ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสเศรษฐกิจ > PwC เผย “Global CEO Survey” เชื่อเศรษฐกิจทรุดต่อเนื่อง – ชี้ธุรกิจศตวรรษ 21ไม่วัดที่ “ผลกำไร” แต่วัดด้วย “SDG”

PwC เผย “Global CEO Survey” เชื่อเศรษฐกิจทรุดต่อเนื่อง – ชี้ธุรกิจศตวรรษ 21ไม่วัดที่ “ผลกำไร” แต่วัดด้วย “SDG”

25 กุมภาพันธ์ 2016


นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 PwC เผยผลสำรวจ Global CEO Survey พบความเชื่อมั่นซีอีโออาเซียนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและรายได้ปีนี้ลดลงจากปีก่อน เป็นไปในทิศทางเดียวกับซีอีโอโลก เหตุกังวลความไม่สงบทางการเมือง ห่วงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มี “อุปสรรค” ในการทำธุรกิจมากกว่า “โอกาส” แต่ก็ยังเดินหน้าลงทุน โดยไทยยังติด 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุนในสายตาอาเซียน แนะเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการศึกษา เพื่อผงาดขึ้นสู่ตลาดการลงทุนแถวหน้าของอาเซียน เผยการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs ซึ่งจะเป็นตัววัดผลสำเร็จของธุรกิจและความท้าทายใหม่ของธุรกิจในศตวรรษที่ 21

นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Global CEO Survey ครั้งที่ 19 ที่ใช้ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2559 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,409 รายใน 83 ประเทศ ครอบคลุม 22 อุตสาหกรรม ในจำนวนนี้ 350 บริษัทมีรายได้รวมระหว่าง 36,000–360,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในมุมมองของซีอีโอทั้ง 1,409 รายนั้นมีความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลงเรื่อยๆ จากในปี 2557 มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 44% ในปี 2558 เหลือ 37% และในปี 2559 เหลือ 27% ในทางกลับกัน เปอร์เซ็นต์การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลงกลับเพิ่มขึ้น หมายถึง ในปี 2559 นี้ ซีอีโอมองว่าเศรษฐกิจโลกไม่สู้ดีนัก

โดยข้อมูลสนับสนุนจาก IMF ได้มีการปรับเปลี่ยนการคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีจาก 3.6 เป็น 3.4 แสดงให้เห็นว่า IMF ก็คิดคล้ายๆ ซีอีโอ ที่มีความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลง โดยหลักๆ แหล่งการคาดการณ์มาจากการประเมินเศรษฐกิจในประเทศจีน ตามด้วยภูมิภาคอาเซียน สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคยุโรป

“เมื่อถามว่าท่านมองรายได้ของตนเองในอีก 12 เดือนข้างหน้าอย่างไร ส่วนนี้ก็ลดลงจากปีที่ผ่านมาเช่นกัน โดยลดลงไป 4% แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าจะชะลอการลงทุน ซึ่งเหตุผลที่ความเชื่อมั่นโดยรวมลดลงเนื่องมาจากซีอีโอประเทศหลักๆ ได้แก่ จีน อเมริกา และสหราชอาณาจักร ขาดความเชื่อมั่นต่อความเติบโตของรายได้ แต่หากมองในระยะยาว คือในอีก 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนความเชื่อมั่นต่อความเติบโตของรายได้ยังคงทรงตัวอยู่ที่ 49%”

นายศิระกล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นความกังวลของเหล่าซีอีโอ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมากเกินไป โดยมองว่าจะทำให้การดำเนินธุรกิจยากและมีต้นทุนสูงขึ้น เรื่องความไม่สงบทางการเมืองซึ่งหลักๆ ผูกโยงกับข้อขัดแย้งระหว่างอิรักและซีเรีย และสุดท้ายคือเรื่องของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมาก ทั้งยูเอสดอลลาร์ เงินหยวนของจีน และเงินเยนของญี่ปุ่น

