
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ครั้งที่ 5/2559 หรือ “คณะกรรมการ PPP” โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เป็นประธาน ภายหลังการประชุม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้มีการพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ 3 เรื่อง ดังนี้
1. เห็นชอบให้มีการปรับปรุงโครงการภายใต้กิจการ ตามแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในการกิจการของรัฐ พ.ศ. 2558-2562 (Project Pipeline) เพิ่มเติมอีก 7 โครงการ ได้แก่
– โครงการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการเดินรถ Airport Rail Link ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
– โครงการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ กทม.
– โครงการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า ช่วงศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 – ถนนโยธี ของ กทม.
– โครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบจัดการน้ำเสียเคหะชุมชนร่มเกล้า ของ กทม.
– โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครสวรรค์ ของกรมทางหลวง
– โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ของกรมการแพทย์
– โครงการศูนย์เฝ้าระวังและกักแยกผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่อร้ายแรง ของกรมควบคุมโรค
ผลจากการปรับปรุงโครงการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ ทำให้ปัจจุบันมีโครงการลงทุนที่อยู่ใน Project Pipeline ทั้งสิ้น 66 โครงการ มีวงเงินลงทุนรวม 1,662,876.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86,347.27 ล้านบาท (วงเงินลงทุนเดิม 1,576,529.27 ล้านบาท) ภายใต้แผนการลงทุนดังกล่าวนี้มีโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท ประมาณ 12 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 720,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ คาดว่าจะนำเสนอโครงการให้ที่ประชุมคณะกรรมการ PPP พิจารณาได้ในปี 2560
“ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ระบุว่าตอนนี้ประเทศไทยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ จึงอยากจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนกับภาครัฐเพื่อลดภาระทางการคลัง และยังเป็นแรงขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่เพิ่มมานี้จะเห็นว่า PPP มีการใช้เยอะขึ้นในประเทศไทย” นายเอกนิติกล่าว
2. รับทราบผลการศึกษาเรื่อง Risk Sharing ของประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคณะทำงานด้านการดึงดูดการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ภายใต้คณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (คณะกรรมการประชารัฐ) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ และนายชาติศิริ โสภณพนิช เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน มีข้อแนะนำว่า ที่ผ่านมาโครงการลงทุนของภาครัฐหลายโครงการมักจะมีความเสี่ยง บางครั้งภาครัฐเป็นผู้รับภาระความเสี่ยงที่เกิดขึ้น หรือไม่ก็ภาคเอกชน ยกตัวอย่าง กรณีรถไฟฟ้าบีทีเอสความเสี่ยงจะตกอยู่กับภาคเอกชน ส่วนกรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วงความเสี่ยงจะตกอยู่กับภาครัฐ เป็นต้น
ในการประชุมวันนี้ คณะกรรมการประชารัฐจึงมอบหมายให้นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ) นำผลการศึกษาดังกล่าวไปหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุด สภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหน่วยงานเจ้าของโครงการ เพื่อหาข้อสรุปถึงความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบของ Risk Sharing (การเฉลี่ยความเสี่ยง) ต่างๆ ที่เหมาะสมมาใช้กับโครงการ PPP

“การบริหารความเสี่ยงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศมีหลายรูปแบบ เช่น หากมีความเสี่ยงสูงกว่าที่คาดการณ์ ทั้งภาครัฐกับเอกชนควรจะมาช่วยกันแชร์ความเสี่ยง แต่ถ้าต่ำกว่าจะทำอย่างไร อย่างเช่น ช่วงที่มีการก่อสร้างสนามกีฬาในประเทศจีน เพื่อจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก รัฐบาลจีนให้แรงจูงใจแก่ภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนด้วยการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Return Guarantee) แต่อย่างไรก็ตาม การให้แรงจูงใจบางอย่างอาจไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ เช่น การให้สิทธิพิเศษในการเดินรถ ควบคู่ไปกับการมอบสิทธิในการพัฒนาที่ดิน เป็นต้น แต่ถ้ายังไม่มีการปรับปรุงแก้ไขในส่วนนี้ เวลาเอกชนขาดทุน เอกชนก็บ่น ถ้ารัฐขาดทุน รัฐก็บ่น แต่ถ้าภาครัฐไม่ยอมขาดทุน โครงการลงทุนก็ไม่เกิดสักที” นายเอกนิติกล่าว
3. รับทราบความคืบหน้าของ 5 โครงการที่ดำเนินตาม “มาตรการ PPP Fast Track” ดังนี้
– โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำข้อเสนอการเข้าร่วมลงทุนของภาคเอกชน ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กำหนดให้เอกชนจัดทำข้อเสนอในเดือนพฤศจิกายน 2559 ความคืบหน้ายังเป็นไปตามแผน
– โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกของโครงการส่วนต่อขยาย และคณะกรรมการกำกับดูแลของโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ) ในการพิจารณาแนวทางการเดินรถร่วมกันเป็นโครงข่ายเดียว (Through Operation) ก่อนการเจรจาร่วมกับผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลต่อไปตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 42/2559 ที่ให้คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกำหนดหลักเกณฑ์ การแบ่งปันผลประโยชน์จากค่าโดยสาร รวมถึงหลักเกณฑ์อื่น เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเห็นชอบภายใน 30 วัน โดยขั้นตอนนี้ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วและอยู่ในระยะเวลาที่กำหนด (ครบกำหนดวันที่ 16 กันยายน 2559)
– โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางปะอิน-กาญจนบุรี ได้นำเสนอคณะกรรมการ PPP พิจารณาในการประชุมครั้งนี้ โดยคณะกรรมการ PPP รับทราบผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ พร้อมมอบหมายให้กรมทางหลวงเร่งสร้างความชัดเจนทางกฎหมาย โดยการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้โครงการ M6 และ M81 สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงานที่กำหนด
“สาเหตุที่ต้องนำโครงการมอร์เตอร์เวย์รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการ PPP วันนี้ เพราะหลังจากก่อสร้างมอเตอร์เวย์เสร็จ ขั้นตอนต่อไปต้องเชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในการบำรุงรักษาทางและจัดเก็บค่าผ่านทาง (Operation and Maintenance) อีกอันคือเรื่อง Rest Area ในส่วนที่พักระหว่างทาง ถึงแม้ยังพอมีเวลาในการพิจารณา แต่ก็ไม่อยากรอให้ก่อสร้างเสร็จก่อน แล้วค่อยลงมือทำ อาจจะไม่มีคนมาบริหาร จำเป็นต้องศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะในเรื่องของการเวนคืนนั้นจะสามารถทำในรูปแบบของการให้สัมปทานได้หรือไม่ การบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนควรจะเป็นอย่างไร ให้เอกชนรับความเสี่ยง หรือรัฐรับความเสี่ยง วันนี้ที่ประชุมจึงมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาข้อกฎหมายให้ชัดเจน” นายเอกนิติกล่าว