ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 14-20 ก.พ. 2559
ม็อบพระปะทะทหาร
เรียบเรียงจากเว็บไซต์คมชัดลึก
15 ก.พ. 2559 พระเมธีธรรมาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย นัดหมายพระสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 แห่งทั่วประเทศ ชุมนุมที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อจัดสัมมนา “สกัดแผนล้มการปกครองคณะสงฆ์ไทย” ทำให้เจ้าหน้าที่ทหาร กองพันทหารช่างที่ 9 กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พุทธมณฑล จำนวนกว่า 50 นาย ได้เข้าตรึงกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณรอบพุทธมณฑล พร้อมทั้งมีคำสั่งปิดประตูทางเข้าด้านถนนพุทธมณฑล สาย 4 ไม่ให้รถยนต์ทุกชนิดเข้าไปด้านในพุทธมณฑล ทั้งนี้ ทหารได้ชี้แจงและขอร้องกับกลุ่มพระสงฆ์ที่เดินทางมาว่าไม่ให้เข้าร่วมชุมนุม เนื่องจากขัดกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และยังมีการขึงลวดหนามที่ปากทางเข้า แต่กลุ่มพระสงฆ์ก็ช่วยกันรื้อออกหลังเจรจาขอให้ทหารเอาลวดหนามออกไม่สำเร็จ
ต่อมาในช่วงบ่าย ทหารใช้รถฮัมวีปิดกั้นเพื่อไม่ให้รถบัสของกลุ่มพระสงฆ์ผ่านเข้าไปได้ พระประสงค์ ปัญญาวุฒโธ เจ้าสำนักสงฆ์เขาพลุคำ ต.วังคัน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เข้าต่อรองให้ทหารนำรถยนต์ถอยออกจากการขวางเส้นทางแต่ไม่สำเร็จจนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน และปรากฏภาพราวกับมีการชกต่อยกันรวมทั้งภาพพระล็อกคอทหารออกไปตามสื่อ
“พุทธมณฑลเป็นเขตของสงฆ์ ทหารไม่ควรที่จะมายุ่งเกี่ยว น่าจะปล่อยให้สงฆ์ทำงานไป เพราะคณะสงฆ์ไม่เคยแสดงบทบาทอะไร สงบนิ่งมาตลอด แต่ในวันนี้จะขอมารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังเพื่อจะมาบอกอะไรสักอย่างให้ทางส่วนราชการหรือเบื้องบน แม้แต่หัวหน้ารัฐบาลได้รับทราบว่า คณะสงฆ์ที่มารวมตัวกันนี้เพื่อต้องการเรียกร้องอะไร ที่ผ่านมาร้องอะไรไปก็เงียบ อย่างที่ได้ยื่นเสนอไปให้ตั้งพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยเสนอไป 1 ล้านชื่อก็เงียบ ในครั้งนี้เรามารวมพลังกัน ถ้าไม่ยอมพระสงฆ์ก็จะลุกฮือกันเต็มพุทธมณฑล” พระประสงค์กล่าว
เวลา 15.00 น. ทหารยอมให้รถของคณะผู้เดินทางเข้าไปด้านในพุทธมณฑลได้ แม้ต่อมาจะมีการนำรถจี๊ปทหารมาปิดกั้นทางเข้าอีก แต่คราวนี้กลุ่มพระสงฆ์ยกรถออกได้โดยทหารไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างไร
ต่อเรื่องระยะเวลาการทำกิจกรรม ทีแรก พระเมธีธรรมาจารย์ บอกว่าจะขอใช้พื้นที่ไปจนถึงวันมาฆบูชา และขอรวมตัวเพื่อแสดงพลังของสงฆ์ พร้อมทั้งบอกว่ารัฐบาลฟังแค่พระเพียงรูปเดียว คือพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย แต่ไม่เคยสนใจเสียงของพระรูปอื่น ขณะที่ทหารยื่นคำขาดว่าให้เวลาถึงเพียง 18.00 น. มิฉะนั้นอาจต้องสลายการชุมนุม
เวลา 17.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า ได้รับการประสานว่า เวลา 18.00 น. ตัวแทนพระสงฆ์ที่ชุมนุมอยู่ที่พุทธมณฑลจะเดินทางมายื่นหนังสือข้อเสนอกับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ทำเนียบ ซึ่งตนรับแจ้งว่า พล.อ. ประวิตร จะมารับหนังสือด้วยตัวเอง และด้าน พ.อ. วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ว่า ล่าสุด ทหาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด และฝ่ายปกครอง ได้หารือกับพระเมธีธรรมาจารย์ ซึ่งได้รับปากว่าจะไม่มีการค้างคืนแต่ขอไปยื่นหนังสือต่อ พล.อ. ประวิตร