“ความไม่สงบทางการเมืองกลายเป็นประเด็นที่ซีอีโอทั่วโลกต่างพูดถึงและจับตาอย่างใกล้ชิดในปีนี้ โดยซีอีโอมองว่า หากมีสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศปะทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้คนและภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับซีอีโอใน 3 เรื่องอื่นๆ อีก ได้แก่ ความกังวลในเรื่องความไม่มั่นคงของสังคม ความกังวลในความพร้อมของภาครัฐในการรับมือเมื่อเกิดวิกฤติ และความกังวลในเรื่องการคุกคามทางไซเบอร์ โดยเฉพาะในประเด็นการโจรกรรมข้อมูลของภาครัฐ ที่ปีก่อนหน้าไม่เคยปรากฏแต่ผลสำรวจในปีนี้มีให้เห็น”

ด้านโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ 66% ของซีอีโอทั้งหมดมองว่า มีอุปสรรคซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 7% อย่างไรก็ตาม นายศิระกล่าวย้ำว่าอุปสรรคที่ซีอีโอมองว่าเพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้สื่อความว่าจะชะลอ “การลงทุน” โดยประเทศที่ซีอีโอทั้งหมดเห็นพ้องว่าน่าลงทุน 4 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ขณะที่ประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เม็กซิโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ยังคงเป็นประเทศที่กลุ่มซีอีโอสนใจใน 10 อันดับ โดยยังไม่มีประเทศใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขยับขึ้นมาเป็นประเทศที่น่าลงทุนในระดับโลก แม้นักลงทุนจะให้ความสนใจประเทศอินโดนีเซียมากขึ้นก็ตาม

“สำหรับการจ้างแรงงาน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นนั้นลดลง โดยเหล่าซีอีโอให้ความสำคัญกับทักษะแรงงานมาก โดยเฉพาะพนักงานที่มีความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Hybrids Skill) ไม่ว่าจะอยู่ในวิชาชีพอะไรก็ดี ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัลเป็นสิ่งที่จะต้องมีติดตัวแรงงาน

ด้านซีอีโอจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 61 รายใน 7 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และไทย พบว่า ความเชื่อมั่นของซีอีโออาเซียนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้บริษัทในปีนี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 39% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก (Global Economy) จะดีขึ้นในปีนี้ ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ 49% ถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปีนับจากปี 2556 โดย 3 ปัจจัยหลักที่ซีอีโออาเซียนมองว่าเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจและนโยบาย (economic and policy threats) ได้แก่ ความผัวผวนของอัตราแลกเปลี่ยน (exchange rate volatility) ความไม่มั่นคงทางสังคม (social instability) และความไม่สงบทางการเมือง (geopolitical uncertainty)

นอกจากนี้ ในระยะสั้น หลายประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีแผนการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศในปีนี้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์และไทย แม้จะยังไม่แน่นอนก็ตาม ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ยังเตรียมกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 13 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2559-2563 อีกด้วย ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ซีอีโออาเซียนต่างเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด

“ปีนี้ความเชื่อมั่นของซีอีโอโลกและซีอีโออาเซียนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้บริษัทลดลงทั้งคู่เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า ภาพรวมของโลกไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงไม่น่าแปลกใจที่ซีอีโอทั้งสองกลุ่มต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ในปีนี้มีอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจมากกว่าโอกาส” (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

Info 19th CEO Survey TH_72px

ขณะที่ผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 38% ในปีนี้เชื่อว่า รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจากปีก่อนที่ 47% สำหรับ 3 ปัจจัยที่ซีอีโออาเซียนมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจ (Business threats) ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (88%) ยังเป็นอุปสรรคลำดับแรกที่ซีอีโออาเซียนกังวล ซึ่งประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายหลายบริษัทในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งด้านไอที เทคโนโลยี และทักษะเฉพาะทาง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า เพราะจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ทัดเทียมสากล ถัดมาคือ การติดสินบนและคอร์รัปชัน (80%) และสุดท้ายคือ การขาดความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ (75%)

“สำหรับประเด็นการคอร์รัปชันเป็นประเด็นที่กลุ่มซีอีโอในอาเซียนกังวลกันไม่น้อย สะท้อนให้เห็นปัญหาในภูมิภาคนี้ และประเทศไทยเองจากการประกาศผลดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันล่าสุด แม้จะมีอันดับที่เพิ่มขึ้นแต่ค่าคะแนนที่อยู่ที่ 38 คะแนน ยังเป็นผลลัพธ์ที่น่าเป็นกังวล”

