ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ยัน พระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ พร้อม หยุด 26 ต.ค. วันเดียว – ไฟเขียวงบกลางอีก 6,281.5 ล. สร้างความเข้มแข็งศก.ในประเทศ

นายกฯ ยัน พระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ พร้อม หยุด 26 ต.ค. วันเดียว – ไฟเขียวงบกลางอีก 6,281.5 ล. สร้างความเข้มแข็งศก.ในประเทศ

27 มิถุนายน 2017


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน

พระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ พร้อมแน่ ก.ย. นี้ – เบื้องต้นหยุด 26 ต.ค. วันเดียว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีความคืบหน้าการเตรียมจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง รัชกาลที่ 9 โดยระบุว่า ทุกอย่างจะมีความพร้อมในเดือนกันยายน 2560 เพื่อเตรียมให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560 ซึ่งขณะนี้ทุกอย่างมีความพร้อมตั้งแต่ 60% ไปจนถึง 90% ตามลำดับ

การฝึกซ้อมริ้วขบวนต่างๆ มีการเริ่มฝึกซ้อมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 เป็นต้นไป จะมีครูฝึกแยกไปเป็นการฝึกซ้อมย่อยก่อนที่จะมีการฝึกซ้อมใหญ่ต่อไป ทั้งหมดได้มีความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สำหรับวันหยุดราชการในช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม 2560 เป็นวันหยุดราชการเพียงวันเดียว

ทั้งนี้มีรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีวันหยุดราชการในช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ถวายรายงานกำหนดวันหยุดต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เบื้องต้นกำหนดไว้เพียงวันเดียวคือวันที่ 26 ตุลาคม 2560 แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และความเหมาะสมในอนาคต

ยังไม่ทราบผล TIP Report ขออย่าคาดการณ์ล่วงหน้า

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีผลความคืบหน้ารายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Person Report: TIP Report) ที่จัดอันดับโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ตนยังไม่ทราบผลการจัดอันดับของประเทศไทย ขออย่าเพิ่งคาดการณ์ล่วงหน้า แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร รัฐบาลยังยืนยันในเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ซึ่งวันนี้ก็ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือและความเข้าใจจากทุกภาคส่วน  ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือเอ็นจีโอ ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

ต่อคำถามกรณีกำหนดการเดินทางไปสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย และหากทราบกำหนดการเดินทางที่แน่นอนแล้ว จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่เกิน 10 วันก่อนการเดินทาง ซึ่งทางประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคมที่จะกระชับความสัมพันธ์ที่มีมายาวนานกว่า 180 ปีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ

ยังไม่คิดเรื่องตั้งพรรคฯ ขอทำหน้าที่วันนี้ให้ดีก่อน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณี “โพลนิด้า” สำรวจความคิดเห็นประชาชนระบุว่าต้องการให้มีการตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อมาสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า เรื่องการตั้งพรรคการเมืองตนยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้น วันนี้เพียงแต่คิดว่าจะบริหารราชการแผ่นดินอย่างไรในขณะที่มีรัฐธรรมนูญออกมาแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายลูก ซึ่งหลายอย่างจะไปมุ่งเน้นการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องไปเรื่องกฎหมาย เพราะอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่จะทำให้ได้รัฐบาลที่ดีที่มีคุณภาพมาบริหารประเทศ

“อย่ามากังวลกับผมว่าจะอยู่หรือเปล่า อยู่ยังไง ตั้งพรรคหรือเปล่า ผมยังไม่คิดตรงนี้ ทำวันนี้ให้มันผ่านไปก่อน สถานการณ์จะเป็นตัวชี้ชัดออกมาเองว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปในอนาคต เราต้องคาดหวังในสิ่งที่ดี อย่าไปคิดว่าจะทำนั่นทำนี่เวลานี้ มันทำให้สมาธิเสีย วันหน้าอยู่ที่ประชาชน ก็ขอบคุณผู้สนับสนุน ผู้ไม่สนับสนุนก็ขอบคุณ เพราะรับฟังความเห็นสองทาง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยินดี สปท.-สนช. ลาออกสมัครการเมือง ยันไม่กระทบโรดแมป

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีพรรคการเมืองรุมค้านระบบไพรมารีโหวต พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าหาข้อยุติไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องของตน เพราะตนไม่ได้เป็นผู้ให้สัญญาณไม่ผ่าน กรณีดังกล่าวเป็นการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) และต้องฟังความเห็นของกรรมาธิการทั้งเสียงข้างมากและข้างน้อย ที่สำคัญคือต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีผลกระทบทำให้การเลือกตั้งช้าลง