ทั้งนี้ ข้อเสนอของคณะสงฆ์ที่มาชุมนุมมีอยู่ว่า ที่ประชุมสงฆ์ทั่วประเทศมีสังฆามติให้นายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1. ขอให้หน่วยงานราชการห้ามเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ 2. ให้ยึดธรรมเนียมปฏิบัติที่กระทำสืบกันมาคือการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม (มส.) ก่อน 3. ขอให้นายกฯ ยึดถือตามมติ มส. ที่มีการเสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช 4. รัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพไม่ข่มขู่คุกคามด้วยกฎหมาย 5. บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
อดีตนักบินแฉ ปมนกแอร์ป่วน ยกเลิก 9 เที่ยวบิน
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2559 สายการบินนกแอร์หยุดให้บริการการบินใน 9 เที่ยวบิน เป็นเหตุให้ผู้โดยสารจำนวนกว่าพันคนได้รับความเดือดร้อน
ในวันดังกล่าว นายพาที สารสิน ได้เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า เกิดปัญหาจากมีนักบินกลุ่มหนึ่ง ประมาณกว่า 10 คน ได้ทำการประท้วง เนื่องจากไม่พอใจที่ทางบริษัทมีการปรับเพิ่มมาตรฐานการ Audit การบริหารงานของฝ่ายบิน โดยอิงมาตรฐานของเอียซา (EASA: European Aviation Safety Agency) ปรากฏว่า มีนักบินบางส่วนไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว จึงได้สร้างความไม่พอใจและประท้วงหยุดบิน ประกอบกับเป็นช่วงวันหยุด ทำให้ต้องตัดสินใจยกเลิกการบิน พร้อมกับประสานในการดูแลผู้โดยสารเหล่านี้ทั้งหมด ในการจัดหาเที่ยวบินอื่นหรือคืนเงินเมื่อมีการยกเลิกเที่ยวบิน ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจะมีการนัดหารือรายละเอียด ในวันที่ 15 ก.พ. 2559 อีกครั้ง
ทว่า ในวันที่ 15 ก.พ. 2559 ก็มีการยกเลิกอีก 4 เที่ยวบิน แต่นายเพ็ชร ชั้นเจริญ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ระบุว่า เป็นการแจ้งยกเลิกล่วงหน้ามายัง ทดม. ตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค. 2559 เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารน้อยมาก ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นักบินประท้วงที่ทำให้มีการยกเลิก 9 เที่ยวบินเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2559
ต่อมา ในวันที่ 16 ก.พ. 2559 นายศานิต คงเพชร อดีตผู้จัดการแผนกรักษามาตรฐานการบินและนักบินผู้ควบคุมอากาศยาน สายการบินนกแอร์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับรายการ “เจาะข่าวเด่น” ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยบอกว่า สาเหตุที่แท้จริงของการยกเลิกเที่ยวบินของนกแอร์ จำนวน 9 เที่ยวบิน เกิดจากสายการบินนกแอร์ได้ทำผิดกฎ ด้วยการบีบบังคับครูการบิน ให้ปล่อยนักบินของการบินพลเรือนที่ไม่ผ่านมาตรฐานเพื่อจะทำการบิน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ทำให้นักบินทั้งหลายไม่สบายใจต่อกรณีนี้ และการไม่สบายใจดังกล่าวจะทำให้มีผลต่อความปลอดภัยในการบินจึงตัดสินใจไม่ขึ้นบิน
เมื่อนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ได้ถามย้ำว่า แน่ใจนะ มีหลักฐานนะเรื่องนี้ นายศานิตก็ตอบอย่างมั่นใจว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีหลักฐานเรื่องนี้
ทั้งนี้ นายศานิตยังระบุด้วยว่า ต้องการให้นายพาที สารสิน ซีอีโอ นกแอร์ มาออกรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ เพื่อจะได้โต้กัน และพูดความจริงกันจะจะ
ทนายเผย “อาเด็ม” ไม่เคยสารภาพวางระเบิด
