ThaiPublica > เกาะกระแส > “สหกรณ์คลองจั่น” คาดจ่ายหนี้งวดที่ 4 ต้องเลื่อน ระบุเจ้าหนี้บางรายค้านขายที่ดิน 2 แปลง ชี้ราคาต่ำไป

“สหกรณ์คลองจั่น” คาดจ่ายหนี้งวดที่ 4 ต้องเลื่อน ระบุเจ้าหนี้บางรายค้านขายที่ดิน 2 แปลง ชี้ราคาต่ำไป

23 มิถุนายน 2017


นายประกิต พิลังกาสา ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นและประธานกรรมการดำเนินงาน

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 นายประกิต พิลังกาสา ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นและประธานกรรมการดำเนินงาน เปิดเผยถึงคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่สั่งให้สหกรณ์ฯคลองจั่นขายที่ดิน 2 แปลงใหม่อย่างมีเงื่อนไขโดยวิธีขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และทำให้สหกรณ์ฯ ไม่สามารถชำระหนี้และจ่ายเงินปันผลตามแผนการฟื้นฟูของสหกรณ์ฯ ในงวดที่ 4 มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทได้ และอาจจะกระทบแผนฟื้นฟูทั้งหมด

ทั้งนี้ ตามแผนฟื้นฟูเดิม สหกรณ์ฯ วางแผนจะฟื้นฟูกิจการและชำระหนี้เงินฝากคืนทั้ง 100% จากที่ต้องปล่อยล้มละลายและได้เงินคืนเพียง 3% ของมูลหนี้ทั้งหมด โดยสหกรณ์ฯ ได้ชำระมาแล้ว 2 ครั้งในปี 2559 มูลค่า 1,200 ล้านบาท และกำลังจะชำระครั้งที่ 3 มูลค่า 500 ล้านบาทในวันที่ 27 มิถุนายน 2560 คิดรวมการชำระหนี้ทั้ง 3 ครั้งเป็นสัดส่วน 10.7% ของมูลหนี้ทั้งหมด ขณะที่การชำระหนี้ครั้งที่ 4 ช่วงปลายปี 2560 สหกรณ์ฯ​ ได้วางแผนจะขายที่ดินจำนวน 2 แปลง มูลค่าประเมิน 258 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดประกวดราคา มีผู้สนใจยื่นประมูล 3 รายและได้ผู้ชนะที่ราคา 262.5 ล้านบาท

หลังจากนั้น ทางสหกรณ์ฯ ได้ส่งจดหมายสอบถามไปยังศาลล้มละลายกลางถึงอำนาจของคณะกรรมการฟื้นฟูว่าสามารถขายได้หรือไม่ ศาลล้มละลายกลางได้สอบถามต่อไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคณะกรรมการเจ้าหนี้ โดยทั้งสองฝ่ายมิได้คัดค้านและคณะกรรมการเจ้าหนี้เสนออีกว่าให้เจรจาซื้อขายให้เสร็จภายในปี 2560 เพื่อนำเงินมาชำระหนี้

อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหนี้รายหนึ่งในคณะกรรมการ ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมประชุม คัดค้านการขายและให้เหตุผลว่าราคาประเมินต่ำเกินไป เนื่องจากที่ดินแปลงหนึ่งเคยเป็นสนามกอล์ฟมาก่อนและราคาใกล้เคียงกับราคากลางมากเกินไปอาจจะไม่โปร่งใส ในประเด็นนี้ นายประกิตชี้แจงว่าที่ดินดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งร้างมาหลายปีจนหมดสภาพของสนามกอล์ฟ และการประเมินดังกล่าวก็สอดคล้องกับราคาประเมินของทางราชการ รวมทั้งการประเมินของบริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

สุดท้ายศาลล้มละลายกลางได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ว่า ให้ขายใหม่อย่างมีเงื่อนไขโดยวิธีขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งทำให้ต้องใช้ระยะเวลายาวนานขึ้นกว่าที่คาดและทำให้ต้องผิดชำระหนี้งวดที่ 4

“ตามแผนเดิมหลังจากชำระหนี้งวด 3 เราจะเหลือกระแสเงินสดอีกประมาณ 80 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินจากขายที่ดินและส่วนอื่นๆ คณะกรรมการยังมั่นใจว่าสามารถชำระหนี้คืนได้แน่นอน แต่พอคำสั่งออกมาแบบนี้ เราก็จนหนทางและคงต้องผิดนัดชำระหนี้งวดที่ 4 รวมถึงงดจ่ายเงินปันผลด้วย ส่วนแผนฟื้นฟูรวมคงต้องมาประมาณการใหม่หมดอีกครั้ง” นายประกิตกล่าว

นายประกิต กล่าวต่อว่า”ฐานะการเงินว่าสหกรณ์ฯ ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้น เพียงแต่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเป็นเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ศาลแพ่งตัดสินให้สหกรณ์ฯ ชนะคดีกว่า 3,700 ล้านบาท แต่กรมสืบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไออายัดไว้ หรือที่ดิน 2 แปลงนี้ ซึ่งควรจะอยู่ในอำนาจของหกรณ์ฯ ที่จะซื้อขายได้ หรือจะเป็นเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่พยายามหาทางออกอยู่ หลังจากข้อเสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือ 10,000 ล้านบาทไม่สำเร็จ

โดยเบื้องต้นได้หารือกับกระทรวงการคลัง คาดว่าสามารถให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปล่อยกู้อัตราพิเศษประมาณ 30,000 ล้านบาทแก่สหกรณ์เจ้าหนี้ต่างๆ นำไปปล่อยกู้ต่อหรือลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างกองทุนเพื่ออนาคตไทย และนำผลตอบแทนส่วนหนึ่งหลังหักค่าใช้จ่ายตั้งเป็นบัญชีร่วมของสหกรณ์ดูแลโดยภาครัฐ เพื่อช่วยเหลือสหกรณ์ต่างๆ ในอนาคตด้วย

“โมเดลนี้ได้คุยกับสหกรณ์เจ้าหนี้ต่างๆ ก็เห็นยอดเบื้องต้นแล้ว 22,000 ล้านบาท คิดว่าจะได้ถึง 30,000 ล้านบาท สมมติผลตอบแทน 6% หลังหักหมดแล้วก็จะได้เงินมาใส่บัญชีร่วมประมาณ 600 ล้านบาท สหกรณ์ฯ จะขอมาสัก 400-500 ล้านบาท ที่เหลือเข้าบัญชีเก็บไว้เป็นกันชนของระบบสหกรณ์ต่อไปได้” นายประกิตกล่าว

สำหรับกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ได้กล่าวโทษและฟ้องร้องต่อศาลอาญา นายประกิตกล่าวว่า เมื่อเรื่องขึ้นสู่ชั้นศาลแล้วก็ขอให้ขึ้นไปต่อสู้ที่ชั้นศาล ตนและคณะจะไม่ตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น