ต่อกรณีมี สปท. และ สนช. เตรียมลาออกเพื่อลงสมัคร ส.ส. พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่สามารถไปห้ามได้ และไม่ได้ลาออกทั้งหมด แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีอนาคตทางการเมือง คนที่เหลืออยู่ยังทำงานอยู่ ซึ่งตนขออวยพรให้ประสบความสำเร็จ พร้อมยืนยันว่าการลาออกนี้ไม่กระทบโรดแมป ถ้าตนยังอยู่ก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามโรดแมป

เชื่อ ร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับไม่ขัด รธน.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกลุ่มการเมืองเตรียมยื่นศาลตีความ กรณีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยุทธศาสตร์ชาติ – ร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฏิรูป ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งระยะเวลาที่มีการร่างกฎหมายเหล่านี้ก่อนที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ว่า ตนเชื่อว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายและทุกกฎหมายมีการรับฟังความคิดเห็นมาโดยตลอด ซึ่ง สนช. ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายแล้ว

“มีแต่นักการเมืองที่คอยพูดจาให้มีปัญหาทุกเรื่องเพราะไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่งหวังดีหรือไม่ ไม่รู้เจตนามณ์ อย่าเอาเหตุการณ์ในอดีตมาไล่ล่าวันนี้กับรัฐบาลนี้ ผมต้องทำความเข้าใจ เพราะจะบังคับใครไม่ได้มากนัก แม้บังคับได้แต่ผมไม่บังคับ แต่ต้องรับฟังกันบ้าง วันนี้เราต้องปฏิรูปความคิด ปฏิรูปการปฏิบัติรูปแบบใหม่ๆ ไม่ใช่กฎหมายใหม่ก็ทำไม่ได้ กฎหมายเก่าก็ไม่ยอมรับ แล้วจะอยู่อย่างไร ดังนั้น หากยื่นศาลก็ยื่นไป จะขัดไม่ขัดก็เป็นเรื่องของศาล ผมไม่ไปละเมิดศาล” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ไม่เห็นด้วย “วิทยา” ชงใช้ ม.44 ระงับแต่งตั้งโยกย้าย ตร.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีนายวิทยา แก้วภราดัย อดีตแกนนำ กปปส. เสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ระงับการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจไว้ก่อน จนกว่าการปฏิรูปตำรวจจะแล้วเสร็จ ว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ เพราะจะกระทบต่อตำรวจที่ไม่มีปัญหาในการแต่งตั้ง ตรงไหนที่มีปัญหาก็ไปแก้ตรงนั้นเป็นรายกรณีต้องแยกแยะให้ออกเพราะยังอยู่ในกระบวนการ

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการปฏิรูปตำรวจ และทางรัฐบาลจะตั้งคณะทำงานปฏิรูปตำรวจซึ่งมีรายชื่อมาแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมไว้ที่ฝ่ายกฎหมาย การทำงานต้องให้สอดคล้องกับคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจภายใน ซึ่งเหลือเวลาอีก 9 เดือน จึงต้องเน้นการปฏิรูปองค์กร การปฏิรูปกฎหมายกระบวนยุติธรรมของตำรวจ และบุคลากร เป็น 3 กลุ่มที่ตนให้ข้อเสนอไปและได้สั่งให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปหารือดำเนินการให้ตรงกับที่สั่งการไปเพื่อให้สอดคล้องกัน และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเป็นคณะกรรมการปฏิรูป วันนี้ต้องทำให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประชาชน

ยัน รบ. ยังไม่ได้รับเรื่องโครงการก่อสร้างสนามบินพังงา

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการขออนุมัติก่อสร้างสนามบินพังงา ในพื้นที่เขตป่าสงวนกว่า 2 พันไร่ ว่าเรื่องนี้ยังไม่มีการเสนอขึ้นมาอย่างเป็นทางการ จึงต้องเป็นเรื่องของการขออนุมัติขึ้นมาให้ถูกต้อง ถ้าทำได้ก็ทำได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ และในส่วนของรัฐบาลยังไม่มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการพิจารณาจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาสนามบินภายในประเทศของกระทรวงคมนาคม ต้องมีความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และการเชื่อมโยงในประเทศของเราก็ต้องให้เกิดความทั่วถึง ซึ่งต้องมีการพิจารณาทั้งเรื่องทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และการรักษาผลประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติให้เหมาะสมด้วย

