ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ยังงดให้สัมภาษณ์ เขียนตอบ ยันทหารนั่ง “บอร์ดรัฐวิสาหกิจ” เพียงสังเกตการณ์ – มติ ครม. จี้หน่วยงานรัฐล้างหนี้ค่าน้ำ/ไฟ 600 ล้านบาท

นายกฯ ยังงดให้สัมภาษณ์ เขียนตอบ ยันทหารนั่ง “บอร์ดรัฐวิสาหกิจ” เพียงสังเกตการณ์ – มติ ครม. จี้หน่วยงานรัฐล้างหนี้ค่าน้ำ/ไฟ 600 ล้านบาท

6 มิถุนายน 2017


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธานประชุม ครม. ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีเพียงโบกมือทักทายสื่อมวลชนแล้วเดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าโดยไม่มีการให้สัมภาษณ์เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังคงใช้วิธีเขียนตอบคำถามสื่อมวลชนเช่นเดิม โดย พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อ่านลายมือนายกรัฐมนตรีให้แก่บรรดาผู้สื่อข่าวทราบ

ยันไม่มีใครก้าวก่าย กกต.ได้

พล.อ. ประยุทธ์ เขียนตอบคำถามเรื่องเซ็ตซีโร่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รัฐบาลและ คสช. มีความเห็นอย่างไร เพราะขณะนี้กลายเป็นความขัดแย้ง โดยเฉพาะ กกต. กรรมการชุดปัจจุบันบางคนไม่เห็นด้วย แต่คัดค้านรุนแรง ขณะที่ฝายการเมืองบางกลุ่ม บางพรรค บอกว่าเป็นความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช.

นายกรัฐมนตรีระบุว่า ไม่ทราบว่ามองในแง่นั้นได้อย่างไร และ คสช. จะสืบทอดได้ย่างไร เพราะ กกต. มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง จึงเห็นว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้มีการสืบทอดอำนาจได้

เล็งเอาผิดหัวหน้าหน่วยหากพบ “ซีซีทีวี” ใช้ไม่ได้

พล.อ. ประยุทธ์ เขียนตอบคำถามกรณีประเด็นความไม่โปร่งใสในการบริหารงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ล่าสุดคือเรื่องการติดตั้งเสาไฟโซลาร์เซลล์ได้รับงบประมาณกว่าพันล้านบาท แต่ชำรุดใช้งานไม่ได้ถึง 80% นอกจากนั้นยังมีเรื่องการใช้งบประมาณอีกหลายเรื่องที่มีปัญหา รัฐบาลรับทราบหรือไม่ และจะดำเนินการแก้ไขอย่างไร

นายกรัฐมนตรีระบุว่า ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ศอบต. และ กอ.รมน. และหน่วยงานทุกหน่วยที่รับผิดชอบไปตรวจสอบ ทั้งการจัดหาและบำรุงรักษาว่ามีการใช้งานบกพร่องหรือไม่ โดยให้รายงานผลกลับมาที่นายกรัฐมนตรีภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมาย พร้อมกล่าวว่าหลายหน่วยงานมีงบประมาณสำหรับจัดหากล้องซีซีทีวีไปติดตั้งอยู่แล้ว และบางพื้นที่กล้องที่ซื้อมาก็หมดอายุนำไปใช้งานไม่ได้ หรือบางพื้นที่หน่วยงานไม่มีงบประมาณในการจัดซื้อ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลกำลังเร่งหาวิธีการแก้ไขอยู่ โดยได้กำชับว่าหากพื้นที่ไหนมีกล้องซีซีทีวีที่ติดตั้งอยู่แล้วและใช้งานไม่ได้ เจ้าของพื้นที่จะต้องรับผิดชอบ

ด้าน พล.ท. สรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมให้หน่วยงานที่มีพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ไปสำรวจกล้องซีซีทีวี ว่ามีสภาพใช้งานได้หรือไม่ได้เท่าไร และเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไข หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วพบว่ามีกล้องซีซีทีวีในความรับผิดชอบหน่วยงานใดไม่ทำงานหัวหน้าหน่วยงานนั้นต้องรับผิดชอบ