ขณะที่แนวโน้มการจ้างงานเพิ่มในอาเซียนก็ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจที่ชะลอตัวเช่นกัน โดยจากผลสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนเพียง 59% เท่านั้นที่มีแผนจะจ้างบุคลากรเพิ่ม ลดลงจากการสำรวจปีก่อน ประมาณ 8% อย่างไรก็ดี นายศิระกล่าวเสริมว่า แม้ภาพรวมการจ้างงานจะลด แต่ความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงในภูมิภาคยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ซีอีโออาเซียนให้ความสำคัญกับการเฟ้นหาและบริหารบุคลากรที่เป็นทาเลนต์ โดย 43% ระบุว่า จะเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาบุคลากร เพื่อผลักดันให้คนเก่งมากความสามารถขึ้นเป็นผู้บริหารในอนาคต (building a pipeline of leaders for tomorrow)

นายศิระกล่าวต่อไปว่า ซีอีโอในอาเซียนยังมีความต้องการจะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและพฤติกรรมการทำงาน (Workplace culture and behaviours) รวมทั้ง ระบบการบริหารจัดการผลตอบแทนและสวัสดิการให้แก่พนักงาน (pay, incentives and benefits provided to employees) เพื่อจูงใจและรักษาทาเลนต์ให้อยู่กับองค์กรไปนานๆ

ไทยติด Top 5 ตลาดน่าลงทุนของอาเซียน

นายศิระกล่าวต่อว่า แม้ว่าภาพรวมความเชื่อมั่นในปีนี้จะดูแย่ แต่ผู้บริหารในภูมิภาคยังคงมีแผนลงทุนตามปกติ โดยผลสำรวจพบว่า 5 อันดับตลาดน่าลงทุนในปีนี้ อันดับที่ 1 ได้แก่ จีน (49%) ซึ่งแม้ปีนี้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มไม่สดใสนัก แต่จีนถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของอาเซียน อันดับที่ 2 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (42%) โดยดูจากกำลังซื้อและตัวเลขจ้างงานที่ฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามติดอันดับที่ 3 (19% เท่ากัน) อย่างไม่น่าแปลกใจ เพราะทั้งมูลค่าการลงทุนและอัตราการขยายตัวของภาคธุรกิจของสองประเทศ ประกอบกับอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำและทรัพยากรธรรมชาติที่ยังมีอยู่มาก ทำให้โอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงมีสูง ตามด้วย อันดับที่ 4 ได้แก่ อินเดีย (13%) ภายใต้การบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรี นเรนทระ โมที

สำหรับประเทศไทยนั้นยังติด 1 ใน 5 ตลาดที่น่าลงทุนในสายตาซีอีโออาเซียนในปีนี้ (12%) โดยมีจุดแข็งสำคัญด้านแรงงานที่มีทักษะฝีมือเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการใช้จ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ผนวกกับไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียนทำให้มีข้อได้เปรียบหลายด้าน โดยเฉพาะการคมนาคม การติดต่อสื่อสาร และการท่องเที่ยว ยังขยายตัวได้ดี

อย่างไรก็ดี ไทยก็ไม่ควรชะล่าใจ โดยยังมีจุดอ่อนบางเรื่องที่ต้องปรับปรุง เช่น ภาคการผลิตในบางจุดยังมีประสิทธิภาพต่ำ ค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น การปรับปรุงคุณภาพ การศึกษาการกระจุกตัวของพื้นที่อุตสาหกรรมที่อาจทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ภาระหนี้สินของคนในชนบทและผู้มีรายได้น้อย และการอพยพของแรงงาน เป็นต้น

