วไม่รู้เลยว่าบริษัทนี้อยู่ที่ไหนในโลกนี้ ไม่รู้เลย มันมาแบบนี้แล้ว ไม่เปิดๆ พูดไปก็เท่านั้น เป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น เราอย่าดูตัวเราเอง ทุกวันตื่นเช้ามาอ่านหน้าหนังสือพิมพ์ไทยมีแต่ทะเลาะกันแบบนั้นแบบนี้ ก็พอดีไม่ได้แก้ปัญหาทางเทคนิคของประเทศ ดังนั้น ลดประเด็นที่จะเกิดการทะเลาะกันแล้วเอาเวลาไปประเมินความเป็นจริงของเรื่องทั้งหลาย คนที่จะแก้ได้จะได้ลุกไปหาทางแก้ให้ได้

มองจีนย้อนมองไทย จะกล้าพอไหม – ให้โจทย์รัฐบาลเน้น “กระจาย” มากกว่า “เติบโต”

นายบัณฑูรกล่าวถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาว่าเขาก็ไม่ถึงกับชะลอตัว จะเติบโตไปแบบ 10% มันเป็นไปไม่ได้ ฐานมันใหญ่กว่าเดิมเยอะ แต่เรื่องของเรื่องคืออันแรกเขาสามารถรักษาความเสถียรภาพ อันที่สองคือการกระจายความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ทุกประเทศต้องทำให้ได้ดี รวมทั้งประเทศไทยด้วย ไม่ใช่บอกว่าโตแต่ว่ากระจุกอยู่ข้างบน ข้างล่างฟีบ มันจะไปเจริญได้อย่างไร แล้วประเทศไทยข้างล่างฟีบดูตรงไหน ดูหนี้เสียของธนาคาร หนี้เสียของเอสเอ็มอี ส่วนบุคคล ถ้ามันเยอะแสดงว่าต่อให้ประเทศไทยประกาศว่ามีการเจริญเติบโต กระตุกขึ้นมาจริง ก็จริงนะ แต่การกระจายความมั่งคั่งยังไม่เกิดขึ้นในทันที เป็นโจทย์สำคัญอย่างยิ่งของการเมืองไทย จะทิ้งให้คนจำนวนมากจนอยู่ข้างล่างมันเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้แบบนั้น

เช่นเดียวกับเรื่องเสถียรภาพการเงินของจีนที่มีหนี้สินมาก นายบัณฑูรกล่าวว่า เราอยู่กับเขามาตลอดเป็นโครงสร้างอันหนึ่งของเขา ซึ่งเขาไม่ใช่ว่าไม่รับทราบไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง เขาก็แก้ คือทุกประเทศก็มีปัญหาโครงสร้างของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญคือผู้บริหารประเทศรู้ไหมเนี่ยว่าโครงสร้างแบบนี้มันเป็นความเสี่ยงที่จะต้องได้รับการแก้ ถ้ารัฐบาลรู้ ก็คือเขากำลังทำหน้าที่ของเขา ที่ไหนก็มีความเสี่ยงหนี้สินมากพ้นล้นตัว โครงสร้างการจัดการไปเอื้ออำนวยต่างๆ ความเสี่ยงทั้งนั้นที่สู้ไม่ได้ในอนาคต ถามว่าเขาแก้หรือไม่ ก็แก้

“แทนที่จะไปดูของจีนมาดูของไทย จะแก้ไหมเนี่ย ปฏิรูปๆ ที่พูดกันอยู่จะทำได้จริงไหมเนี่ย เสนอขึ้นไปเขาจะเอาด้วยไหมเนี่ย อย่างที่ไปนั่งประชุมปฏิรูปอยู่ 10 คณะ ทุกคนทำงานกันเต็มที่บอกให้ก็ได้ ทุกคนทำงานเต็มที่เพื่อประเทศไทย ตั้งใจดีทั้งนั้น มีข้อเสนอแบบผาดโผนเลย แต่ไม่รู้ว่าเสนอเข้าไปแล้วเขาจะเอาด้วยไหมเนี่ย เพราะว่าข้อเสนอมันผ่าลงไปกลางวงเลยนะ บอกให้ก็ได้ มันผ่าไปในโครงสร้างอำนาจเดิมเลย โดยเฉพาะโครงสร้างอำนาจของรัฐของราชการต่างๆ ยากมาก ยากมาก แต่ไม่เช่นนั้นจะมาเป็นรัฐบาลทำไมถ้าไม่กล้า ไม่กล้าปฏิรูป ไม่กล้าหักโครงสร้างอำนาจแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีใครเป็นผู้ร้ายเป็นการส่วนตัว มันเป็นโครงสร้างซึ่งถ้าไม่แก้ไทยไม่ไปถึงไหน ไม่ไป 4.0”

ภายใน 1 ปีข้างหน้า ซึ่งตอนนี้สิ้นปีนี้ต้องส่งการบ้านรัฐบาลแล้ว เขาต้องไปถกกันต่อ ข้อเสนอรับรองได้พิสดารทั้งนั้น กล้าทำไหมครับ กล้าทำไหมครับ คณะผมรับรองได้เสนอไปไม่เหมือนเดิม พูดไปเดี๋ยวจะล้ำเส้น แต่ถามว่าฉีกแนวไปจากเดิมหรือไม่ ฉีกแนว แล้วเสนอโดยใครก็อดีตข้าราชการทั้งนั้น ที่ตัวเองอยู่ในระบบราชการมาทั้งชีวิตก็เห็นความไม่เอาไหนของระบบที่มันไม่สนองกับความเป็นจริงของการแก้ปัญหาให้ประชาชนอีกแล้ว พูดในหลักการพูดแบบนี้ รายละเอียดรอให้เขาไปเสนอดีกว่า