แจงพฤติกรรม ตร. ไม่เหมาะต้องลงโทษ-ขอสื่อนำเสนอข่าวอย่างระวัง

พล.อ. ประยุทธ์ เขียนตอบกรณีกระแสเรียกร้องเรื่องปฏิรูปตำรวจมีมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากตำรวจทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมในคดีฆ่าหั่นศพล่าสุด ไม่เว้นแม้แต่ท่าทีการตอบคำถามและรูปแบบการทำงานของ ผบ.ตร. รัฐบาลมีแนวทางเรื่องนี้อย่างไร

นายกรัฐมนตรีระบุว่า หากพบตำรวจมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจะต้องลงโทษทางวินัยส่วนการแถลงข่าวและการให้ข่าวที่มีผลกระทบต่อสังคมก็ต้องให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปก่อนและลดการนำเสนอข่าวการให้ข่าวโดยไม่จำเป็น ส่วนการปฏิรูปตำรวจมีหลายประเด็นที่กำลังดำเนินการทั้งในเรื่องโครงสร้างการบริหารงานนั้นนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะต้องทำไปพร้อมๆ กันซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดเวลาไว้ชัดเจนแล้วและ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็รับทราบในทุกเรื่องแล้ว

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติม ว่า “นายกรัฐมนตรีกำชับในที่ประชุมถึงกรณีดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด อย่าให้ใครหยิบประเด็นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่มาพูดให้เกิดความเสื่อมเสีย และเจ้าหน้าที่ต้องมีวิจารณญาณ รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ แม้สิ่งที่ทำนั้นจะไม่มีกฎหมายกำหนด และการนำเสนอข่าวของสื่อเองต้องระมัดระวัง เนื่องจากจะทำให้คนเสพสื่อส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะเด็กๆ หลงคิดว่าการทำเช่นนั้นเป็นฮีโร่ ดังนั้นจึงควรสร้างการรับรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ควรระมัดระวังการปฏิบัติ เช่น เดียวกับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐก็ต้องระมัดระวังเช่นนั้น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับจากประชาชนมากขึ้น” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ถามกลับ “เอาอะไรมาคิด” รัฐบาลสร้างสถานการณ์เหตุบึ๊ม รพ.พระมงกุฎ

พล.อ. ประยุทธ์ เขียนตอบคำถามประเด็นความคืบหน้าการวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยระบุว่า รัฐบาลและ คสช. กังวลกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นและยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะกำจัดได้หมด ฉะนั้น เราทุกคนในฐานะที่เป็นคนไทยจะต้องสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน คนที่คิดว่าเป็นเรื่องการสร้างสถานการณ์จากฝ่ายเดียวกัน อยากทราบว่าเอาอะไรมาคิด และคนคิด คนจ้างเขาก็ต้องจ้างคนที่สามารถทำการได้ อาจจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือคนไม่ดีที่ไหนก็ได้ ฉะนั้น ทหาร ตำรวจ ที่เขาสร้างมาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในราชการหรือนอกราชการก็ได้ ใครที่เป็นคนไม่ดีก็มีสิทธิ์ที่จะก่อเหตุการณ์แบบนี้ได้ทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ด้านการป้องกันการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลได้ป้องกันทุกระบบ และสร้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในสังคม และการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก็อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคงอยู่แล้ว

ต่อคำถามกรณีทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้าอาวุธสงคราม นายกฯ รัฐมนตรีได้รับรายงานแล้วหรือไม่ และมีข้อสั่งการ หรือเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรี เขียนตอบประเด็นดังกล่าวว่า เป็นสิ่งที่กองทัพพยายามดำเนินการมาตลอดที่จะไม่ให้ทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง การค้าอาวุธสงครามหรือขบวนการต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องกวดขัน ต้องตรวจตราอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้ร่วมขบวนการมีทั้งเจ้าหน้าที่ ประชาชน คนไม่ดี ใครที่ไปร่วมในขบวนการเหล่านี้จะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และจากการตรวจสอบพบว่าอาวุธดังกล่าวมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ยังไม่พบว่ามีการรั่วไหลออกจากคลังแสง หากตรวจพบต้องลงโทษสถานหนัก ทั้งทางวินัยและทางอาญา