“ไทยเองเพิ่งขยับมาติดอันดับประเทศน่าลงทุนในอาเซียนเมื่อปี 2557 ในอันดับที่ 4 ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการเปิด ACE โดยเฉพาะการเติบโตของอินโดนีเซียมีผลมากในการทำให้สายตาประเทศต่างๆ หันมามอง AEC และแม้ในปีนี้จะตกลงมาเป็นอันดับที่ 5 เนื่องจากเหตุระเบิดราชประสงค์และปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย แต่คาดว่าใน 3-4 ปีข้างหน้าไทยก็ยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนในสายตาเพื่อนบ้านเนื่องจากจุดแข็งหลายประการข้างต้น แต่สิ่งที่เราละเลยไม่ได้ คือ ต้องแก้ไขจุดอ่อนหลายๆ ด้านอย่างเร่งด่วน เพื่อไล่ตามอินโดนีเซียและเวียดนามให้ทัน”

นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของภาคเอกชน โดยซีอีโออาเซียนมองว่า ภารกิจสำคัญอันดับแรกที่ต้องการการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ได้แก่ 1. การสร้างแรงงานที่มีทักษะเพียงพอต่อความต้องการของตลาด (71%) ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน 2. โครงสร้างพื้นฐานเชิงกายภาพและดิจิทัล (41%) และ 3. แรงงานที่มีความหลากหลาย (38%)

“เรื่องภาษีที่ไม่เคยพบในการสำรวจ ในปีนี้พบเป็นครั้งแรก โดยซีอีโอเริ่มมองภาษีเป็นประเด็น อาจเพราะวันนี้เรื่องการดำเนินธุรกิจ ผลประกอบการของแต่ละองค์กรจะมีกำไรได้ก็ต้องนับการหักภาษีร่วมด้วยเช่นกัน หากสามารถบริหารภาษีให้ถูกลงได้กำไรสุทธิจึงสูงขึ้น ซึ่งการลดอัตราภาษีมีส่วนทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการลดลง เช่นกัน การเสียภาษีอย่างถูกต้องมีผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร ซึ่งนโยบายของรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบบัญชีเดียว โดยให้ข้อจูงใจว่าจะไม่ตรวจภาษีย้อนหลัง ก็ตอบโจทย์ความต้องการของซีอีโออาเซียนเช่นกัน”

SDGs ความท้าทายของธุรกิจอนาคต

นายศิระกล่าวว่า ซีอีโออาเซียนในปีนี้ยังแบ่งความท้าทายของการดำเนินธุรกิจออกเป็น 2 ด้านด้วยกัน ประกอบด้วย 1. การตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (addressing greater expectations) และ 2. การประเมินผลสำเร็จของกิจการ (measuring success)

ผลจากการสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนถึง 77% มองว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะเป็นเทรนด์ที่สามารถช่วยตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียของธุรกิจได้มากที่สุด ด้วยพลวัตการเปลี่ยนแปลงด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และอื่นๆ

ส่วนความท้าทายในการประเมินผลสำเร็จของกิจการนั้น ผลสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนกว่า 80% ต่างเห็นด้วยว่า ความสำเร็จในการทำธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้วัดกันที่ “ผลกำไร” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เนื่องจากผู้บริหารทั่วโลกเริ่มตื่นตัวในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุม 3 มิติ ประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยคำนึงถึงเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจพร้อมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามที่ประชาคมโลกกำลังให้ความสำคัญเพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ 17 เป้าหมายในอีก 14 ปีข้างหน้า (2558-2573) และเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไปทั่วโลก

“ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่วันนี้ธุรกิจอาเซียนมีแผนที่จะนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาปรับใช้กับองค์กร ผลสำรวจในปีที่ผ่านมาของเราระบุว่า บริษัทในอาเซียนเกือบ 100% มีแผนที่จะนำ SDGs มาใช้ภายในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย SDGs และสอดคล้องกับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ส่งเสริมเรื่อง Environmental, Social and Governance หรือ ESG เพื่อพัฒนาตลาดทุนไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย”

ขณะที่ผลสำรวจครั้งนี้ระบุว่า ซีอีโอทั่วโลก 39% คิดว่าธุรกิจควรที่จะมีการวัดผลในเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อม (environmental impact) เพราะนั่นหมายถึงการสร้างธุรกิจและสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ภาครัฐและเอกชนจะต้องทำงานร่วมกัน ทั้งในเชิงนโยบายและภาคปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด