ปรีดี บุญซื่อ
เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่า บริษัท Nutonomy ผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับยานยนต์ไร้คนขับ ได้ทำการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบนท้องถนนในสิงคโปร์ และตั้งเป้าว่า ในปี 2018 จะให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับเต็มรูปแบบ 100 คัน ส่วนญี่ปุ่นก็ประกาศว่า กีฬาโอลิมปิก 2020 ที่โตเกียว ญี่ปุ่นจะใช้หุ่นยนต์ที่ประจำอยู่สนามบินนาริตะทำหน้าที่แนะนำการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งจะมีรถแท็กซี่ขับโดยหุ่นยนต์ ให้บริการวิ่งตามถนนสายต่างๆ ในโตเกียว ส่วนในไทยก็มีข่าวว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เลิกจ้างพนักงานซับคอนแทร็ก 900 คน โดยโตโยต้าแถลงว่าเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ และปฏิเสธข่าวที่ว่าจะมีการนำหุ่นยนต์มาทำงานแทน

ในอดีตนั้น คนส่วนหนึ่งเห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น พวกเครื่องจักรกลต่างๆ จะมาทำลายการจ้างงาน เพราะสามารถเข้ามาแทนการใช้แรงงานของคนเรา แต่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมาก็พิสูจน์ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อมีการนำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม แรงงานก็สามารถพัฒนายกระดับทักษะให้สูงขึ้น เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องจักรกล พร้อมกับมีรายได้สูงขึ้นตามไปด้วย
แต่ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทำให้เกิดสมาร์ทโฟน เครื่องจักรอัจฉริยะ หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ นาโนเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่แตกต่างไปจากเดิม เครื่องจักรและอุปกรณ์ในยุคคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ กำลังจะเข้ามาแทนที่การทำงานใช้แรงงานและสมองของมนุษย์ อันจะนำไปสู่ภาวะที่คนเราไม่มีงานทำถาวร เพราะการว่างงานที่จะเกิดขึ้นมาจากโครงสร้างใหม่ทางเศรษฐกิจ ที่มักเรียกกันว่า “การว่างงานจากโครงสร้าง”
แต่นักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปและพวกที่มองอนาคตในแง่ดีมักจะออกมาพูดตอบโต้ว่า การวาดภาพอนาคตที่เลวร้ายดังกล่าวเป็นเรื่องที่แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มักนำไปสู่ความมั่งคั่งและการมีงานทำมากขึ้นติดตามมาเสมอ นักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้เป็นพวกที่ชื่นชมในเรื่องความก้าวหน้าด้านอุปกรณ์การผลิตและเทคโนโลยีสมัยใหม่ คนพวกนี้จะประหลาดใจมากหากได้ไปดูโครงการ “สร้างงาน” ในประเทศกำลังพัฒนา แทนที่จะเห็นรถแม็คโครขุดดินขนาดใหญ่ กลับเห็นชาวบ้านจำนวนมากใช้แรงงานขุดแอ่งเก็บน้ำสาธารณะ
การเร่งความเร็วของคอมพิวเตอร์

ความก้าวหน้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน ล้วนมาจากสมรรถนะและความเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ที่พัฒนามาถึงจุดทำให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่ต้องอาศัยการประกอบการที่ใช้แรงงานมาก (labor intensive) อีกต่อไป หนังสือที่ได้รับรางวัล Business Book 2015 ชื่อ Rise of the Robots (Basic Books) ผู้เขียนคือMartin Ford กล่าวไว้ว่า สมรรถนะของคอมพิวเตอร์วัดกันด้วยสิ่งที่เรียกว่า “กฎของมัวร์” (Moore’s Law) คือมีอัตราเพิ่มที่รวดเร็วแบบเท่าตัวภายในเวลาทุกๆ 2 ปี ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือ เราฝากเงินในธนาคาร 1 เซนต์ แต่ละวันผ่านไปจะมีมูลค่าเพิ่มเท่าตัว ภายในไม่ถึงเดือน เงินในบัญชีจะเพิ่มมากกว่า 1 ล้านเหรียญฯ
ในปี 1993 ไม่มีใครเคยได้ยินคำว่า “อินเทอร์เน็ต” โทรศัพท์มือถือก็ขนาดใหญ่เทอะทะ และไมโครซอฟต์เพิ่งจะออกระบบปฏิบัติการรุ่น Window 3.1 แต่ทุกวันนี้ หนังสือในห้องสมุดของ British Museum ทั้งหมดสามารถเอามาเก็บไว้ได้ใน external hard disk กฎของมัวร์ทำให้เห็นถึงเส้นทางความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ว่าเป็นแบบขั้นบันไดที่ต่อยอดไปเรื่อยๆ เราจึงยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดหรือการชะงักงันของความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เลย
เมื่อเปรียบเทียบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ จะมีลักษณะการพัฒนาแบบที่เรียกว่า S-Curves การพัฒนาของเครื่องบินเป็นตัวอย่างที่ดี เครื่องบินแบบใบพัดเริ่มต้นจากปี 1905 โดยเครื่องบินของพี่น้องตระกูลไรท์สามารถบินได้เป็นเวลา 40 นาที ระยะทาง 24 ไมล์ การพัฒนาเครื่องยนต์ใบพัดมาถึงจุดสูงสุดที่เครื่องบินรบของอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อ Spitfire หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบ S-Curves ใหม่ขึ้นมา คือเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์ไอพ่น ทุกวันนี้ยังไม่มีความก้าวหน้าใหม่ๆ ทางเทคโนโลยีที่จะมาแทนเครื่องยนต์ไอพ่น
พัฒนาการของหุ่นยนต์อัจฉริยะ

ที่ผ่านมา หุ่นยนต์อุตสาหกรรมทำงานและเคลื่อนไหวได้จำกัด สามารถทำงานที่เฉพาะอย่างเท่านั้น เช่น ทำความสะอาดพื้นบ้าน ทั้งนี้ เพราะหุ่นยนต์ยังไม่สามารถมองภาพแบบ 3 มิติ ให้ไปทำงานเก็บผลไม้ก็ยังแยกไม่ออกว่าผลไม้นั้นสุกแล้วหรือยังดิบอยู่ แต่ไมโครซอฟต์ได้ผลิตเครื่องเล่นวิดีโอเกม Xbox ที่สามารถมองภาพได้ 3 มิติ โดยอาศัยเทคโนโลยีเรียกว่า Kinect ที่เป็นกล้องจับภาพการเคลื่อนไหวเชิงลึก เนื่องจากเทคโนโลยี Kinect สามารถมองการเคลื่อนไหวของวัตถุเป็น 3 มิติ วิศวกรหุ่นยนต์จึงอาศัยเทคโนโลยี Kinect มาสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนไหวคล้ายคนเรา และสามารถมีปฏิกิริยาต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ
หุ่นยนต์อุตสาหกรรมต้องอาศัยการติดตั้งโปรแกรมการทำงานที่ซับซ้อน แต่หุ่นยนต์ชื่อ Baxter ที่ผลิตโดยบริษัท Rethink Robotics สามารถทำงานได้หลายแบบที่จำเจซ้ำๆ ซากๆ เช่น งานการผลิต การบรรจุสินค้าในกล่อง หรือการวางของบนสายพาน เป็นต้น หุ่นยนต์ Baxter สามารถเปลี่ยนงานที่ทำได้ง่ายๆ การฝึกฝนหุ่นยนต์ Baxter ให้ทำงานใหม่ ก็เพียงแค่การย้ายมือหุ่นยนต์ให้เคลื่อนไหวในท่าใหม่เท่านั้นเอง

หุ่นยนต์ที่ผลิตออกมาในปัจจุบันอาจทำหน้าที่ต่างกัน แต่มีระบบปฏิบัติการเดียวกันเรียกว่า ROS หรือ Robot Operating System ระบบ ROS ทำงานคล้ายๆ กับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟต์ หรือแอนดรอยด์ของกูเกิล แต่ ROS เป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิดกว้าง ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมันได้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์จึงสามารถนำไปปรับปรุง สร้างแอปพลิเคชันใหม่ๆ ทำให้ ROS กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นมาตรฐานในการพัฒนาหุ่นยนต์ไปแล้ว เพราะเหตุนี้ การพัฒนาของหุ่นยนต์จึงรวดเร็วมาก เหมือนกับการพัฒนาสมาร์ทโฟน จนนับวัน หุ่นยนต์จะสามารถเข้ามาทำงานแทนคน ทั้งงานใช้แรงงานและงานในสำนักงาน
หุ่นยนต์ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ หุ่นยนต์ชื่อ Baxter ที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัป Rethink Robotics สามารถทำแฮมเบอร์เกอร์ได้ 360 ชิ้นใน 1 ชั่วโมง ตู้ให้เช่า DVD ของ Redbox สามารถให้บริการแก่ลูกค้าที่มาเช่า DVD ได้วันละ 2 ล้านคน ในพื้นที่การค้าขนาดเดียวกัน Blockbuster เคยเปิดร้านทำธุรกิจให้เช่า DVD อยู่หลายสิบร้าน มีพนักงานนับร้อยๆ คน หุ่นยนต์กำลังมีการพัฒนาที่ซับซ้อนมากขึ้นในเรื่องการมองเห็นภาพ ซึ่งจะช่วยให้หุ่นยนต์สามารถจำแนกออกว่าผลไม้สุกแล้วหรือยัง จากนั้นก็เก็บและบรรจุผลไม้ลงกล่อง การทำงานของหุ่นยนต์เป็นไปอย่างรวดเร็ว และค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าการจ้างคนงานมาเก็บ
ระบบ “คนชนะเอาไปหมด”
Martin Ford เขียนไว้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เห็นถึงอิทธิพลและการกระจุกตัวของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในธุรกิจสมัยใหม่ ในปี 2012 การทำธุรกิจของกูเกิลมีผลกำไรเกือบ 14 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีพนักงานเพียง 38,000 คน เทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่าง General Motors ในปี 1979 ที่รุ่งเรืองมาก มีพนักงาน 840,000 คน มีผลกำไร 11 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เป็นความจริงที่ว่า อินเทอร์เน็ตไม่ได้ให้โอกาสเพียงแค่บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น ทุกวันนี้ใครๆ ก็สามารถขายของบนอินเทอร์เน็ต เขียนซอฟต์แวร์ พิมพ์หนังสือ ebook หรือเอาของไปขายใน eBay แต่โอกาสทางเศรษฐกิจแบบนี้ต่างโดยสิ้นเชิงจากงานที่มั่นคงของบริษัทผลิตรถยนต์ หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนก็คือว่า รายได้ที่มาจากธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มการกระจายตัวหรือแบ่งปันแบบ “คนชนะเอาไปหมด” และมีรูปลักษณ์แบบตัวยีราฟหางยาว
ถ้าเราดูสถิติตัวเลขคนที่เข้าไปเยือนเว็บไซต์ต่างๆ รายได้จากโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต เพลงหรือภาพยนตร์ที่ดาวน์โหลดจาก iTunes หรือหนังสือที่ซื้อจาก Amazon เราจะเห็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นกราฟที่มีหน้าตาแบบ “ยีราฟหางยาว” (Long-Tail Distribution) ธุรกรรมลักษณะแบบที่ว่านี้กลายเป็น Business Model ของบริษัทที่ครอบงำธุรกิจอินเทอร์เน็ต หรือบริษัทที่มีฐานะเป็น “ศูนย์กลางธุรกรรมออนไลน์”

บริษัทอย่าง Amazon สามารถมีรายได้จากการขายหนังสือในทุกจุดของตัว “ยีราฟหางยาว” ส่วนหัวของยีราฟคือรายได้ประมาณ 20-30% ที่มาจากการขายหนังสือประเภท “หนังสือขายดี” นับจากลำคอจนถึงปลายหางของยีราฟ ที่มีสัดส่วนการขายจาก 15% จนถึง 0.1% คือ บรรดาหนังสือที่พิมพ์มาแล้วหลายปี หนังสือคลาสสิก หรือหนังสือหายาก ที่หาซื้อทั่วไปไม่ได้ แต่ยังมีลูกค้าต้องการอ่าน
ทุนนิยมที่ “คนไม่มีกำลังซื้อ”
