ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 1-7 เม.ย. 2560
ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 อย่างเป็นทางการ

ในที่สุด พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ก็ได้เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2560 (อ่านรายละเอียดที่นี่) ซึ่งหมายความว่า ในขณะนี้ ประเทศไทยก็ได้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้อย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 4 เม.ย. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยได้สรุปรวมประเด็นสั้นๆ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดังนี้
จุดแข็ง: กรธ. และฝ่ายสนับสนุน พยายามชูว่า “จุดแข็ง” ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ว่าเป็นฉบับปราบโกง เพราะกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำการทุจริตเข้มข้นขึ้น ไม่ให้ผู้ทุจริตต่อหน้าที่และในการเลือกตั้งเข้าสู่การเมืองได้ตลอดไป และกำหนดให้มี “มาตรฐานจริยธรรม” ใครทำผิดต้องพ้นจากตำแหน่ง พร้อมเพิ่มอำนาจของศาลและองค์กรอิสระในการเข้ามากำกับดูแลรัฐบาล
จุดอ่อน: ฝ่ายคัดค้านที่บางส่วนเป็นนักการเมืองและนักวิชาการ มองว่า ระบบการเลือกตั้ง ส.ส. แบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ กรธ. หยิบมาให้ใช้ จะทำให้ได้รัฐบาลผสมที่ไร้เสถียรภาพ แถมยังมีการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้เป็น ส.ส. เข้ามาเป็น “นายกฯ คนนอก” ได้
สิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่สุด: การกำหนดให้ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” เป็นไปอย่างยากลำบากจนแทบเป็นไปไม่ได้เลย และยังวางบางกลไกที่ถูกมองว่าอาจเป็นการ “สืบทอดอำนาจ” ของ คสช. เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ ไปจนถึง ส.ว. ชุดแรก 250 คน ที่จะมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. ทั้งหมด (ซึ่ง ส.ว. ชุดนี้ มีสิทธิ์ร่วมเลือกนายกฯ ได้อย่างน้อย 2 สมัย)
และเว็บไซต์บีบีซีไทยยังรายงานด้วยว่า ใน “บทเฉพาะกาล” ของรัฐธรรมนุญฯ ฉบับที่ 20 ได้คงอำนาจของ คสช. ตามรัฐธรรมนูญฯฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ไว้จนกว่า ครม. ชุดใหม่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ นั่นแปลว่า แม้กระทั่งในช่วงเลือกตั้ง คสช. ก็ยังสามารถใช้ “อำนาจพิเศษ” ตามมาตรา 44 ออกกฎหมายหรือจับกุมคุมขังบุคคลใดที่ตนเห็นว่ากระทำผิดกฎหมายได้
คสช. ยังจะมีอำนาจในการแต่งตั้ง “ส.ว. ชุดแรก” จำนวน 250 คน ซึ่งในนั้น 6 คน จะมาจากเหล่าทัพโดยตำแหน่ง โดย ส.ว. แต่งตั้งชุดนี้จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับ ส.ส. ในการเลือกนายกฯในช่วง 5 ปีแรก (หรือมีโอกาสได้ร่วมเลือกนายกฯ อย่างน้อย 2 คน)
นอกจากนี้ บทเฉพาะกาลยังกำหนดให้รัฐบาล คสช. เป็นผู้จัดทำกฎหมายสำคัญหลายฉบับ รวมไปถึง “ยุทธศาสตร์ชาติ” ที่จะมีผลผูกพันกับรัฐบาลชุดต่อๆ ไปเป็นระยะเวลา 20 ปี
กังขา 13 รองอธิการฯ มหิดลลาออกเลี่ยงตรวจสอบทรัพย์สิน

ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/?p=519962)
หลังจากที่ ศ.นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ลงนามอนุมัติให้รองอธิการบดีฝ่ายต่างๆ ของสำนักงานอธิการบดีลาออกจากตำแหน่งได้ตามความประสงค์พร้อมกันทั้ง 13 ราย แล้วมีการแต่งตั้งให้คนกลุ่มดั้งกล่าวทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งเดิม จนเกิดข้อครหาว่าเป็นการทำไปเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินได้ เนื่องจากกฎหมาย ป.ป.ช. นั้นไม่ครอบคลุมถึงตำแหน่งรักษาการ
ต่อเรื่องดังกล่าว เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2560 ว่า ศ. นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่าหากการลาออกเป็นการประท้วง ป.ป.ช. ก็ขอให้เคารพสิทธิ์แต่ละท่าน ที่เชื่อว่าไม่เป็นธรรมและไม่ทันตั้งตัวหากต้องถูกตรวจสอบและแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ส่วนที่บอกว่ามีการตั้งคนกลุ่มเดิมมารักษาการตำแหน่งเดิมเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ ตนขอชี้แจงว่าไม่เกี่ยวแต่ตนตั้งเพื่อให้กิจการต่างๆ ดำเนินไปด่อเนื่อง โดยวาระรักษาการประมาณ 6 เดือน
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ชี้แจงถึงการที่มีข้อเสนอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรักษาการด้วย ว่า กฎหมาย ป.ป.ช. ไม่ได้ครอบคลุมถึงตำแหน่งดังกล่าว จึงถือว่าตำแหน่งรักษาการไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่ง แต่ข้อสังเกตในกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะพูดถึงบริบทที่ว่าการไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนั้นๆ คนรักษาการก็ต้องดูว่าอยู่ในตำแหน่งยาวนานแค่ไหน ถ้ารักษาการนานก็มีกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องและสะท้อนว่าการที่เป็นเช่นนั้นอาจจะบ่งบอกถึงความบกพร่องของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่วันนี้เมื่อมีคำถามว่าตำแหน่งรักษาการต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ ตนตอบเลยว่าไม่ต้องยื่น ส่วน ป.ป.ช. จะแก้ไขกฎหมายหรือช่องโหว่ในกรณีนี้หรือไม่ ก็ต้องไปพิจารณา แต่จะไม่แก้กฎหมายในเรื่องที่เป็นจุดเล็กๆ ทุกเรื่อง
“ผมไม่คิดว่าเรื่องที่เป็นข่าวจะมีความต้องการที่จะปกปิดอะไร เพราอย่างที่มีการบอกกันว่ากระบวนการของเรามันอาจจะเร่งรัดไปเขาเลยมีความรู้สึกไม่เห็นด้วย” พล.ต.อ. วัชรพล กล่าว
18 รพ.รัฐ “บัญชีติดลบ-ขาดสภาพคล่อง”

ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (https://goo.gl/DtEiFN)
วันที่ 3 เม.ย. 2560 เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป นำข้อมูลสถานการณ์เงินบำรุง หรือ เงินกองทุน โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปมาเปิดเผย พบว่า ขณะนี้โรงพยาบาล 18 แห่ง กำลังวิกฤติบัญชีติดลบขาดสภาพคล่อง ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2559 สู่ไตรมาส 1 ปี 2560 จากข้อมูลพบว่าโรงพยาบาลบางแห่ง เช่น โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าขาดทุนเกือบ 400 ล้านบาท
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และย้ำว่าปัญหาวิกฤตทางการเงินของโรงพยาบาล ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นมานานแล้ว และกำลังเข้าขั้นวิกฤต ขณะนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถบริการดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไปได้
สำหรับโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไป 18 แห่ง จากโรงพยาบาล 1,000 แห่ง ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการขาดทุน โดยโรงพยาบาลที่มีปัญหาสภาพคล่องการเงิน เนื่องจากงบค่าใช้จ่ายรายหัวในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้น้อย และบริหารจัดการงบประมาณไม่ดี
ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส
บึมป่วนใต้-ปัตตานีอ่วม

เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 24.00 น.ของคืนวันที่ 6 เม.ย. 2560 เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทั่วพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยมีเหตุที่ จ.ปัตตานี รวม 11 จุด จ.ยะลา 4 จุด และ จ.นราธวาส 8 จุด มีการเผาเสาไฟฟ้าบริเวณหมู่ 5 บ้านกาโสด ถนนสายยะลา-เบตง จ.ยะลา มีการโรยตะปูเรือใบ และเผายางที่บ้านมูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้น 2 ครั้งในพื้นที่ อ.สุไหงโกลก
นอกจากนี้ ยังมีระเบิดที่บ้านปาลัส อ.มายอ จ.นราธิวาส รวมถึงที่ อ.เรือเสาะ มีเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง และเกิดไฟฟ้าดับ มีการเผายางหน้าวิทยาลัยเทคนิคกาญจนา เส้นทางไปหาดใหญ่ จ.สงขลา และมีเหตุระเบิดสะพานเกาะเปาะ ก่อนถึงวงเวียนมะพร้าวต้นเดียว อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แถมมีเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง
ทั้งนี้ เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้สร้างความโกลาหลให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่อย่างมาก เนื่องจากหลายพื้นที่ไฟฟ้าดับ ชาวบ้านต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เบื้องต้น มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว ทรัพย์สินของทางราชการ และภาคเอกชนเสียหาย รวมถึงการจราจรติดขัดในบางจุด ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุต่างๆ
นอกจากนี้ ในเบื้องต้นมีการสรุปเหตุการณ์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ดังนี้ ตั้งแต่เวลา 20.00-22.32 ของคืนที่ผ่านมา มีการก่อเหตุความไม่สงบรวม 11 จุด ประกอบด้วย
1. ก่อเหตุโจมตีฐาน อส. ที่โรงเรียนกะรุบี อ.กะพ้อ
2. ก่อเหตุโจมตีศูนย์นิคมฮาลาล ม 4 ต.น้ำบ่อ อ.ปะนาเระ
3. ก่อเหตุระเบิดพื้นที่ อ.เมืองปัตตานี จุดที่ 1 เหตุเกิดในเรือที่จอดอยู่ข้างโรงน้ำแข็งบ้านติง
4. ก่อเหตุระเบิดในพื้นที่ อ.เมืองปัตตานี จุดที่ 2 คือ แพศิริรัตน์ เข้าทางซอยศรีนาเจริญ ถนนนาเกลือ
5. ก่อเหตุเผายางรถยนต์ในพื้นที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์
6. ก่อเหตุเผายางรถยนต์ในพื้นที่ อ.ยะรัง
7. ก่อเหตุระเบิดตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าไปรษณีย์ อ.ปานะแระ จนเกิดไฟลุกไหม้ตามมา
8. ก่อเหตุเผาศูนย์อาชีพปาตาตีมอ ในพื้นที่เทศบาลสายบุรี อ.สายบุรี
9. ก่อเหตุเผาเรือประมงที่ อ.สายบุรี 3 จุด
10. ก่อเหตุระเบิดรถหุ้มเกราะล้อยาง (REVA) ที่บริเวณโรงเรียนท่าสู ต.น้ำบ่อ อ.โคกโพธิ์ โดยจุดนี้มีทหารพรานที่ 44 เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 6 นาย
11. ก่อเหตุเผารถยนต์ของการไฟฟ้าฯ ในพื้นที่ อ.มายอ
ซีเรียโหด อาวุธเคมีบอมบ์พลเรือน
วันที่ 4 เม.ย. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า การโจมตีโดยกองกำลังของรัฐบาลซีเรีย หรือโดยเครื่องบินรบรัสเซียในจังหวัดอิดลิบ ประเทศซีเรีย อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากอยู่ในภาวะขาดอากาศหายใจ ทั้งนี้ กลุ่มสังเกตการณ์ซีเรียฯ รายงานอ้างโดยแหล่งข่าวทางการแพทย์ว่า หลังการโจมตีดังกล่าว ประชาชนหลายคนเป็นลม คลื่นไส้อาเจียน และมีน้ำลายฟูมปาก โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นพลเรือน รวมทั้งเด็กอย่างน้อย 9 คน
เว็บไซต์บีบีซีไทยยังรายงานด้วยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้แทนสหราชอาณาจักรและผู้แทนฝรั่งเศสประจำสหประชาชาติเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมฉุกเฉินขึ้น เพื่อยับยั้งไม่ให้เหตุการณ์ที่ร้ายแรงเยี่ยงอาชญากรรมสงครามเช่นนี้เกิดขึ้นอีก โดยนายแมททิว ไรครอฟต์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ ขอให้ชาติสมาชิกที่เคยใช้สิทธิยับยั้งหรือวีโต้ปกป้องรัฐบาลซีเรียมาก่อน งดการกระทำดังกล่าวในครั้งนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลซีเรียปฏิเสธว่าไม่ได้ลงมือโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเหตุการณ์ดังกล่าว และรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรกับซีเรีย ก็ปฏิเสธว่าตนไม่ได้โจมตีโรงพยาบาลที่รักษาผู้บาดเจ็บจากการโจมตีดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สหรัฐฯ ออกมาประณามการกระทำดังกล่าว และเปิดฉากถล่มซีเรียด้วยการยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก 59 ลูกเข้าใส่ฐานทัพอากาศในซีเรีย