ส่วนการลักลอบขนอาวุธหรือกระทำผิดกฎหมายหลายกรณี มักใช้รถที่มีตราของทางราชการเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจค้นนั้น นายกรัฐมนตรีเขียนตอบว่า  ที่ตรวจสอบไม่ใช่รถของทางราชการ มีการสวมทะเบียนและติดป้ายกงจักร เพื่อให้ผ่านด่านได้ ฉะนั้น ทุกด่านตรวจให้ตรวจสอบรถทุกคัน แม้ว่าจะมีตราของทางราชการหรือของหน่วยงานใด ก็ให้เข้มงวดและตรวจสอบทุกคันอย่างเคร่งครัด สำหรับกรณีทหารส่งระเบิดเอ็ม 67 ขายผ่านทางไปรษณีย์เอกชน เรื่องนี้ได้ให้หน่วยทหารตรวจสอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ให้ติดตามรวมถึงให้ ผบ. หน่วยทุกหน่วย หาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีให้ได้ และร่วมกันสอบสวนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แจงไม่ใช่หน้าที่ รบ. ตรวจสอบ ธปท.

พล.อ. ประยุทธ์ เขียนตอบคำถามกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ขอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบสถานะทางบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประสบภาวะขาดทุนกว่า 130,000 ล้าน บาทนั้น

นายกรัฐมนตรีระบุว่า ในกรณีนี้ขอให้รอการชี้แจงจากธนาคารแห่งประเทศไทยถึงเรื่องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร ซึ่งตนเองจะไม่รับเรื่องร้องเรียนจากบุคคลพลเรือนในลักษณะนี้ แต่จะรับเรื่องผ่านทางองค์กรตามกฎหมาย หรือตามที่กระบวนการยุติธรรมส่งเรื่องมาให้ ดังนั้นจึงขอให้บุคคลที่มีเรื่องอยากร้องเรียนดำเนินการตามกระบวนการช่องทางที่ถูกต้อง

ยันทหารนั่ง “บอร์ดรัฐวิสาหกิจ” เพียงสังเกตการณ์

พล.อ. ประยุทธ์ เขียนตอบกรณีที่นายทหารเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจจำนวนมาก โดยระบุว่าช่วงที่ผ่านมามีปัญหาภายใน บอร์ดรัฐวิสาหกิจ จึงให้ทหารเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ ไม่ใช่ไปนั่งยกมือแสดงความคิดเห็น หลายเรื่องรัฐบาลได้แก้ไขปัญหาไปแล้ว โดยได้รับข้อมูลเป็นสัดส่วนของกรรมการในบอร์ด ก็มีตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่เอาทหารไปนั่งมากและไปตัดสัดส่วนอื่นออก เป็นบอร์ดกรรมการทั่วไปไม่ได้เป็นกรรมการเฉพาะทาง

เตรียมเยือนสหรัฐฯ ปลาย ก.ค.

พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ให้สัมภาษณ์ถึงกำหนดการเยือนสหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้กำหนดวันเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอยู่ระหว่างที่กระทรวงการต่างประเทศประสานงาน เราต้องรอการยืนยันวันเวลาจากทางสหรัฐฯ เบื้องต้นจากที่ได้มีการพูดคุยในระดับเจ้าหน้าที่ คาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2560 แต่ยังคงต้องรอการยืนยันจากทั้ง 2 ฝ่ายสำหรับประเด็นคร่าวๆ ที่จะหารือระหว่างกันนั้นยังไม่มีรายละเอียด เพียงแต่มีข้อสั่งการให้เตรียมไว้ ทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานความมั่นคง เรื่องการค้ามนุษย์ เรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

