ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 ส.ค. 2559: “‘ป๋าเปรม’ ยืนยัน จะทำทุกอย่างเพื่อช่วย ‘บิ๊กตู่'” และ “คาร์บอมบ์ปัตตานี เจ็บ 30 ตาย 1”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 ส.ค. 2559: “‘ป๋าเปรม’ ยืนยัน จะทำทุกอย่างเพื่อช่วย ‘บิ๊กตู่'” และ “คาร์บอมบ์ปัตตานี เจ็บ 30 ตาย 1”

27 สิงหาคม 2016


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 ส.ค. 2559

  • “ป๋าเปรม” ยืนยัน จะทำทุกอย่างเพื่อช่วย “บิ๊กตู่”
  • ม.44 พักงาน “ชายหมู-หมอเปรม”
  • โอด ประกันสังคมเพิ่มวงเงินทำฟันแถมพ่วงเงื่อนไข
  • เสนอถอดกัญชาพ้นยาเสพติดให้โทษ เพื่อประโยชน์รักษาโรค
  • คาร์บอมบ์ปัตตานี เจ็บ 30 ตาย 1
  • “ป๋าเปรม” ยืนยัน จะทำทุกอย่างเพื่อช่วย “บิ๊กตู่”

    พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่มาภาพ: เว็บไซต์คมชัดลึก (http://www.komchadluek.net/news/politic/239522)
    พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์คมชัดลึก (http://www.komchadluek.net/news/politic/239522)

    เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า วันที่ 26 ส.ค. 2559 พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ได้เปิดบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ให้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งข้าราชการนายทหารชั้นผู้ใหญ่และตำรวจ เข้าอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 96 ปี

    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นตัวแทนกล่าวอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด พล.อ. เปรม ว่า ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดได้เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ตนพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอถือโอกาสอันเป็นมงคลนี้อำนวยพรแด่ พล.อ. เปรม ด้วยความรักและเคารพยิ่ง พวกตนตระหนักเสมอว่า พล.อ. เปรม ได้อุทิศตนในการทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และมีเกียรติประวัติคุณงามความดีและการดำรงตนด้วยความมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ทำให้ พล.อ. เปรม เป็นที่เคารพยกย่อง เชิดชูและเป็นแบบอย่างสำหรับพวกตนในการปฏิบัติหน้าที่ ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก พร้อมที่จะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าและเกิดประโยชน์สุขต่อพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุด

    ด้าน พล.อ. เปรม กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่เป็นเพื่อนรักของพวกเราทุกคน ตนคิดอยู่เสมอว่าสมัยของ พล.อ. ประยุทธ์ และสมัยของพวกเราที่ร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้กับบ้านเมืองให้มีความรักความสามัคคีกลับมาให้ได้ ตนเชื่อมือนายกรัฐมนตรีและพวกเราว่าจะทำงานให้ชาติบ้านเมืองด้วยความจงรักภักดีความเสียสละ และเห็นแก่ความสุขของคนไทย พวกเราจะทุ่มเทในทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ถ้ามีอุปสรรคไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ยากหรือง่าย ขอให้นายกรัฐมนตรีสบายใจว่าพวกเรากองทัพและประชาชนจะสนับสนุนให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและพวกเราทุกคน

    “ตู่ เดี๋ยวนี้ป๋าอายุมากแล้ว ก็อยากจะช่วยตู่เท่าที่สามารถจะช่วยได้ ซึ่งสิ่งที่ผมช่วย คือเวลาคุยกับใครก็จะไปบอกเค้าว่าทำไมตู่ต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้มันเหนื่อยเปล่าทำไมป้อม (พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ต้องมาช่วยน้องชาย และเจี๊ยบ (พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ต้องมาช่วยเพื่อนพวกเราทุกคนเห็นว่ามีความจำเป็นในการเข้ามาในสถานการณ์เช่นนี้ ที่พูดไม่ได้หมายความว่าเรามาทำเพื่อใครแต่เราทำเพื่อคนไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ขอให้ตู่มั่นใจว่าทหารแก่อย่างเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตู่สามารถทำงานบรรลุภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของชาติ ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำต่อไปจนกว่าจะได้ หากมีอุปสรรคก็ต้องแก้ไข”

    “หวังว่าพวกเราทุกคนจะเข้าใจว่ามันเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งไม่ใช่โอกาสที่ดีของตู่หรือใคร แต่เป็นโอกาสที่ดีของคนไทยที่พวกเราทุกคนจะช่วยทำให้เกิดความรักความสามัคคีในชาติบ้านเมืองให้ได้ อย่างที่พูดป๋าแก่แล้วคงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่จะเป็นกำลังใจว่าตู่ต้องทำให้สำเร็จ หวังว่าพวกเราทุกคนจะทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจได้สำเร็จและมีความรักความสามัคคีกลับมา ขอให้ตู่สบายใจ พวกเราจะเชียร์และเป็นกำลังใจ จะทำทุกอย่างที่ทำให้ตู่นำความผาสุกมาสู่ประชาชนคนไทย ขอให้โชคดีและมีความสุข” พล.อ. เปรม กล่าว

    พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวภายหลังพูดคุยกับ พล.อ. เปรม ว่า ตนได้รายงานถึงสถานการณ์ภาพรวมของประเทศให้ พล.อ. เปรม ได้รับทราบ ซึ่ง พล.อ. เปรม ก็เป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง และบอกจะเป็นกำลังใจให้ ซึ่งไม่ได้สั่งการอะไรทั้งสิ้น เพราะ พล.อ. เปรม บอกว่าทำดีอยู่แล้ว ทั้งนี้สิ่งที่เราทำก็ได้มาจากการเรียนรู้มาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ. เปรม ก็เป็นแบบอย่างการทำงานอยู่แล้ว อีกทั้งสิ่งหนึ่งสิ่งสำคัญอีกอย่างคือความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งเรายึดมาโดยตลอด รวมถึงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต้องมาก่อนเสมอ ส่วนเรื่องอื่นๆ เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งสิ้น พล.อ. เปรม ก็ชื่นชมและบอกว่ายังมีงานอีกมากจะทำไหวหรือไม่ ซึ่งตนก็ตอบไปว่าไหวอยู่แล้ว

    เมื่อถามว่ารู้สึกหายเหนื่อยไหมที่มี พล.อ. เปรม คอยเชียร์และเป็นกำลังใจให้ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ผมไม่เคยเหนื่อย มีแต่โมโห”

    ม.44 พักงาน “ชายหมู-หมอเปรม”

    ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และนายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ (ในกรอบ) ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472107875)
    ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และนายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ (ในกรอบ)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472107875)

    เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 50/2559 โดยระบุว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ว่าอาจมีการทุกจริตประพฤติมิชอบ หรือมีพฤติกรรมซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งแม้จะยังไม่อาจสรุปความผิด แต่ก็เป็นที่สนใจของประชาชนและมีการดำเนินการไปแล้วระดับหนึ่ง ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรมในการชี้แจงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อไม่เป็นที่ครหาของประชาชน เพื่อประโยชน์แก่ราชการและประชาชน รวมทั้งไม่เกิดผลเสียหายต่อราชการแผ่นดิน จึงมีคำสั่งตามอำนาจใน ม.44 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในกรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว และนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในเทศบาลเมืองบ้านไผ่เป็นการชั่วคราว

    ทั้งนี้ ทั้งสองคนยังไม่พ้นจากตำแหน่ง และไม่ได้รับค่าตอบแทนในระหว่างนี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ส่วนหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบ ให้ดำเนินการต่อไป

    โอด ประกันสังคมเพิ่มวงเงินทำฟันแถมพ่วงเงื่อนไข

    Screen Shot 2016-08-27 at 5.02.44 AM

    วันที่ 23 ส.ค. 2559 เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า นายมนัส โกศล ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) กล่าวว่า จากกรณีที่สำนักงานประกันสังคมประกาศเพิ่มสิทธิค่ารักษาการทำฟันจาก 600 บาทเป็น 900 บาท เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2559 ที่ผ่านมานั้นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หลังจากมีการเพิ่มสิทธิค่าทำฟัน ปรากฏว่า มีผู้ประกันตนหลายคนโทรมาร้องเรียนกับทาง คปค. จำนวนหนึ่ง เนื่องจากเกิดปัญหาตรงบัญชีแนบท้ายประกาศของ สปส. ส่งผลให้ผู้ประกันตนต่อการใช้บริการ ดังนั้น ทาง คปค. และเครือข่าย ฟ.ฟันสร้างสุข จึงได้หารือ และเตรียมเข้าพบผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และสปส. ขอให้ยกเลิกบัญชีแนบท้ายดังกล่าว เหลือเพียงใจความสำคัญที่ระบุว่าเป็นการเพิ่มสิทธิทันตกรรมจากปีละ 600 บาท เป็น 900 บาทต่อปี ตามสูตรเดิมในทุกกรณี

    ทพ.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล อุปนายกทันตแพทยสภาคนที่ 2 กล่าวว่า สิทธิค่ารักษาทันตกรรมเดิมกำหนดไว้ 600 บาท แบบไม่มีเงื่อนไข แต่สิทธิใหม่ 900 บาท กลับมีเงื่อนไข และมีอัตราแนบท้าย ซึ่งราคาที่กำหนดในการใช้บริการทันตกรรมอ้างอิงคลินิกในระบบราชการ ซึ่งแตกต่างจากการใช้บริการของผู้ประกันตน ที่ไปทำในคลินิกเอกชน ยกตัวอย่าง มีสิทธิค่าทำฟัน 900 บาท สมมติต้องอุดฟัน 1 ซี่ คลินิกเอกชนคิดราคา 800 บาท แต่อัตราแนบท้ายเบิกได้ไม่เกิน 500 บาท ดังนั้น ผู้ประกันตนต้องจ่ายเพิ่มอีก 300 บาท แทนที่จะได้ สิทธิ 900 บาทเต็มๆ ซึ่งหากตามรูปแบบเดิมที่ไม่มีเงื่อนไข ก็สามารถใช้สิทธิได้เต็ม โดยไม่มีการแยกการบริการเช่นนี้ ดังนั้น จึงขอให้ยกเลิกบัญชีแนบท้ายเสีย เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนมากกว่า

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์แนบท้ายประกาศคณะกรรมการการแพทย์ ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 เรื่องหลักเกณฑ์ และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทน ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่ เนื่องจากการทำงาน ลงวันที่ 12 สิงหาคม 2559 ประกอบด้วย 1. ขูดหินปูนทั้งปาก อัตราค่าบริการ(เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน) 400 บาท 2. อุดฟันด้วยวัสดุอะมอลทัม (Amalgam) 1 ด้าน 300 บาท อุด 2 ด้าน 450 บาท 3. อุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน 1 ด้าน กรณีฟันหน้า 350 บาท กรณีฟันหลัง 400บาท อุด 2 ด้าน กรณีฟันหน้า 400 บาท กรณีฟันหลัง 500 บาท 4. ถอนฟันแท้ 250 บาท ถอนฟันที่ยาก 450 บาท และ 5. ผ่าฟันคุด 900 บาท

    ด้านนางเพ็ชรา ถาวระ รองเลขาธิการ สปส. กล่าวว่า สปส. ยินดีรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกันตน ซึ่งจริงๆ แล้วการเพิ่มวงเงิน 600 บาทเป็น 900 บาท โดยมีบัญชีแนบท้าย ก็เป็นการอิงบัญชีตามระบบราชการ ดังนั้น หากมีความคิดเห็นอย่างไรก็พร้อมรับฟังเสมอ

    เสนอถอดกัญชาพ้นยาเสพติดให้โทษ เพื่อประโยชน์รักษาโรค

    วันที่ 22 ส.ค. 2559 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ในเวทีเสวนารับฟังความเห็นเรื่อง การถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค นายแพทย์สมนึก ศิริพานทอง นักวิจัยเกี่ยวกับการรักษามะเร็งด้วยกัญชา ระบุว่า การนำกัญชามารักษาโรคมะเร็ง มีงานวิจัยรองรับ เช่น งานวิจัยจากสถาบันมะเร็งสหรัฐ และ อิสราเอล เรื่องการใช้สาร THC/CBD ที่สกัดจากกัญชามารักษาโรคต่างๆ ได้ หากกฎหมายไทยเปิดให้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เชื่อว่า จะช่วยให้คนไทยมีโอกาสใช้ยารักษาโรคที่ถูกลง จึงแนะนำให้แก้ไขร่างกฎหมายยาเสพติดเพื่อให้ประชาชนสามารถปลูกได้เอง