“ดูซิว่าจะกล้าแก้กันหรือไม่ โจทย์ของมนุษย์อยู่ตรงนี้คือไม่เปลี่ยนจะด้วยเหตุใดก็ตาม หรือไม่มีความสามารถที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุอะไรก็ตาม ไม่สามารถต้านแรงต่อต้านโดยโครงสร้าง ไม่สามารถโน้มน้าวทีมงานให้มาด้วยกันได้ มันก็แก้อะไรไม่ได้ ก็แพ้ แล้วถ้าแพ้ในระดับรัฐคือพาประชาชนทั้งประเทศแพ้ นั่นคือความน่ากลัวและท้าทายอย่างยิ่งของการเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะได้อำนาจมาด้วยวิธีใดก็ตาม พาประชาชนไม่ไปสู่ความเจริญ ไปไม่ได้ คือไม่ทำหน้าที่และไม่ควรจะเป็นรัฐบาลใครก็ตามที่รับเป็นรัฐบาล เห็นอยากจะเป็นนักนี่ จะรับโจทย์นี้ทำเต็มไหมเนี่ย ถ้าไม่เต็มอย่ามารับเลือกตั้ง มันดูถูกคนไทยเกินไป”

นายบัณฑูรกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันว่าตอนนี้สัญญาณเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา ตัวเลขอะไรก็ดีขึ้น แต่ก็อีกความมั่งคั่งมันกระจายหรือไม่ หรือมันกระจุก ถ้าไม่กระจายมันยิ่งมีคนช้ำใจมากขึ้น ไอ้นี่รวยแล้วรวยอีก ข้างล่างไม่มีกินเหมือนเดิม พืชผลอะไรก็ขายไม่ได้ราคา จะให้มความสุขได้อย่างไร คืนความสุขไม่ได้สิ จะแจกเงินทุกวันแบบนี้ แต่ก็ต้องทำแบบนี้ก่อนนะ เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ว่ากัน แต่ตลอดชีวิตจะทำแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ประเทศไทยจะต้องทำได้ดีกว่านี้ ไม่เช่นนั้นนั่งแจกเงินทุกวัน

นายบัณฑูร ล่ำซำ

ชี้อยู่ที่รัฐบาลมีคนเก่ง-ตั้งใจ ไม่เกี่ยวเลือกตั้ง

นายบัณฑูรกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการเลือกตั้งในปีหน้าว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งรัฐบาลเดียวกันยังเปลี่ยนรัฐมนตรี มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ว่าตอบโจทย์ที่เกิดขึ้น ที่แต่ก่อนไม่มีหรือประเมินแล้วอันนี้ใช้ไม่ได้ผลต้องแก้ ถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือประเมินอย่างตรงไปตรงมา อย่างที่เมื่อวานพูดกับบางท่าน หน้าที่ของสื่อมวลชนคือเอาความจริงมาวางบนโต๊ะให้รัฐบาลและประชาชนได้เห็น ไม่ใช่ไปยั่วโมโหนายกรัฐมนตรี มันก็เท่านั้น ก็รู้ว่าพูดไปเขาต้องโว้กว้ากเข้ามา เอาความจริงของผลงานของแต่ละหน่วยงานของแต่ละกระทรวงมาวางบนโต๊ะให้ประชาชนและรัฐบาลเห็น ตัวนั้นจะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วมันทนอยู่กับสิ่งที่มันผิดไม่ได้หรอก ขอให้พูดให้ชัดเจน เป็นคณิตศาสตร์ เป็นรูปแบบ ไม่ต้องไปว่าให้ข้อมูลเป็นตัวติเตียนเอง แล้วมันจะมีความคืบหน้าที่สร้างสรรค์ในการบริหารราชการแผ่นดิน

ส่วนอยากเห็นการเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อยากเห็นคนที่อยากเป็นรัฐบาลเนี่ย มาพร้อมด้วยความตั้งใจและความรู้ที่จะแก้ปัญหาให้ประเทศไทย ไม่ใช่ว่ามีอำนาจมาเพียงเพื่อเสวยอำนาจอย่างที่ผ่านๆ มา แล้วแก้ปัญหาประเทศชาติไม่ได้ แล้วถึงได้วุ่นวายกันถึงทุกวันนี้ไง

“ส่วนปัญหาที่รัฐบาลควรแก้พูดไปก็เท่านั้นทุกคนก็โวยวายด้วยกันหมด ทางแก้คือมีความพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่จะพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญ มันต้องมีแผนอันนี้และต้องมีบุคลากรที่มีความสามารถที่จะนำพาให้เกิดตรงนั้นให้ได้ ไม่ใช่แก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจหรืออะไร พูดอีกก็ถูกอีกทั้งนั้น ผมพูดว่าแก้ปัญหาป่าต้นน้ำน่านก็สำคัญ แต่มันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือภาพรวมมันมีความเป็นไหมเนี่ย ก่อนที่จะเสนอหน้ามาให้ประชาชนเลือกเป็นรัฐบาลเนี่ย มีความสามารถหรือไม่ หรือว่าหน้าเดิมๆ ทำกันมาแบบเดิมๆ และกลับไปทำแบบเดิมๆ แบ่งเงินกันกินกันแบบเดิมๆ ไม่เอาครับ ไม่เอาครับ”