มติ ครม. มีดังนี้

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

อนุมัติทางด่วน “พระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอก” 31,244 ล้านบาท

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) วงเงิน 31,244 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินเวนคืนจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 807 ล้านบาท จัดสรรจากเงินงบประมาณ และวงเงินก่อสร้าง 30,437 ล้านบาท จะจัดสรรจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund หลังจาก ครม. ได้เห็นชอบในอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยมีกรอบเวลาการเวนคืนเริ่มต้นจากเดือนกันยายน 2560 – เดือนกุมภาพันธ์ 2562 และก่อสร้างตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 – เดือนกุมภาพันธ์ 2564

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและการเงิน 19.84% และ 3.35% ตามลำดับ และเก็บอัตราค่าผ่านทางทั้งสองช่วงที่ราคา 60, 120 และ 180 บาท ตามประเภทรถ และจะปรับขึ้น 10 บาททุก 5 ปี และหากใช้เพียงช่วงเดียวจะคิดค่าผ่านทาง 30 60 และ 90 บาทตามประเภทรถ และจะปรับขึ้นทุก 5 บาททุก 5 ปี

กู้เงิน 1,777 ล้านบาท เสริมสภาพคล่อง ขสมก. เหตุรัฐจัดสรรงบล่าช้า

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. มีมติให้องค์การขนส่งมวลชน (ขสมก.) กู้เงิน 1,777 ล้านบาท เพื่อชำระรายจ่ายค้างชำระ แบ่งเป็นค่าน้ำมัน 995 ล้านบาทและค่าเหมาซ่อมบำรุง 781 ล้านบาท เนื่องจาก ขสมก. ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลได้ทันงวดการจ่ายเงิน ซึ่งการไขปัญหาที่ผ่านมาจะต้องค้างชำระค่าใช้จ่ายและเมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณจึงจะนำไปจ่ายพร้อมดอกเบี้ย ขณะที่การกู้เงินในครั้งนี้จะช่วยให้ ขสมก. และรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพียง 2.15% ซึ่งประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ประมาณ 4-5%  หรือตกเดือนละ 6.74 ล้านบาท นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังได้สั่งการถึงแนวทางการแก้ไขในช่วงต่อไปว่าให้ ขสมก. ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับกระบวนการงบประมาณให้มีความสอดคล้องกัน เพื่อที่จะไม่ต้องประสบปัญหาค้างชำระอีก

ผ่านแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน 20 ปี – 226,078 ล้านบาท

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. 2560-2579 ระยะเวลา 20 ปี วงเงิน 226,078 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ คือ 1) ขยายพื้นที่ชลประทานในไร่นา วงเงิน 136,867 ล้านบาท 2) รักษาพื้นที่เดิมที่มีการจัดระบบชลประทานในไร่นา 73,551 ล้านบาท 3) บูรณาการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต 19,695 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานในพื้นที่ 14.461  ล้านไร่ สามารถประหยัดน้ำได้ 20,361 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากปรับเปลี่ยนวิธีการส่งน้ำจากปล่อยให้น้ำล้นไปที่ละพื้นที่เป็นเชื่อมโยงท่อไปยังพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมดแทน นอกจากนี้ ยังคาดการว่าจะช่วยลดต้นทุนการทำเกษตรกรรมเฉลี่ยครัวเรือนลดลง 4,124 บาทต่อครัวเรือนต่อปี และมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 37,141 บาทต่อครัวเรือนต่อปี หรือเป็นรายได้สุทธิ 41,265 บาทต่อครัวเรือนต่อปี หรือรวมแล้วทั้งโครงการจะสร้างรายได้สุทธิ 663,054.7 ล้านบาท

จี้หน่วยงานรัฐล้างหนี้ค่าน้ำ/ไฟ 600 ลบ. – ทีโอที แชมป์ถูกเบี้ยว 308 ลบ.

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบมาตรการแก้ไขหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วนราชการ แบ่งเป็นหนี้ค่าชำระก่อนปี 2560 ให้ปรับแผนการใช้งบประมาณปี 2560 มาชำระหนี้ดังกล่าวได้ และถ้าหน่วยราชการดังกล่าวมีวงเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินรายได้หรือเงินที่รับไว้เป็นสวัสดิการของหน่วยงาน ให้นำเงินดังกล่าวไปชำระหนี้สาธารณูปโภคไม่ต่ำกว่า 25% ของค่าสาธารณูปโภคในปีนั้น ขณะที่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป ห้ามนำเงินงบประมาณค่าสาธารณูปโภคไปใช้จ่ายอย่างอื่น ขณะที่เงินนอกงบประมาณก็ให้นำไปชำระไม่น้อยกว่า 25% เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ให้รัฐวิสาหกิจผู้ขายบริการดังกล่าวจะต้องส่งใบแจ้งหนี้ภายในวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไป และให้หน่วยงายราชการจ่ายภายใน 15 วันหลังจากได้ใบแจ้งหนี้ด้วย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงบประมาณระบุว่า ในช่วงก่อนปีงบประมาณ 2560 มีหน่วยงานราชการค้างชำระหนี้สาธารณูปโภครวม 595.33 ล้านบาท โดย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าหนี้ที่มี ยอดค้างชำระสูงสุด 308 ล้านบาท รองลงมาคือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 193.71 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2560 ยังมียอดงบประมาณสำหรับค่าสาธารณูปโภค 3,501.58 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณที่ต้องจ่ายแก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2,035 ล้านบาท

ดันจัดซื้อ “ยา-เครื่องมือแพทย์” ไทยก่อน

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบแนวทางการจัดซื้อยาที่ผลิตในประเทศตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอดังนี้

1) กำหนดให้การที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องจัดซื้อยาเวชภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตได้เองในประเทศและผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว เป็นนโยบายการจัดหาในภาครัฐ (Government Procurement) ที่สำคัญตามยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าและยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามนัยข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 โดยใช้กับยา เวชภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น รถพยาบาล อาหารทางการแพทย์ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยด้านการแพทย์และรัฐได้ให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมดังกล่าวตามที่ สวทช. ได้ตรวจสอบคุณสมบัติ และสำนักงบประมาณได้ประกาศขึ้นบัญชีวัตกรรมไทยแล้ว ทั้งนี้ ตามมติ ครม. วันที่ 3 พฤศจิกายน 2558

2) ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อ 1 โดยวิธีกรณีพิเศษได้อย่างน้อย 30% ของปริมาณความจำเป็นที่ต้องการใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

3) เมื่อพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 สิงหาคม 2560 ซึ่งจะไม่ได้ระบุถึงการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษอีกต่อไป แต่มีการจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงและจะใช้กับเรื่องใดให้เป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด จึงให้กระทรวงการคลังดำเนินการออกกฎกระทรวงกำหนดให้ยา เวชภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามข้อ 1 เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาจงได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ตามข้อ 2 และในระหว่างนี้ให้กระทรวงการคลังเตรียมการออกกฎกระทรวงเพื่อจะสามารถรับช่วงไปดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องกับการมีผลใช้บังคับของพระราชบัญญัติฉบับใหม่

4) ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลัง ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมในการนำมาตรการดังกล่าวไปใช้กับการจัดซื้อยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติที่ผลิตในประเทศและให้หน่วยงานดังกล่าว พร้อมสำนักงบประมาณอำนวยความสะดวกและกำกับดูแลให้การดำเนินการตามนโยบายนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส หากมีปัญหาหรือการละเว้นไม่ดำเนินการในเรื่องใด ให้รายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว และห้ามชื้อผ่านทางผู้แทนจำหน่ายอย่างเด็ดขาด อีกทั้ง ในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแยกวงเงินงบประมาณเพื่อการนี้ให้ชัดเจน โดยให้สำนักงบประมาณกำกับดูแลให้ถูกต้องต่อไป