วันที่ 15 ก.พ. 2559 บีบีซีไทยรายงานว่า นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเด็ม คาราดัก จำเลยที่ 1 ในคดีวางระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ในวันที่ 16 ก.พ. 2559 ลูกความของตนจะเดินทางไปยังศาลทหาร เพื่อรับฟังข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ซึ่งที่ผ่านมา นายคาราดักไม่เคยรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 แต่อย่างใด และในวันที่รับฟังข้อกล่าวหาก็จะให้การปฏิเสธในเกือบทุกข้อกล่าวหา ยกเว้นข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งนายคาราดักเองได้เดินทางเข้ามาในไทยหลังวันเกิดเหตุระเบิด
นายชูชาติ กล่าวว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับนายคาราดักในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เล่าให้ฟังว่าถูกทรมานและทำร้ายร่างกาย ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (16 ก.พ. 2559) ตนจะแจกแจงรายละเอียดให้สื่อมวลชนทราบ สำหรับนายยูซูฟู จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ หากจะให้การรับสารภาพในวันพรุ่งนี้ ศาลก็อาจจะแยกฟ้องไปเป็นคนละคดี
กฎใหม่วีซ่าไทย เข้มงวดนักข่าวต่างประเทศ
ต่อกฎใหม่ในการให้วีซ่านักข่าวต่างประเทศ ซึ่งกำหนดว่าต้องมีสังกัดชัดเจน ทำงานเต็มเวลา และไม่มีพฤติกรรมทำให้เกิดความวุ่นวายหรือกระทบต่อความมั่นคง
18 ก.พ. 2559 บีบีซีไทยรายงานถึงแถลงการณ์ของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ออกมาในวันดังกล่าวว่า แนวทางที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ประกาศออกมาใหม่ได้มีผลให้มีการเข้มงวดมากขึ้นกับการออกวีซ่าอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศทำงานในไทย ซึ่งหลายเรื่องมีผลในทางปฏิบัติไปแล้วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยมีนักข่าว โดยเฉพาะช่างภาพหลายคนที่ทำงานในประเทศไทยมานาน ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยต่อไป
แม้ในใจความของแถลงการณ์ ทางสโมสรฯ จะยอมรับว่านี่เป็นอำนาจที่ กต. สามารถกระทำได้ และยินดีที่ได้มีโอกาสเข้าแลกเปลี่ยน แต่ก็มีการขอให้เจ้าหน้าที่ไทยตีความแนวทางใหม่ในทิศทางที่จะช่วยให้นักข่าวที่เป็นคนทำงานอย่างแท้จริงได้รับการรับรองและสามารถรายงานข่าวได้อย่างเสรีและเป็นธรรม
ด้านโจนาธาน เฮด ประธานคณะทำงานด้านวิชาชีพของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ กล่าวว่า “เราเป็นห่วงว่า นักข่าวบางคนที่ทำงานในไทยมานานหลายปี โดยเฉพาะช่างภาพ จะไม่ได้รับอนุญาตหรือได้วีซ่า เราเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เหมาะควร ที่กระทรวงต่างประเทศจะพยายามทำให้ชัดเจนว่า มีเฉพาะนักข่าวที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้วีซ่าทำงาน แต่เราก็เป็นห่วงที่แนวทางนี้จะมีผลกระทบต่อประชาคมผู้สื่อข่าวนานาชาติในไทยซึ่งมีความหลากหลายให้หดเล็กลง และที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้มีบทบาทอย่างมากในการสร้างความเข้าใจและความสนใจให้กับภูมิภาคนี้”
ทั้งนี้ แนวทางใหม่กำหนดให้ผู้ที่จะขอวีซ่าทำงานในฐานะสื่อต่างประเทศในไทยไว้หลายประการ ที่สำคัญคือ จะต้องทำงานมีสังกัดกับสื่อไม่ว่าไทยหรือต่างประเทศ โดยต้องทำงานเต็มเวลา ต้องรายงานเกี่ยวกับประเทศไทยในช่วงที่อยู่ในไทยซึ่งต้องยาวนานเกินสามเดือนขึ้นไป ที่น่าสนใจคือ มีข้อกำหนดว่าจะต้องไม่มีพฤติกรรมหรือการทำงานที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสาธารณะ หรือก่อความวุ่นวาย หรือส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของไทย ต้องไม่เคยบิดเบือนข่าวสารอย่างจงใจ