มีเรื่องราวเก่าๆ ที่เล่ากันเกี่ยวกับเฮนรี ฟอร์ด ที่ 2 (Henry Ford II) ซีอีโอของบริษัท Ford Motor กับวอลเตอร์ รูเทอร์ (Walter Routher) หัวหน้าสหภาพแรงงานรถยนต์ ที่ไปเยี่ยมโรงงานผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ เฮนรี ฟอร์ด ที่ 2 ถามวอลเตอร์แบบเหน็บแนมว่า “วอลเตอร์ คุณจะทำอย่างไรให้พวกหุ่นยนต์จ่ายค่าสมาชิกสหภาพแรงงาน” วอลเตอร์พูดสวนกลับไปว่า “เฮนรี แล้วคุณจะทำอย่างไรให้พวกหุ่นยนต์ซื้อรถยนต์ของคุณ”
การนำหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิตหรือให้บริการ ส่งผลกระทบประการแรก คือ หุ่นยนต์หรืออุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เข้ามาทำงานแทนการทำงานของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำแฮมเบอร์เกอร์ Baxter หรือว่าตู้เช่า DVD Redbox ส่วนคำพูดของวอลเตอร์ รูเธอร์ สะท้อนผลกระทบประการที่ 2 ที่หุ่นยนต์มีต่อสังคมโดยรวม คือ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ผู้บริโภคไม่มี “กำลังซื้อ”
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำให้สังคมมีความมั่งคั่งมากขึ้น และชีวิตความเป็นอยู่ของคนโดยทั่วไปสูงขึ้น การคิดค้นระบบทุนนิยมขึ้นมาอาจเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์พอๆ กับการยอมรับว่า “กงล้อ” คือนวัตกรรมสำคัญสุดในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาเทคโนโลยีกับเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดทำงานเคียงข้างกันและกัน ทำให้คนทั้งหลายมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั้น “ทุน” กับ “แรงงาน” ดำรงอยู่แบบคู่ฝาแฝด อิงอาศัยกันและกัน แต่เศรษฐกิจแบบกลไกตลาดไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากตลาดแรงงานที่อยู่ได้อย่างอิสระในตัวมันเอง เพราะ “งาน” คือแหล่งที่มาของ “รายได้” หรือ “กำลังซื้อ” ที่คนเราจะนำไปใช้จ่ายเพื่อบริโภคสิ่งต่างๆ ที่สังคมผลิตขึ้นมา หากว่าจุดหนึ่งในอนาคต หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรเข้ามาทำงานแทนสิ่งที่คนเราเคยทำอยู่ สิ่งนี้น่าจะเป็นภัยคุกคามต่อรากฐานของระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
เมื่อเดือนมิถุนายน 2016 สวิตเซอร์แลนด์ได้มีการลงประชามติเรื่อง การประกันรายได้ชั้นต่ำของประชาชน ที่ชาวสวิสแต่ละคนจะได้รับราวๆ เดือนละ 2,555 เหรียญสหรัฐจากรัฐ ไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ตาม แม้ประชามติในเรื่องนี้จะตกไป เพราะชาวสวิส 77% คัดค้าน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงการคิดเรื่องรัฐสวัสดิการที่เป็นรูปแบบใหม่ของประเทศตะวันตก ที่จะให้หลักประกันแก่พลเมือง ในยามที่อาชีพการงานมีความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจและจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ นอกจากนี้ ยังทำให้นโยบายรัฐสวัสดิการอื่นๆ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ เงินช่วยเหลือค่าที่พักอาศัย ฯลฯ กลายเป็นเรื่องไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ในยามที่เศรษฐกิจพัฒนาไปรวดเร็วมาก เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบการเมืองโดยทั่วไป มักปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ แต่ความคิดเรื่องการประกันรายได้ขั้นต่ำแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อย ระบอบการเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ได้พยายามที่จะก้าวรุดหน้าไปให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดังกล่าว