    ส่วนการควบคุม อาจใช้โมเดลของอิสราเอล ที่กำหนดว่า ประชาชนทั่วไปที่ได้รับอนุญาตตามคำสั่งแพทย์สามารถปลูกกัญชาได้ครัวเรือนละ 6 ต้น โดยให้เฉพาะต้นตัวเมียซึ่งไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ โรงพยาบาล สามารถปลูกได้ 90 ต้น แต่ต้องทำครัวเรือนระบบปิด บริษัทยาต้องปลูกในระบบปิดเช่นกัน เพื่อควบคุม ป้องกันการรั่วไหลของกัญชาในการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

    นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า หากรัฐบาลถอดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ได้ จะทำให้คนไทยที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งลดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ปีละ 1 ล้านบาทต่อราย ขณะเดียวกัน หากมีการปลูกเพื่อเศรษฐกิจ คาดว่าจะสามารถทำรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี เพราะประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนชื้น เหมาะต่อการปลูกกัญชา

    พลตำรวจตรี ศุภกิจ ศรีจันทรนนท์ รองผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด ยอมรับว่า ที่ผ่านมาการก่ออาชญากรรมยังไม่เคยมีสาเหตุมาจากการเสพกัญชา แต่การแก้ไขกฎหมายขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องร่างกฎหมายขึ้นมาเพื่อบังคับใช้ต่อไป ส่วนความคืบหน้าการแก้ร่างกฎหมายยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้

    เภสัชกรสมชาย ปรีชาทวีกิจ ผู้อำนวยการสำนักด่านอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ก่อนจะมีการถอดถอนกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด จะต้องพิจารณาความจำเป็นในด้านต่างๆ และต้องมีข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนด้วยว่าเป็นประโยชน์หรือไม่ และต้องมีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า กัญชามีประโยชน์ต่อการแพทย์จริง

    คาร์บอมบ์ปัตตานี เจ็บ 30 ตาย 1

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/699883)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/699883)

    วันที่ 24 ส.ค. 2559 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เกิดเหตุเหตุคาร์บอมบ์ถล่มโรงแรมขึ้นเมื่อเวลา 23.30 น.วันที่ 23 ส.ค. ที่หน้าโรงแรมเซาท์เทิร์นวิว หมู่ 3 ต.รูสะมิแล อ.เมืองปัตตานี หลังสิ้นเสียงระเบิดปรากฏว่า รถ จยย. และรถยนต์เสียหายกว่า 10 คัน และมีผู้บาดเจ็บประมาณ 30 คน พลเมืองดีช่วยลำเลียงส่ง รพ.ปัตตานี และเสียชีวิต 1 ราย ทราบว่าชื่อ น.ส.อรพรรณ ศรีเรือนหัตถ์ อายุ 35 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี ส่วนอาคารโรงแรมด้านล่าง กระจกห้องพัก ร้านค้าและอาคารพาณิชย์ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุได้รับความเสียหายจำนวนมาก

    หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต. ทนงศักดิ์ วังสุภา ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พร้อมกำลังตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง มาตรวจที่เกิดเหตุ พบรถคาร์บอมบ์เป็นรถกระบะไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียนโดยดัดแปลงเป็นรถของหน่วยกู้ภัย สภาพพังยับไม่มีชิ้นดี สอบสวนทราบว่าก่อนหน้านั้นประมาณ 10 นาที เกิดเหตุระเบิดริมถนนห่างจากโรงแรมราว 200 เมตร จากนั้นมีรถคาร์บอมบ์ที่ดัดแปลงคล้ายรถหน่วยกู้ภัยมาจอดที่เกิดเหตุโดยมีคนขับเป็นชายวัยรุ่น จากนั้นผ่านไปประมาณ 10 นาที เกิดเหตุคาร์บอมบ์ดังสนั่นหวั่นไหวจนทำให้มีคนบาดเจ็บและเกิดความเสียหายจำนวนมากดังกล่าว

    ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. แถลงหลังประชุม ครม. ถึงการพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐหรือกลุ่มมาลาปาตานี โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลางว่าเป็นการพูดคุยที่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เป็นการพูดคุยกับรัฐบาลไทย เราเป็นรัฐบาลจะไปคุยกับคนทำผิดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากลุ่มที่จะพูดคุยกันชื่ออะไรก็แล้วแต่จะใช้กฎหมายไทยเป็นหลักเพราะมีเจตนารมณ์ต้องการสร้างความสงบสันติให้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับ 4 อำเภอใน จ.สงขลา ให้ได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือ อย่าไปเร่งเพราะจะกลายเป็นประเด็นทำให้อีกฝ่ายกดดันเจ้าหน้าที่ในการทำงาน

    เมื่อถามว่า การพูดคุยกับกลุ่มมาลาปาตานีมีการลงนามข้อตกลง หรือ TOR เพื่อให้ความเห็นชอบในกรอบการพูดคุยแล้วหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา ส่วนขั้นตอนการพูดคุยให้ไปดำเนินการต่อกับพาร์ท A คือส่วนที่เป็นทางการและพาร์ท B คือพวกที่เห็นต่างจากพาร์ท A ซึ่งมีกลุ่มมาลาปาตานีรวมอยู่ด้วย ตนไม่ได้ต้องการให้มีหลายกลุ่มขึ้นมา ขอให้ไปรวมกันแล้วค่อยมาคุยเพราะรัฐบาลมีรัฐบาลเดียวต้องพูดภาษาเดียวกัน “ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการทำให้เหตุการณ์ยุติลงให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะประชาชนเดือดร้อน การพัฒนาประเทศก็เดินหน้าไปไม่ได้เท่าที่ควร วันนี้เปิดประชาคมอาเซียนไปแล้ว ศักยภาพในภาคใต้เยอะแยะไปหมด ขอฝากประชาชนภาคใต้ อย่าไปสนับสนุนหรือให้ความร่วมมือหรือไปหวาดกลัวผู้ใช้ความรุนแรงที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่ทำความเดือดร้อนให้แจ้งมา ผมจะสอบสวนลงโทษให้” นายกฯ กล่าว

    ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าศักยภาพของกลุ่มมาลาปาตานียังถือว่ามีบทบาทใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี ผมไม่ถือว่าใครมีศักยภาพ เป็นเรื่องที่เราไปให้ศักยภาพเขาเองคือไปเขียนโฆษณาให้เขาถึงมีศักยภาพ ถ้าไม่เขียนก็ไม่มี เพราะชื่อนี้ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนแล้วแต่เขาให้เกียรติ เขาคิดต่างได้ คิดที่ต่างประเทศ ไม่ได้คิดในประเทศไทย ถ้าคิดในประเทศไทยเมื่อไหร่ โดนจับเมื่อนั้น” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวและบอกอีกว่า ส่วนกำหนดการพูดคุยกับกลุ่มมาลาปาตานีได้ให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาอยู่ ไม่อยากให้ความสำคัญตรงนี้มาก มันอยู่ที่ว่าต่างฝ่ายต่างมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาหรือไม่ ถ้าจริงใจต้องหยุดความรุนแรงให้ได้ก่อน ไม่ใช่เอาประเด็นความรุนแรงมาเร่งรัดการพูดคุย แล้วถ้าพวกเราเล่นกันแบบนี้ เราต้องไปยอมรับข้อเสนอของเขาที่บางทีก็มีปัญหากับเราใช่หรือไม่

    “ประเด็นสำคัญจะทำอย่างไรให้คนไทยพุทธและไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รัฐบาลจะได้เดินหน้าพัฒนาตามที่มี 8-9 ยุทธศาสตร์รองรับ เรื่องนี้เป็นการพูดคุยสันติสุขไม่ใช่การเจรจา เพราะการเจรจามันมีการสู้รบแต่ตรงนี้เป็นการทำผิดกฎหมายคดีอาญาฆ่าคนตาย แล้วมีคนมารับสมอ้าง อ้างนี่ อ้างโน่น จะชื่ออะไรก็ไม่รู้ ไปหากันมาให้ออก ไม่เช่นนั้นมันก็แตกลูกแตกหลานไปหลายคณะ แล้วทีนี้จะพูดกับใคร รัฐบาลมีรัฐบาลเดียวจะไปพูดคุยกับหลายคณะไม่ได้” นายกฯ กล่าว