หนังสือของกระทรวงต่างประเทศระบุว่า แนวทางใหม่นี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. เป็นต้นไป ในหนังสือดังกล่าวยังกำหนดไว้ด้วยว่า สำหรับผู้สื่อข่าวที่อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว และจะได้รับผลกระทบจากแนวทางใหม่ในการออกวีซ่านี้ จะได้รับการช่วยเหลือด้วยการต่อวีซ่าที่มีอยู่ให้เป็นการชั่วคราวเพื่อให้สามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้
สหรัฐฯ เตือนไทย ไอเอสเล็งก่อเหตุ – วีรชนยัน สถานทูตไม่เคยพูด
เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2559 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ชาติชาย แตงเอี่ยม รอง ผบช.ปรท.ผบช.ตม. ลงนามในหนังสือคำสั่งเลขที่ 0029.322/467 ลงวันที่ 15 ก.พ. 2559 ถึง ผบช.สตม. ที่ปรึกษา (มค.) และรอง ผบช.สตม. มีใจความว่า เพื่อทราบและดำเนินการตามหนังสือ บช.ส.ลับด่วน 0028.(9)/32 ลง 3 ก.พ. 2559 ตามสั่งการ ผบ.ตร. ลงวันที่ 29 ม.ค. 2559 ท้ายนัยหนังสือ บช.ส.ลับ ที่ 0028.(ขว)/56 ลง 29 ม.ค. 2559 เนื่องด้วยได้รับการแจ้งเตือนจาก ที่ปรึกษาพิเศษ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย SPECIAL ASSISTANT (SA) ถึงความเป็นไปได้ในการก่อเหตุในประเทศไทยของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อโจมตีแหล่งชุมชนสาธารณะ อาทิ ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยว สถานบันเทิง รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) รถไฟฟ้า (BTS)
เนื่องจากแผนการขยายพื้นที่อิทธิพลของกลุ่ม IS ที่แพร่อิทธิพลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ซึ่งอาจเคลื่อนไหวเข้าใกล้ประเทศไทยมากขึ้น จึงกำชับให้ปฏิบัติตามหนังสือ สตม.ลับ ด่วนที่สุด ที่ 0029.122/400 ลงวันที่ 5 ก.พ. 2559 พร้อมทั้งแจ้งเตือนภาคเอกชนในพื้นที่ให้มีมาตรการในการ รปภ. อย่างเข้มงวด ซึ่งในการประสานการปฏิบัติควรระมัดระวังข้อมูล โดยให้ใช้วิธีการอ้างอิงสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในประเทศอินโดนีเซีย และให้พิจารณาพร้อมปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติโดยเคร่งครัด กรณีมีเหตุสำคัญเร่งด่วน หรือมีข้อมูลข่าวสารสำคัญ ให้มีการตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยให้รายงาน ผบช.สตม. ที่ปรึกษา (มค.) รอง ผบช.สตม. (ปป.) และ รอง ผบช.สตม. (มค.) ทราบในโอกาสแรก และรายงานสถานการณ์เป็นเอกสารมายัง ศปก.สตม. โดยเร็ว
ขณะเดียวกัน ด้าน พล.ต. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ปรึกษาทูตสหรัฐอเมริกาแจ้งเตือนไทยเฝ้าระวังกลุ่มไอเอสเตรียมก่อการร้ายในไทย บริเวณห้างสรรพสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวว่า ได้สอบถามจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ทางสถานทูตไม่เคยพูดเช่นนั้น ไม่มีข้อมูลตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งนี้ ทางสหรัฐฯ อาจจะพูดถึงไอเอสในเรื่องต่างๆ แต่ไม่ได้พูดว่าจะมีกลุ่มไอเอสเดินทางเข้าไทย
“ขอให้สื่อช่วยตรวจสอบข้อมูลข่าวสารก่อนนำเสนอสู่ประชาชน อยากให้ช่วยกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดการทำลายความมั่นใจในเรื่องต่างๆ และขอยืนยันว่าประเทศไทยยังมีความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทำงานอย่างเต็มที่” พล.ต. วีรชน กล่าว