ชี้ เปิดบัญชีทรัพย์สิน ผอ.โรงเรียน ต้องให้องค์กรอิสระพิจารณา

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีอดีตนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยและอาจารย์ด้านครุศาสตร์เสนอให้ผู้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินฯ ก่อนรับตำแหน่งและหลังพ้นจากตำแหน่ง เพื่อแก้ปัญหาแป๊ะเจี๊ยะ ว่า การขอเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระจะพิจารณาเองว่าสิ่งไหนที่เหมาะสมจะเปิดเผยหรือต้องรอให้หมดวาระงานหรือเกษียณอายุก่อน ถึงจะเปิดเผยเรื่องดังกล่าวได้

ต่อกรณีคดีจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเพียงว่า เขาทำไปตามขั้นตอน ตามกำหนดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นในเดือนไหนทำไมต้องไปขยายความ แต่ถ้าถึงเวลาเขาไม่ทำค่อยไปถามว่าทำไมถึงไม่ทำ

นายกฯ ฝากกลอน “ประเทศไทย 4.0” ถึงประชาชน

นายกรัฐมนตรี ได้ฝากกลอนซึ่งได้ใช้เวลาว่างในการแต่งกลอน ชื่อกลอนประเทศไทย 4.0 มีเนื้อหาว่า

“คำว่าไทย คือไทย ด้วยใจรัก
ร่วมใจภักดิ์ ต่อชาติ ศาสนา
สถาบัน คงอยู่ คู่นานมา
เป็นม่านฟ้า ปกป้อง ล้วนผองไทย

มาวันนี้ สืบสาน ทำงานต่อ
แผ่นดินพ่อ แผ่นดินแม่ ช่วยแก้ไข
ให้ยั่งยืน ตื่นเถิด สังคมไทย
ก้าวต่อไป อนาคต ให้มั่นคง

เราลูกหลาน ช่วยสาน สืบงานต่อ
อย่ารั้งรอ ขัดแย้ง แกล้งเล่าขาน
ทำวันนี้ ดีกว่า ปล่อยช้านาน
ทำเพื่อบ้าน เมืองเรา ให้เท่าทัน

ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ
เปลี่ยนชีวิต รายได้น้อย ค่อยส่งเสริม
คนละน้อย ร้อยท่อ ช่วยต่อเติม
เร่งส่งเสริม รายได้ ให้มั่นคง

พัฒนาคน การศึกษา พาไทยรุ่ง
ล้วนต้องมุ่ง ตามประสงค์ จำนงหมาย 
สร้างสังคม ปลอดภัย ไม่วุ่นวาย
ช่วยผ่อนคลาย มีสุข ทุกครอบครัว

สิ่งสำคัญ วันนี้ คือกฎหมาย
ไม่ท้าทาย ยึดถือ เป็นพื้นฐาน
ช่วยกันทำ ช่วยกันเริ่ม เสริมยาวนาน
เป็นการงาน ผองไทย ร้อยใจกัน

ประชารัฐ ช่วยเสริม ใช้เติมแต่ง
ทุกหนแห่ง กิจกรรม ทำสร้างสรรค์
ไทยเจริญ ด้วยไทย ไปพร้อมกัน
ทำความฝัน ต้องการ ให้เป็นจริง

ต้องลดแรง เร่งขจัด ความขัดแย้ง
ลดระแวง เชื่อมั่น เพื่อวันหน้า
สืบสานต่อ โบราณ นานนำมา
ให้ก้าวหน้า ด้วยไทย ใจมั่นคง

สู่เศรษฐกิจ 4.0 จากมูลฐาน
ทุกกิจการ พัฒนา อย่าใหลหลง
สู้อาชีพ สู้งาน บ้านมั่นคง
มุ่งจำนง ปวงชน ทุกคนไทย”

มติ ครม. ที่น่าสนใจอื่นๆ มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

จัดสรร 1,841 ล้านบาท ประกันภัยข้าวนาปี พร้อมลดเบี้ยประกันลง

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 วงเงิน 1,841.1 ล้านบาท เป็นเงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการในปี 2559 จำนวน 203.94 ล้านบาท และที่เหลือเสนองบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 1,637.15 ล้านบาทโดยให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายไปก่อน เทียบกับปีก่อนหน้าที่ตั้งวงเงินงบประมาณไว้ 2,071.13 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีพื้นที่เป้าหมายรับประกันตั้งแต่ 25-30 ล้านไร่ วงเงินคุ้มครอง 1,260 บาทต่อไร่ ครอบคลุมภัยธรรมชาติ 6 ภัย คือ น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ ยกเว้นภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดที่จะชดเชย 630 บาทต่อไร่ เนื่องจากปกติความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นทั้งหมด โดยคิดเบี้ยประกัน 97.37 บาท (รวมภาษี) รัฐบาลจะอุดหนุนจำนวน 61.36 บาท ขณะที่ลูกค้า ธ.ก.ส. จะได้รับการอดหนุนจาก ธ.ก.ส. อีก 36 บาท ส่วนเกษตรกรที่ไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อจะต้องรับภาระเบี้ยประกันส่วนนี้แทน โดยมีระยะะเวลาขายประกันตั้งแต่ฤดูกาลเพาะปลูกถึง 31 สิงหาคม 2560 (ยกเว้นภาคใต้ที่ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2560 เนื่องจากฤดูเพาะปลูกที่ช้ากว่า)

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับโครงการของปี 2559 ตั้งวงเงินไว้ 2,071.13 ล้านบาท มีพื้นที่คุ้มครอง 30 ล้านไร่ และได้รับการคุ้มครองเพียง 1,111 บาทต่อไร่ และ 555 บาทต่อไร่ สำหรับภัยศัตรูพืชและโรคระบาด และต้องจ่ายเบี้ยประกันตั้งแต่ 107.42-108.07 บาท อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงมีพื้นที่เข้าร่วมโครงการ 27.2 ล้านไร่ จำนวน 1.57 ล้านราย มีผู้ได้รับความเสียหาย 79,715 ราย คิดเป็นค่าสินไหมทดแทน 597 ล้านบาท

นอกจากนี้ ครม. ยังอนุมัติให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบผู้ประสบภัยแต่อยู่นอกพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ เพื่อให้ดูแลเกษตรกรอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน และการจ่ายเงินสินไหมทดแทนในปีนี้จะเพิ่มช่องทางการจ่ายผ่านระบบพร้อมเพย์โดยตรง

ไฟเขียวงบกลางรอบสอง 6,281.5 ล.บ. สร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจในประเทศ

ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศรอบที่ 2 อีก 3,828.171 ล้านบาท จำนวน 18 หน่วยงาน รวม 28 โครงการ โดยมีคำขอเข้ามาทั้งสิน 20 หน่วยงาน 32 โครงการ วงเงิน 4,939.597 ล้านบาท โดยหน่วยงานที่ไม่ได้รับจัดสรร ได้แก่ จังหวัดพังงาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (รายละเอียดดังนี้: รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ)

ก่อนหน้านี้ ครม. ได้อนุมัติวงเงินเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ไปแล้ว 6,281.52 ล้านบาท 35 โครงการ 9 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ 7 โครงการ วงเงิน 2,092.05 ล้านบาท, กระทรวงสาธารณสุข 1 โครการ วงเงิน 1,258.01 ล้านบาท, สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา 14 โครงการ 1,422.99 ล้านบาท, สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา 1 โครงการ วงเงิน 694.46 ล้านบาท, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 5 โครงการ วงเงิน 246.35 ล้านบนาท, สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ 1 โครงการ วงเงิน 161.42 ล้านบาท, การประปาส่วนภูมิภาค 2 โครงการ 92.2 ล้านบาท, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ 1 โครงการ 70.55 ล้านบาท และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย 3 โครงการ 243.47 ล้านบาท

อนึ่ง ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ได้กำหนดกรอบวงเงินงบกลางรายการดังกล่าวไว้จำนวน 19,942.79 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสอดคล้องเชื่อมโยงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ของจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด ซึ่งไม่สามารถเสนอรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว เนื่องจากมีรูปแบบงานที่ซับซ้อน ต้องใช้ระยะเวลาเตรียมการนาน หรือเป็นโครงการตามมติ ครม. หรือตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี หรือโครงการจากการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินการงานของส่วนราชการมีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อุดหนุนเอสเอ็มอีใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำธุรกิจ

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. [มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท สำหรับเงินได้เป็นจำนวน 1 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือจ้างทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยได้ซื้อหรือจ้างทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือได้ใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากผู้ขายหรือผู้รับจ้างทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2560 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2562

เชื่อมทางด่วนศรีรัช-แจ้งวัฒนะ 275 ล้านบาท

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 โดยมีสาระสำคัญคือการสร้างทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ ไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือที่มุ่งไปทางถนนแจ้งวัฒนะจากเดิมที่ต้องลงเข้าไปยังกลางเมืองที่บางซื่อก่อนไม่สามารถข้ามไปยังถนนแจ้งวัฒนะได้โดยตรง ทำให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รวมทั้งสร้างปัญหาการจราจรเพิ่มเติม ทั้งนี้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทานจะรับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างมูลค่า 275 ล้านบาท โดยไม่แก้ไขเงื่อนไขสัญญาใดๆ และคาดว่าจะมีปริมาณการจราจรเพิ่มขึ้น 2,600 PCU (Passenger Car Unit) ต่อวัน และทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 1.77% ต่อปีตามปริมาณการจราจร

ไฟเขียวสร้าง “หอชมเมืองกรุงเทพฯ” โดยไม่ต้องประมูล

พ.อ. อภิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบยกเว้นโครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.3257 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร โดยให้สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนได้แบบไม่ใช้วิธีประมูล โดยโครงการดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 4,621 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนประมาณ 4,422 ล้านบาทและที่ดินประมาณ 198 ล้านบาท

โดยแหล่งเงินทุนมาจาก 1) เงินทุนของมูลนิธิหอชมเมืองฯ 2) เงินกู้จากสถาบันการเงิน และ 4) เงินบริจาคจากบริษัทชั้นนำ ซึ่งรายได้จากการดำเนินการหลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคให้องค์กรสาธารณกุศลตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ

“การก่อสร้างนี้จะเป็นต้นแบบในการน้อมนำศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย เป็น New Global Destination โดยการก่อสร้างอาคารขนาดสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Zero Discharge ส่วนสาเหตุที่มีการขอยกเว้นดำเนินการโดยไม่ใช้วิธีการประมูล เนื่องจากจะทำให้เกิดความล่าช้าและเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่อาจไม่มีเอกชนใดสนใจเข้ามาประมูล จึงใช้วิธีการคัดเลือกเอกชนในการดำเนินงาน โดยบริษัทเอกชนนี้จะต้องจัดทำแผนการสัญจรเพื่อที่จะบรรเทาปัญหาการจราจรที่จะติดขัดในช่วงดำเนินการ รวมถึงนำงบประมาณที่เหลือจากการก่อสร้างโครงการไปใช้ประโยชน์ในด้านสังคมต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความโปร่งใส” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

ออก ม.44 ต่อเวลาแจ้งสิ่งปลูกสร้างขวางลำน้ำอีก 60 วัน

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม คสช. มีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. เกี่ยวกับเรื่องของพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย ฉบับใหม่ โดยขยายเวลาให้ประชาชนอีก 60 วัน ในการแจ้งว่าได้มีการรุกล้ำน่านน้ำ จากเดิมสิ้นสุดการแจ้งในวันที่ 22 มิถุนายน 2560 และจะมีระยะเวลาสำหรับเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาอีกประมาณ 180 วัน

“ที่ผ่านมา พ.ร.บ.การเดินเรือที่แก้ไขใหม่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการและประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวริมน้ำ รวมทั้งมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตการทำประมง ถ้านับตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 ที่มีการประกาศใช้เป็นต้นมาก็จะครบในวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าตรวจสอบพบว่าคนที่ล่วงล้ำเข้าไปในเขตลำน้ำทั้งประเทศมีประมาณ 100,000 รายกว่าๆ แต่มีคนมาแจ้งเพียง 30,000 รายเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่มีคนมาแจ้งยังไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์นั้น เพราะถ้าใครมาแจ้งแน่นอนว่าต้องผิดกฎหมาย และมีโทษปรับขั้นรุนแรง หากถ้าไม่มาแจ้งก็มีโทษปรับ ตั้งแต่ 1,000-20,000 บาทต่อตารางเมตร หรือถ้ามีการสั่งให้รื้อ และเมื่อครบกำหนดยังไม่มีการรื้อก็ต้องถูกปรับอีกวันละไม่เกิน 20,000 บาท เพราะฉะนั้น ในวันนี้จึงจำเป็นต้องมีมติเห็นชอบ คสช.” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่มาแจ้งจะได้รับการยกเว้นโทษย้อนหลัง แต่จะได้รับอนุญาตหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณา โดยสิ่งที่มีการรุกล้ำไปแล้วจะไม่เสียค่าปรับ แต่จะมีอัตราค่าเช่า 5 บาทต่อตารางเมตร ส่วนที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการประมงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่น โพงพาง จะต้องถูกรื้อถอน

อนึ่ง เนื้อหาการแก้ไข พ.ร.บ. ดังกล่าวระบุว่า การล่วงล้ำลำน้ำ หมายถึง แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล ทะเลสาบ โดยมีการกีดขวางการเดินเรือ กีดขวางการใช้ประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม เป็นเรือนแพ เป็นบ้านริมน้ำ เป็นกระชังเลี้ยงปลาหรือจะเป็นหลักที่ปักไว้สำหรับผูกเรือประมง ทั้งหลายเหล่านี้ถือว่าเป็นการรุกล้ำ ล่วงล้ำเขตลำน้ำทั้งสิ้น