จัดตั้งโครงการโคบาลบูรพา 1,028 ล้านบาท

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา และอนุมัติงบกลาง จำนวน 1,028.40 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อให้กรมปศุสัตว์เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ โครงการโคบาลบูรพามีวัตุประสงค์เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรในพื้นที่ประสบภัยแล้ง และส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรในพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ยึดคืนตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 36/2559 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2559  รวมทั้งเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปเลี้ยงปศุสัตว์ สร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อครบวงจรในพื้นที่ภาคตะวันออก

มีพื้นที่เป้าหมาย 1. พื้นที่ประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จังหวัดสระแก้ว ปี  2559/60 ใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภออรัญประเทศ อำเภอโคกสูง และอำเภอวัฒนานคร เนื้อที่ 100,477 ไร่ เกษตรกร 6,106 ราย 2. พื้นที่ ส.ป.ก. ที่ยึดคืนตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จังหวัดสระแก้ว ใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภออรัญประเทศ อำเภอโคกสูง และอำเภอวัฒนานคร จำนวน 9 แปลง เนื้อที่ 3,346 ไร่ เกษตรกร 271 ราย โดยการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 กิจกรรม ดังนี้   1) ส่งเสริมการเลี้ยงแม่โคเนื้อผลิตลูก  2) ส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะ  3) ส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์  และ 4) การจัดตั้งโรงฆ่าสัตว์มาตรฐาน GMP ระยะเวลาดำเนินโครงการ 6 ปี (พ.ศ. 2560-2565)

อนุมัติ 2,057 ล้านบาท จัดทำโครงการอาคารเช่าฯ 2559 ระยะที่ 1

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ดังนี้ อนุมัติในหลักการและกรอบวงเงินการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 1 จำนวน 14 โครงการ รวม 4,388 หน่วย วงเงินลงทุนรวม 2,057.386 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติเริ่มดำเนินโครงการดังกล่าวได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว

ทั้งนี้ โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 1 อยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ. 2559-2568) และแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ ปี 2558-2560 มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วไปที่ยังไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยประเภทเช่าที่ได้มาตรฐานในตลาดได้ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยที่มีขนาดครัวเรือนเฉลี่ยประมาณ 3-4 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ทำงานรับจ้างทั่วไป พนังงานบริษัท ผู้ค้าหาบเร่/แผงลอย และมีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน 4,388 หน่วย คิดเป็นจำนวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มแรงงาน ประมาณ 15,000 คน

โดยรูปแบบอาคารในโครงการ เป็นอาคารสูง 3-5 ชั้น เป็นห้อง 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 28 ตารางเมตร ทั้งนี้ ห้องพักอาศัยร้อยละ 10 ของอาคาร (ชั้นล่าง) จะจัดสรรให้เป็นห้องพักอาศัยเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุและผู้พิการ โดยออกแบบตามแนวทาง Universal Design และวางแผนที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 จำนวน 2,771 หน่วย และในปี 2562 จำนวน 1,617 หน่วย

ชี้ช่อง ปชช. ปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ ออมสิน-ธ.ก.ส.-ศูนย์ดำรงธรรมฯ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบแก่ที่ประชุม เนื่องจากรายงานของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปผลเรื่องราวการร้องทุกข์ระบุว่า เรื่องร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรมและศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ยังคงมีการร้องเรียนให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอยู่

โดยรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขหนี้นอกระบบแห่งชาติขึ้น ประกอบไปด้วยคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัด และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบประจำจังหวัด ซึ่งประชาชนที่มีปัญหาหนี้สินสามารถติดต่อคณะอนุกรรมการเหล่านี้ได้ทางธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดได้

“ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ชี้แจงว่ามีการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบไปแล้ว แต่ประชาชนในบางพื้นที่โดยเฉพาะในต่างจังหวัดอาจยังไม่ทราบ ซึ่งรัฐบาลยอมรับว่าเป็นความบกพร่องเรื่องการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐเอง” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

มท.เตรียมเปิดฟังความเห็น ปชช. ต่อ 4 คำถามนายกฯ 12 มิ.ย.

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานความคืบหน้าการดำเนินการการรับฟังความเห็นประชาชน จากที่นายกรัฐมนตรีได้ฝาก 4 คำถามถึงประชาชน โดยจะเริ่มรับฟังความเห็นของประชาชนตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป ซึ่งประชาชนสามารถแสดงความเห็นอย่างครอบคลุมผ่านเอกสารที่ได้จัดเตรียมไว้ให้

โดยประชาชนในกรุงเทพมหานคร สามารถแสดงความเห็นได้ที่สำนักงานเขตทั้ง 50 เขตและศูนย์ดำรงธรรมของกระทรวงมหาดไทยรวมทั้งศูนย์บริการประชาชนสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือสายด่วน 1111 ส่วนประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดสามารถเสนอความคิดเห็นได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอและจังหวัดซึ่งมีกว่า 848 แห่งทั่วประเทศ

“ผู้ที่จะเสนอความคิดเห็นจะต้องเตรียมบัตรประจำตัวประชาชน เนื่องจากเป็นการป้องกันการแอบอ้างสิทธิ์และการบิดเบือนจากความเป็นจริง ทั้งนี้หากมีผู้ไม่หวังดีระบุว่าอย่าไปแสดงความคิดเห็นเพราะเจ้าหน้าที่จะล้วงข้อมูลส่วนตัวจากเลขบัตรประชาชนก็ขออย่าได้หลงเชื่อเพราะรัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม หลังการเปิดรับฟังความเห็นแล้วกระทรวงมหาดไทยจะประมวลผลเพื่อสรุปเสนอนายกรัฐมนตรีในทุก 10 วันโดยจะประมวลผลครั้งแรกในวันที่ 20 มิถุนายน 2560 ซึ่งการเปิดรับฟังความเห็นจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องยังไม่มีกำหนดสิ้นสุด” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เห็นชอบร่าง พ.ร.ก.ประมงฉบับใหม่

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การทำประมงฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน  เนื่องจากพระราชกำหนดการประมงฉบับ 2558 ยังมีบางเรื่องที่ยังขัดข้อง ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ครบวงจร

โดยรายละเอียดที่มีการแก้ไข เช่น เรื่องเรือประมงพาณิชย์ จากเดิมกำหนดประเภท เรือพาณิชย์ จะต้องมีขนาดเรือ 10 ตันกรอส และมีกำลังเครื่องยนต์สูง แต่ในร่าง พ.ร.ก. ฉบับใหม่ ระบุว่า  ถ้าเป็นเรือประมงพาณิชย์ให้หมายรวมถึงเรือที่มีเครื่องมือที่มีศักยภาพสูง และเรือประมงที่ดำเนินการแปรรูปสัตว์น้ำไม่ว่าจะทำการประมงด้วยหรือไม่ก็ตาม

ขณะเดียวกัน ยังได้กำหนดแบ่งแยกประเภทเรือประมงพื้นบ้านและเรือประมงพาณิชย์ให้ชัดเจน และมีข้อกำหนดห้ามเรือพาณิชย์ เข้าเขตพื้นที่ประมงพื้นบ้านโดยเด็ดขาด ขณะที่เรือประมงพื้นบ้านหากจะเข้าไปดำเนินการในพื้นที่เรือประมงพาณิชย์จะต้องได้รับการอนุญาตจากทางการก่อนเท่านั้น  โดยที่การดำเนินการแก้ไขดังกล่าวนั้น ยังครอบคลุมถึงเรื่องแรงงานผิดกฎหมาย และจะมีการตรวจโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำหากพบการทำผิดจะมีการสั่งพักการทำงาน และหากมีทำผิดซ้ำซากภายใน 3 ปี จะสั่งปิดโรงงานอย่างถาวร ทั้งนี้เป็นไปเพื่อรองรับการคณะกรรมาธิการประมงของรัฐสภายุโรป ที่จะเดินทางมาติดตามการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing ที่จะมาในเร็วๆ นี้